อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 460 ศึกที่ต้องเสี่ยง!

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 460 ศึกที่ต้องเสี่ยง!

“ต่อไปจะประกาศสายการประลองอย่างเป็นทางการ!!” เสียงของตัวแทนจากสมาพันทำเนียบยุทธภพ สะท้านสะเทือนไปยังจิตใจของเหล่าผู้เยาว์เข้าประลองทั้ง 32 คนภายในสถานที่ปิดทึบนี้ เพราะนี่คือเส้นทางแห่งโอกาสที่ทุกคนตั้งความหวัง...

กว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมประลอง ไม่ได้คาดหวังว่าตนจะไปได้ไกลถึงขั้นชนะเลิศ เนื่องด้วยเข้าใจถึงความแตกต่างของฝีมือเป็นอย่างดี แต่ทุกคนก็หมายมั่นจะฝ่าทะลุไปยังรอบลึก ๆ ก่อนจะพ่ายแพ้อย่างงดงาม เพื่อที่ได้มีโอกาสแสดงฝีมือออกมา ให้เหล่าผู้ชมจากทั่วสารทิศให้การยอมรับ เกิดเป็นชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขวัญในวันหน้า...

คนของทางสมาพันทำเนียบยุทธภพ เห็นสายตาคาดหวังของเหล่าผู้เยาว์ทุกคนก็ เผยรอยยิ้มพยักหน้าเบา ๆ และจึงดึงเอาแผ่นหยกอาคมชิ้นหนึ่งขึ้นมา... ทันทีที่ส่งลมปราณเข้าไปกระตุ้น ก็เกิดปฏิกิริยาฉายแสงก่อภาพนิมิตขึ้นมาอย่างชัดเจน กลายเป็นตารางการต่อสู้ที่แตกแยกแบ่งออกเป็น 4 สายหลัก

ในแต่ละสายยังแบ่งย่อยออกเป็นกิ่งก้านสาขา จนครบจำนวนของทั้ง 32 คน...

“กติกาการแข่งครั้งนี้ การประลองจะมีด้วยกันทั้งสิ้น 3 วัน ตัดสินชี้ขาดด้วยการหมดสภาพต่อสู้ หรือไม่ก็ออกนอกขอบเขตเวทีที่กำหนด ห้ามเกินเลยถึงขั้นลงมือสังหารกัน... ในวันที่ 1 จะเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งแพ้คัดออกทันที ดังนั้นจากผู้เข้าประลองทั้ง 32 คนให้เหลือเพียง 16 คนสุดท้ายในวันที่ 1 นี้...

ส่วนวันที่สอง จะประลองทั้งสิ้นสองรอบต่อเนื่อง เป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งเช่นเดียวกันกับรอบแรก เพื่อเฟ้นหา 8 คนในรอบสอง และต้องขึ้นประลองอีกครั้งเพื่อเฟ้นหา 4 คนสุดท้ายภายในวันเดียวกัน กลายเป็นตัวแทนจากทั้ง 4 สายประลอง...

สำหรับรอบชิงในวันสุดท้าย... ตัวแทนจากทั้ง 4 สายประลอง จะต้องขึ้นไปเผชิญหน้าพร้อมกับบนเวที ไม่มีการแบ่งแยกคู่ที่ชัดเจน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เข้าประลองเอง และผู้ที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้าย ก็คือผู้ชนะเลิศ...”

สิ้นเสียงตัวแทนจากสมาพันทำเนียบยุทธภพ คนผู้นั้นก็สะบัดมืออีกครั้งหนึ่ง... หมายเลขทั้ง 32 หมายเลขก็ได้ปรากฏขึ้นที่ กิ่งก้านสาขาทั้ง 32 ตำแหน่ง จัดแบ่งผู้เข้าประลองทั้งหมดใน 4 สายการประลองชัดเจน...

“!!!!!!!!!” หลายคนเบิกตากว้าง... หลายคนกดหัวคิ้วลงต่ำ... หลายคนสะท้านสั่นไหว เพื่อได้เห็นตำแหน่งหมายเลขของตน ได้ปรากฏยังกิ่งก้านสาขาเหล่านั้น แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดอยากเผชิญหน้า กลุ่มอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้ง 7 คนของทวีป ตั้งแต่ในรอบแรก ๆ ทว่าเมื่อถูกกำหนดแล้วก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนใจเพื่อยอมรับความโชคร้าย...

ซุน ขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นสายประลองที่ 4 ของตนเอง... ใจหนึ่งก็รู้สึกโชคดีที่รายนาม 8 คนในสายที่ 4 ซึ่งตนจะต้องช่วงชิงความเป็นอันดับหนึ่งขึ้นไปนั้น ไม่มีนามของ เฉียงตงฟาง ไป๋หู่จิงหรง และ เจี่ยโย่วเทียน สามอัจฉริยะผู้เยาว์ซึ่งแข็งแกร่ง และเป็นตัวเต็ง 3 อันดับแรกของการประลอง อยู่ภายในสายประลองที่ 4

แต่ในจำนวนคนทั้ง 8 ใน สายประลองที่ 4 นั้น ซุน สะดุดเข้ากับ 2 รายนาม ที่คิดว่าน่าจะอันตรายที่สุดในสาย... คนแรกคือ ซางกวานเฉิน จากพรรคมังกรฟ้า แม้คนผู้นี้แม้ว่าจะไม่ใช่ 1 ใน 7 อัจฉริยะผู้เยาว์ของทวีป ทว่าก็แข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนกว่าเท่าใดนัก จากพื้นฐานชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นที่ 7 ฝีมือเทียบเท่ากับ ลั่วชิงเหอ จากสำนักสายลมประจิม...

และอีกคนที่อยู่ในสายประลองเดียวกันก็คือ... เกาทงหลิน อัจฉริยะรุ่นเยาว์ อันดับที่ 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ ซุน มองเป็นศัตรูมาตั้งแต่คดีความของตระกูลซ่งแล้ว... หากแต่ก่อนหน้านี้ ซุน ไม่มีความสามารถมากพอจะเผชิญหน้า จึงมิได้เปิดเผยความเกลียดชังออกไป

“ยังไงข้าก็เคยติดค้างตระกูลซ่งในหลาย ๆ เรื่อง อีกทั้งตระกูลเกา ยังมีความเกี่ยวข้องกับการถูกลักพาตัวเหล่าซือ ดังนั้นการประลองครั้งนี้ ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไม่แพ้!!” ซุน เอ่ยพึมพำกับตนเองในห้วงสำนึก พร้อมกับมองตรงไปยัง เกาทงหลิน

ซึ่งตัวของ เกาทงหลิน หลังจากได้เห็นรายนามภายในสายประลอง คราแรกก็มีรอยยิ้มประดับยินดี ที่ในสายของตนไม่มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นปรากฏอยู่เลย แม้จะหนักใจเรื่อง ซางกวานเฉิน อยู่เล็ก ๆ แต่ก็ยังมั่นใจว่าตนสามารถเอาชนะได้

ทว่าเมื่อ เกาทงหลิน เห็นหมายเลข 32 ที่พอนำมาเปรียบเทียบกับรายนามลงทะเบียนแล้ว ปรากฏนามของ ซุน ผู้เยาว์ไร้สังกัดขึ้นมา เกาทงหลิน ที่ทราบดีว่าพี่ชายของตน เกาถิง กำลังตามล่าตัว ซุน ผู้นี้ในตลอดหลายเดือน ทั้งเมื่อช่วงเดือนก่อนยังถูก เทพปรมาจารย์ ลู่เหรินฮ่าว เดินทางมาถึงเรือนตระกูลเกา และทำการลงโทษ เกาถิง อย่างสาหัสสากรรจ์จากสาเหตุในเรื่องนี้

เกาทงหลิน ก็พลันสะท้านสะเทือน ปกปิดจิตคุกคามที่แผ่ซ่านเอาไว้ไม่มิด ตวัดสายตาที่แดงก่ำตรงไปยัง ซุน ที่ยืนมองมายังตนเองเช่นเดียวกัน... สายตาของทั้งคู่คล้ายมองออกชัดแจ้งว่าอีกฝ่ายก็ล้วนเผยความเป็นศัตรูที่เด่นชัด ต่างฝ่ายก็มีความล้ำลึกปรากฏในสายตาชนิดที่ว่าจะลงมือสังหารกันยังมินับเป็นเรื่องแปลก...

“มันนั่นเอง!!” เกาทงหลิน เค้นเสียงผ่านร่องฟัน
“เกาทงหลิน!!” ซุน แค่นเสียงเย็นเช่นกัน

ในอีกหลาย ๆ สายประลอง ก็ยังมีให้เห็นแววตาคุกคามในลักษณะเดียวกันได้อีกไม่น้อย... ทั้งการจดจ้องกันของสองหญิงสาวในสายประลองเดียวกับอย่าง ไป๋หู่จิวหรง และ ซวงฉวี่ ในสายประลองที่ 1

อัจฉริยะฝาแฝด อี้เหวินเจีย และ อี้เหวินจิน จากพรรคมังกรฟ้า ที่เผยแววตาดุดัน มองไปยัง เจี่ยโย่วเทียน สำนักสายลมประจิม ที่ต้องเผชิญหน้ากันในสายประลองที่ 2 โดย เจี่ยโย่วเทียน ยังเปี่ยมไปด้วยความนิ่งสงบ ดุจกระบี่ตั้งตระหง่าน ราวกับว่ามิได้กริ่งเกรงฝาแฝดคู่นี้เท่าใดนัก แม้จะต้องเผชิญหน้ากัน...

และในสายประลองที่ 3 ก็คือ ลั่วชิงเหอ แห่งสำนักสายลมประจิม ที่ได้แต่กำหมัดแนบแน่นด้วยความเจ็บปวดชอกช้ำ โชคชะตาเล่นตลกอย่างยิ่ง ที่ตนนั้นต้องมาอยู่ในสายประลองเดียวกับกัน สัตว์ประหลาดในรุ่นเยาว์อย่าง เฉียงตงฟาง แห่งพรรคมังกรฟ้า

หากกล่าวว่า เจี่ยโย่วเทียน มีความนิ่งสงบดุจกระบี่ตั้งตระหง่านแล้ว... ทว่าตัวของ เฉียงตงฟาง กลับนิ่งสงบล้ำลึกยิ่งกว่า ด้วยใบหน้าที่ขาวเผือกราวหิมะ แต่กำยำแข็งแกร่งไม่ผ่ายผอม มองดูแล้วดุจดังก้อนน้ำแข็งใหญ่ ที่แผ่ความหนาวเหน็บออกมา จนทำให้รัศมีรอบกายถูกสาปนิ่งไปพร้อมกันด้วย

เฉียงตงฟาง ตั้งแต่เข้ามาในห้องปิดทึบนี้ ก็นั่งขัดสมาธิมาโดยตลอด ลืมตาตื่นขึ้นมาเพียงครั้งเดียวตอนที่ตารางการประลองปรากฏขึ้น ซึ่งนัยน์ตาของชายผู้นี้เป็นสีฟ้าราวกับท้องนภา หลังจากกวาดตามองเพียงครั้งว่าตนอยู่ในสายประลองใด แล้วจึงหลับตาต่อโดยไม่สนใจรายนามคู่ต่อสู้ ที่ต้องเผชิญหน้าภายในสายประลอง...

ชัดเจนว่า ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา!!

แม้แต่สมาชิกที่มาจาก พรรคมังกรฟ้า อีก 9 คน ยังไม่มีใครเข้าไปใกล้ เฉียงตงฟาง ทั้งยังเผยแววตากริ่งเกรงทุกครั้งที่มองมายังสหายร่วมพรรคผู้นี้ทั้งที่มาจากพรรคเดียวกัน บ่งบอกถึงคลื่นความน่าสะพรึงที่แม้แต่คนในพรรคยังเลือกที่จะหลีกหนี ไม่สุงสิง...

หลังการประกาศสายประลอง ต่อให้ใครรู้สึกว่าไม่มีความเป็นธรรมก็ไม่อาจโต้แย้งได้ เพราะความยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรมในการประลองนั้น ย่อมไม่มีอยู่จริง!! อย่างไรเสียหากมีเป้าหมายที่จะชนะเลิศ ต่อให้ผลการประกาศออกมาเช่นไร ก็เพียงแค่ทำสุดความสามารถชนะผ่านอย่างต่อเนื่องขึ้นไปเท่านั้น!!

และสิ่งที่ควรคำนึงที่สุด ณ เวลานี้ มิใช่ผู้แข็งแกร่งในสายประลองของตน... แต่เป็นการประลองในรอบแรกที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ต่างหาก!! การจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ของแต่ละสาย จำเป็นต้องชนะการประลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ติดต่อกัน 3 รอบ ภายในสองวัน เพื่อไปให้ถึงรอบชิงชนะเลิศในการประลองวันที่สาม

ด้วยความที่วันแรกนี้ มีการประลองถึง 16 คู่ ดังนั้นทุกคนจึงประลองเพียงแค่รอบเดียวเท่านั้น... คล้ายเป็นการเปิดม่านการประลองระดับผู้เยาว์อย่างสมบูรณ์ หากพ่ายแพ้ตั้งแต่รอบแรกทุกอย่างย่อมจบสิ้นลงในทันที แต่อย่างน้อยก็ยังได้แสดงความสามารถต่อหน้าผู้คนจากทั่วสารทิศ

คู่ต่อสู้ของ ซุน ในรอบแรกนั้น เป็นคนจากพรรคมังกรฟ้า นามว่า เต้าหมิงเยี่ย... แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นนักหากเทียบกับ เฉียงตงฟาง อี้เหวินเจีย อี้เหวินจิน หรือแม้แต่ ซานกวานเฉิน แต่ด้วยพื้นฐานชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นที่ 5 ของชายผู้นี้ก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา...

ซึ่งตัวของ เต้าหมิงเยี่ย นั้นเมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้คนแรกคือ ซุน กลับรู้สึกว่าตนเปี่ยมไปด้วยโชควาสนาอย่างถึงที่สุด!! เพราะภายใต้รายนามของผู้เข้าประลองทั้งหมด ซุน คือผู้เดียวที่มิใช่ชนชั้นลมปราณสีเขียว จึงถูกทุกคนดูแคลนและเข้าใจว่า ซุน ขึ้นประลองได้เพราะเส้นสายบางอย่างจาก ป้ายรับรองสิทธิ์

ชายผู้นั้น ยืดอกตั้งเดินตรงมาหา ซุน ในทันที เผยแววตาเย้ยหยันเล็ก ๆ ชำเรืองมอง
“เจ้าเองหรือ? ซุน ผู้เยาว์ไร้สังกัด... ข้าก็ไม่ได้อยากจะกล่าวอะไรมาก เพราะมันจะดูเสียมารยาทกับ องค์รัชทายาทลำดับที่ 9 มากเกินไป ในการมอบป้ายรับรองสิทธิ์ให้กับคนอย่างเจ้า ชักอยากจะรู้แล้วสิ ว่ามีลับลมคมในอะไรแอบแฝงหรือไม่ระหว่างคนบ้านนอกอย่างเจ้ากับ องค์รัชทายาท?! อย่างไรเสีย องค์รัชทายาทลำดับที่ 9 ก็เป็นสตรีนี่นะ...”

เต้าหมิงเยี่ย มีแววตาและรอยยิ้มแฝงเลศนัย ทั้งยังจงใจใช้คำพูดที่คลุมเครืออย่างยิ่ง... ทว่า ซุน ที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น ก็ยังมีใบหน้านิ่งสงบไม่ให้ความสนใจตามอุปนิสัยส่วนตัว ประหนึ่งทองที่ไม่รู้ร้อน...

จะมีก็แต่ผู้โดดเด่นทั้งสามจากหน่วยมือปราบเทพพยัคฆ์ ไหนเลยที่จะทนฟังได้ กงซุนฉี เป็นคนแรกที่ถลึงตาดุร้ายขึ้นมาโดยพลัน... “เจ้ากล้าหมิ่นประมาทองค์รัชทายาท อย่างตายงั้นหรือ!!”

เต้าหมิงเยี่ย หัวเราะเบา ๆ
“มีคำใดที่ข้าหมิ่นประมาทงั้นหรือ?! ข้าเพียงนึกสงสัยตามประสาผู้ใคร่รู้เท่านั้นเอง”

กงซุนฉี เริ่มเผยจิตคุกคามขึ้น... ทว่าในจังหวะนั้น ไป๋หู่จิวหรง กลับยกมือขึ้นปราม นางเองก็มิได้รู้สึกรู้สาใด ๆ กับวาจาเช่นนั้น ด้วยประสบการณ์ความเจนจัดบนเวทีประลองของนาง ย่อมทราบดีว่าการยั่วยุ หรือข่มขู่กระตุ้นก่อนเริ่มการประลอง นับเป็นเรื่องสามัญพื้นฐาน หากปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่าน จนสมาธิเอนเอียงย่อมไม่เป็นผลดีใด ๆ

นางก้าวเดินออกมาประจันหน้า เต้าหมิงเยี่ย ตรง ๆ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับใบหน้าขาวซีดขึ้นจาง ๆ ถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว.. ไป๋หู่จิวหรง หัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะกล่าวแผ่วเบา...

“ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะมีลับลมคมในแอบแฝง... ที่ข้ามอบป้ายรับรองสิทธิ์ให้กับ ซุน มาจากความสามารถล้วน ๆ หากเจ้าจะกังวล ข้าว่าเจ้าสมควรจะกังวลเรื่องความอับอายของตนเองจะดีกว่า เพราะเจ้าจะต้องถูกทุบตีจากชนชั้นลมปราณที่ต่ำต้อยยิ่งกว่า ท่ามกลางสายตาของคนจากทั่วสารทิศ!!”

เต้าหมิงเยี่ย ถึงกับสูดลมหายใจลึกยาว ก่อนจะเพ่งมองเขม็งไปยัง ซุน ที่อยู่ข้าง ๆ ยอมที่จะร่นถอยกลับไป เนื่องด้วยกริ่งเกรงต่อตำแหน่งของ ไป๋หู่จิวหรง และขณะที่ถอยไปยังมิวายแค่นเสียงขึ้นอีกระลอก... “เหอะ!! หากคิดจะข่มขู่ ก็ควรหาเรื่องที่พอเป็นไปได้เสียบ้าง ข้าหรือจะถูกทุบดีจากเด็กเส้นลมปราณชนชั้นสีน้ำเงินพันธุ์นั้น!!”

เมื่อ เต้าหมิงเยี่ย เดินจากไป ตัวของ ไป๋หู่จิวหรง ก็เผยความไม่สบอารมณ์ขึ้น...
“ซุน... การประลองรอบแรก จงทำให้เจ้านั้นต้องเสียใจ ที่ดูแคลนทั้งตัวเจ้าและตัวข้า!!”

ซุน แสยะยิ้มวูบหนึ่ง ประสานมือสุภาพ...
“รับบัญชา...”


......................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว