อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 57 องค์รัชทายาท ลำดับที่ 9

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 57 องค์รัชทายาท ลำดับที่ 9

“นี่มัน?!” ซุน เบิกตากว้างกลมโต ก่อนจะหันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง โชคดีที่ภายในสวนพฤกษาเวลานี้นั้น ไม่มีผู้ใดจับตามอง ซุน อีกแล้ว เหล่ามือปราบที่เคยประจำในสวน หรือแม้แต่บ่าวไพร่ในละแวก ก็ล้วนแล้วแต่ยกกำลังคนไปประจำการยังเรือนหลัก คอยอารักขาดูแลองค์รัชทายาท ที่กำลังมาถึง...

เมื่อเห็นว่าไม่มีคนแล้ว ซุน จึงยกเอาหีบโลหะของ เหยาหมิง ออกมาจากแหวนมิติ... ก่อนจะรีบรื้อค้นหาแผ่นป้ายโลหะประหลาดที่เก็บซ่อนอยู่ภายในหีบ... ลักษณะของป้ายโลหะนี้เป็นสีดำ ทรงหกเหลี่ยมดูเก่าแก่ ไม่มีลวดลายอะไรประดับประดามากนัก แต่หากพิจารณาดูดี ๆ จะทราบว่า ป้ายโลหะ ชิ้นนี้ไม่อาจจำแนกว่าเป็นโลหะประเภทใด และมีตัวอักษรที่แทนตัวเลขเด่นชัดว่า...

[ห้า]

ซุน พยายามยกเปรียบเทียบกับ ตราแห่งวงกต ตามที่มีการบันทึก ก็ปรากฏว่ารูปร่างของมันดูคล้ายคลึงจนน่าตกใจ!! ตัวอักษรแทนตัวเลข เป็นการบ่งบอกว่า ตราแห่งวงกต ชิ้นนี้ มีไว้สำหรับเปิด มหาขุมทรัพย์แห่งวงกตสีรุ้ง ในลำดับที่ 5

มือของเด็กหนุ่มเฉียบเย็นขึ้น ก่อนจะรีบเก็บ ตราแห่งวงกต ลำดับที่ 5 ยัดกลับคืนไปใน หีบโลหะ และยกหีบนั้นเก็บคืนไปในแหวนมิติด้วยความลุกลี้ลุกลน... หลังจากอ่านพิจารณาบันทึกในประวัติศาสตร์เหล่านี้แล้ว ไหนเลยที่ ซุน จะไม่เข้าใจความหมายในการถือครอง ตราแห่งวงกต ชิ้นนี้!!

“หากมีใครรู้เข้า ว่าตราวงกตนี้อยู่ในมือข้า... ขุมกำลังทั่วทั้งยุทธภพ สมควรส่งคนออกตามล่าข้าในทันทีเป็นแน่ ดังนั้นจะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเด็ดขาด!! ทำไมเหล่าซือจึงมีของสิ่งนี้ได้กัน ทั้งยังเก็บซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด หรือว่ามันจะเป็นของภรรยาท่านที่ตายไป? หรือมันคือสาเหตุที่เหล่าซือถอนตัวออกจากยุทธภพ?!” ซุนรอบพึมพำกับตนเอง พร้อมเหงื่อที่อาบหน้า หากเทียบกับของสิ่งนี้แล้ว ขวานจักรพรรดิ ไม่อาจนับเป็นปัญหาได้เลย

แม้ ขวานจักรพรรดิ จะนับเป็นศาสตราในตำนาน แต่มันก็เพียงแค่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เท่านั้น เป็นอาวุธอักขระชนชั้นลมปราณสีเหลือง ที่ขุมกำลังยิ่งใหญ่ในยุทธภพ ก็ยังพอที่จะมีโอกาสถือครองได้ และยังมีอาวุธอักขระในระดับที่สูงกว่าอย่างชนชั้นลมปราณสีส้ม หรือสีแดงด้วยซ้ำไป...

พื้นฐานความแข็งแกร่งของยุทธภพ ณ ปัจจุบัน เพียงยอดฝีมือชนชั้นลมปราณสีส้ม ก็นับเป็นสุดยอดฝีมืออยู่เหนือผู้คนนับล้านได้แล้ว ไม่ต้องคาดหวังถึงชนชั้นลมปราณสีรุ้ง ว่าจะมีผู้ใดบรรลุถึง... ดังนั้นหากว่า ตราแห่งวงกต คือสิ่งที่จะนำพาไปสู่ มรดกแห่งชนชั้นลมปราณสีรุ้งของสามผู้ยิ่งใหญ่ ทุกขุมกำลังในยุทธภพ ย่อมถวิลหามาครอบครอง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด...

“ตามที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ตราแห่งวงกต ล้วนมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันในการเปิดประตูสู่มหาขุมทรัพย์... ครั้งหนึ่งเมื่อ 7,000 ปีก่อนที่ ตราแห่งวงกต ลำดับที่ 6 ถูกเปิดขึ้น ท้องฟ้าทั้ง 4 ทวีปเกิดการแปรปรวน ก่อนที่เมฆดำจะถักทอลงมาจากท้องฟ้า บ่งชี้ตำแหน่งของมหาขุมทรัพย์

ณ ที่แห่งนั้นก่อเกิดประตูสู่ดินแดนคู่ขนาน ซึ่งจะมีเพียงผู้ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีเท่านั้น จึงจะสามารถรอดเข้าไปด้านในประตูดังกล่าวได้ เงื่อนไขทั้งหมดมันถูกกำหนดมาตั้งแต่วันที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว... ดูท่าสามผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้าง มหาขุมทรัพย์แห่งวงกตสีรุ้ง ขึ้นมา คงตั้งใจมอบมรดกให้กับกลุ่มผู้เยาว์ที่ยังมีอนาคต เสียมากกว่าผู้ชราที่หิวกระหายอำนาจ...” ซุน กล่าวพึมพำขึ้นกับตนเอง

เฒ่าชีเปลือย ที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ก็เอ่ยโพล่งขึ้นทันที...
“เช่นนั้นข้าว่า เจ้าอย่าเพิ่งยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนั่นจะดีกว่า... หากแตะต้องสิ่งนั้นมากไป แล้วบังเอิญชะตากรรมเกื้อหนุนให้เจ้าเปิดประตูมหาขุมทรัพย์ขึ้นมาได้ อาศัยความแข็งแกร่งของเจ้าในเวลานี้ ไม่มีทางไปแย่งชิงขุมทรัพย์กับผู้ใดได้

ดูอย่าง มู่เจี้ยน เป็นหลักเกณฑ์ เจ้านั้นก็อายุยังไม่ถึง 30 ปี แต่มันเก่งกว่าเจ้านับร้อยเท่า... ดังนั้นเจ้าคงต้องรอให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น จนมั่นใจว่าเหนือกว่าผู้ใดในรุ่นเดียวกัน ถึงเวลานั้นค่อยหาวิธีใช้ ตราแห่งวงกต ก็ไม่นับว่าสาย...” เฒ่าชีเปลือย กล่าวแนะนำ ซึ่งก็ตรงกับความคิดของ ซุน เช่นเดียวกัน ในเมื่อกุญแจอยู่กับตนแล้ว ใยต้องเร่งร้อน...

“หากเจ้าว่าเช่นนั้น แปลว่าข้าสมควรไปท้าทาย หอคอยสุสานเทพอสูร มากกว่า มหาขุมทรัพย์แห่งวงกตสีรุ้ง งั้นสินะ...” ซุน เอ่ยถามพลางหรี่ตาแคบ

“จะว่างั้นก็ได้... เอาเข้าจริงข้าก็อยากให้เจ้าพิชิตหอคอยอยู่ไม่น้อย เพราะข้าอยากเห็นว่าจิตวิญญาณแห่งราชันย์สัตว์อสูร มันจะแน่สักแค่ไหนเมื่อเทียบกับข้า... ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เฒ่าชีเปลือย หัวเราะชอบใจ ประหนึ่งเชื่อมั่นว่าตนเหนือกว่า...

ในตอนนั้นเอง ที่ ซุน สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังเข้ามาใกล้...
ก่อนจะพบว่าเป็นบ่าวไพร่ในเรือน ที่แสดงท่าทีร้อนรน...

“คุณชายเหยา อยู่ที่นี่เอง... ท่านพ่อบ้านใหญ่ ให้ข้ามาตามตัวท่านไปยังงานเลี้ยงเรือนหลัก... ดูเหมือนว่าจะเป็นพระประสงค์จาก องค์รัชทายาท”

“!!!!!!!!!!!” ซุน ใบหน้าบิดเบี้ยวในทันที...
“จนได้สิน่า!!”

แน่นอนว่า ซุน หากสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็อยากจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า... หากองค์รัชทายาททรงโปรดก็นับเป็นโชคดี แต่หากทรงไม่โปรด หรือเผลอไปทำเรื่องขัดหูขัดตาขึ้นมาล่ะก็ ไหนเลยที่เด็กหนุ่มชนชั้นคนเถื่อนผู้หนึ่ง จะเอาตัวรอดท่ามกลางกองทหารของราชวงศ์ได้...

เด็กหนุ่ม แหวกอาภรณ์ส่องดูภายในเล็กน้อย ซึ่งด้านในสวมใส่เกราะอ่อนเอาไว้แล้ว จึงมีความมั่นใจระดับหนึ่ง... ก่อนหน้านี้ในช่วงการประลอง ชุดเกราะทุกประเภทไม่อาจสวมใส่ได้ มิเช่นนั้นกลุ่มผู้มีกำลังทรัพย์อาจสวมเกราะโลหะไว้ทั่วร่างปกป้องร่างกาย กลุ่มผู้เยาว์ที่ไม่มีกำลังทรัพย์จะเสียเปรียบมากเกินไป กฎข้อห้ามจึงถูกตั้งขึ้นมา

ซุน จำเป็นต้องถอดเกราะอ่อนด้านในออกตามกฎเช่นกัน... นั่นจึงเป็นอีกสาเหตุให้ ซุน พลาดท่าได้รับบาดเจ็บจากคมดาบของ หานเฉียง หากยังสวมเกราะอ่อนไว้ด้านในล่ะก็ คงเอาชนะได้โดยไร้บาดแผลไปแล้ว...

ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธพระประสงค์... ซุน ก็ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง ปรับสมาธิ สภาพจิตใจ รวมถึงบุคลิกของตน พยายามไม่ให้ดูตะลีตะลานต่อหน้าพระพักตร์... เพียงเวลาผ่านไปไม่กี่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น บ่าวที่มาตามก็สัมผัสได้ถึงรัศมีที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็กหนุ่ม แต่ก็ไม่อาจอธิบายใดว่าสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลง...

“ไปกันเถอะ...” ซุน กล่าวสั้น ๆ ก่อนก้าวเดินนำ...

..............................................

โถงรับแขกใหญ่...

ตระกูลฉี มีเชื้อสายเป็นพระญาติอยู่เสี้ยวส่วน จึงได้รับความไว้วางใจจากราชวงศ์ไป๋หู่อยู่พอสมควร อีกทั้งยังมีความดีความชอบมากตั้งแต่ครั้งอดีต จนผลักดันสถานะให้เป็นที่ยอมรับจาก 2 หน่วยงานราชการแผ่นดิน จึงได้รับสถานะชนชั้นพิเศษป้ายทองแดง...

ด้านพระที่นั่งพิเศษที่ถูกจัดเตรียมนั้น มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง ใบหน้าคมคาย รูปร่างเล็ก แต่งกายดูเรียบง่าย หากแต่ยังมองออกได้ไม่ยาก ว่าอาภรณ์และเนื้อผ้าทุกชิ้นล้วนมีราคามหาศาล เป็นอาภรณ์ที่ถูกถักทอด้วยลมปราณเป็นส่วนประกอบ จึงมีความเหนียวและทนทานมิต่างเกราะอ่อน...

ชัดเจนมากว่าชายหนุ่มผู้นี้คือ องค์รัชทายาทลำดับที่ 9 ของราชวงศ์ไป๋หู่ มีพระนามว่า... ไป๋หู่จิวหรง อายุเพียง 18 ปีเท่านั้น นอกจากจะมีความสามารถในด้านทักษะการต่อสู้เป็นเลิศ จนได้รับตำแหน่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์ เฉกเช่นเดียวกับ เกาทงหลิน แล้ว... ยังมีอากัปกิริยาสง่างาม ดูเรียบง่าย ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่ง ใบหน้ามักมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ

“พระบิดากล่าวถึงท่านลุงฉีอยู่บ่อยครั้ง ว่าไม่เข้าไปเยี่ยมเยือนท่านบ้างเลย...” ไป๋หู่จิวหรง กล่าวตัดพ้อเล็กน้อย ตามที่บิดาซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิเคยเอ่ยขึ้น

ฉีเฟยเทียน หัวเราะเบา ๆ
“ตัวลุงแก่ชราจะตายอยู่รอมร่อแล้ว เดินทางไกลมิสะดวกนัก แต่หากองค์จักรพรรดิต้องการเรียกใช้งานล่ะก็ ต่อให้เหลือลมหายใจเดียว ลุงก็จะไปในทันที...”

“ท่านลุงกล่าวหนักไปแล้ว พระบิดาเพียงนึกถึงท่านลุงเท่านั้น หาได้มิธุระใดสำคัญ... อีกทั้งอย่างไรเสียในอีก 4 เดือน ท่านลุงก็คงไปร่วมงานที่พระราชวังอยู่แล้วมิใช่หรือ? ถึงตอนนั้นย่อมได้พูดคุยจนหายคิดถึงเป็นแน่...”

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! งานพิธีสำคัญเช่นนั้น ในฐานะเจ้าเมืองบุปผาแดง ลุงจะพลาดได้เยี่ยงไรกัน?! เว้นเสียแต่จะมีชีวิตลุงจะอยู่ไม่ถึงเท่านั้นแล จึงจะมิได้ไปร่วมงาน...” ฉีเฟยเทียน กล่าวแน่นหนัก

ชายหนุ่ม และชายชรากล่าวพูดคุยกันอีก 2-3 คำ... สายตาของ องค์รัชทายาท ก็หันตรงมายัง ฉีลู่ชิง นางดูมีสำรวมมากกว่าปกติ ทั้งยังมีบิดา ฉีเฟยหลง นั่งข้าง ๆ คอยกำชับนางในเรื่องความเหมาะสม...

“น้องหญิงยังคงงดงามขึ้นในทุก ๆ ปีที่พบเจอ... ยามนี้สามารถกล่าวได้เต็มปากแล้วสินะว่าเป็นอัญมณีแห่งเมืองบุปผาแดง...” ไป๋หู่จิวหรง เผยรอยยิ้มเจอจางยามเอ่ยถาม

นางเพียงแย้มยิ้มตอบรับ เลือกที่จะไม่กล่าวตอบตรง ๆ บิดานางที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับส่งเสียงกระแอมออกมา แต่หญิงสาวก็ยังคงเงียบงันอยู่ดี...
“ลู่ชิงเอ๋อ...” ฉีเฟยหลง เค้นเสียงตำหนิยิ่งขึ้น

ไป๋หู่จิวหรง รีบห้ามปราม ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ออกมา...
“อย่าได้ตำหนินางเลย ท่านผู้นำฉี... น้องหญิง อาจไม่ค่อยจะชอบหน้าข้าเท่าใดนัก”

จังหวะนั้นเอง ที่ ซุน ได้มาถึงงานเลี้ยงนี้... การมาถึงของ ซุน ดึงดูดสายตาของทุกคนไม่น้อย รวมไปถึง องค์รัชทายาท ที่รับรู้ถึงรัศมีบางอย่างจากตัวของเด็กหนุ่ม ที่ดูแตกต่างไปจากผู้อื่น...
“ท่านลุงฉี... เด็กคนนี้ใช่หรือไม่?! ที่เจ้าชนะทั้งน้องหญิง และ หานเฉียง ในการประลองเมื่อวันก่อน”

“หึหึ... สมเป็นองค์รัชทายาท สายพระเนตรช่างเฉียบคมยิ่ง... ถูกต้องแล้ว เด็กคนนี้นามว่า เหยาซุน เป็นผู้ชนะเลิศการประลอง ตัวแทนจากสำนักขวานวายุตระกูลซ่ง... แต่ด้วยเหตุผลที่เด็กคนนี้ไม่มีขุมกำลังใหญ่คอยหนุนหลัง สถานะของตระกูลซ่งก็ยังไม่มั่นคงนัก

ข้าในฐานะเจ้าเมืองเกรงว่าเด็กมีความสามารถผู้หนึ่งอาจถูกคนตระกูลหานเจ็บแค้นใจ และลอบทำร้าย ข้าจึงช่วยอาสาดูแลจนกว่า เหยาซุน ที่บาดเจ็บจะกลับมาแข็งแรงดี...” ฉีเฟยเทียน กล่าวอธิบาย แต่แน่นอนว่าชายชราไม่ได้กล่าวถึงที่มาเชิงลึกของ ซุน มากไปกว่าที่ชาวเมืองรับรู้กัน

ซุน ประสานมือโค้งตัวสุภาพ ความสง่างามนับว่าไม่ด้อยกว่าผู้ใด กระทั่ง ฉีลู่ชิง ก็เพิ่งจะเคยเห็น ซุน แต่งกายเช่นนี้เป็นครั้งแรก นางยังอดไม่ได้ที่จะจดจ้องมองตรงมา ดวงตามีประกายขึ้น...
“ผู้น้อย เหยาซุน คารวะองค์รัชทายาท...”

ไป๋หู่จิวหรง หรี่ตาแคบลง... พิจารณามอง ซุน อย่างละเอียดลออ...
“ไม่ต้องมากพิธี เราทั้งสองดูจะช่วงวัยไม่หนีกันเท่าใดนัก... เจ้าทำให้ข้ารู้สึกสงสัยยิ่ง เจ้าเป็นเพียงชนชั้นลมปราณสีน้ำเงินขั้นต้น ใยเจ้าสามารถเอาชนะ หานเฉียง คนนั้นได้?! แม้แต่ในกลุ่มผู้เยาว์ของเมืองหลวง ชื่อเสียงของ หานเฉียง จากพรรคราชสีห์สวรรค์ ก็ไม่ถึงกับย่ำแย่ ถึงมันมักจะถูกเหน็บแนมว่าเป็นเพียง ลูกสมุนของ เกาทงหลิน ก็ตามที

ไม่ว่าจะมองมุมใด หานเฉียง ก็ไม่น่าพ่ายแพ้...”

ยังไม่ทันทีที่ ซุน จะได้อ้าปากเอ่ยตอบ... สายตาของ ไป๋หู่จิวหรง ก็หันตรงไปยัง มือปราบผู้หนึ่งที่มุมห้องโถง... ซึ่งมือปราบผู้นี้หาใช่ใครอื่น แต่เป็น มู่เจี้ยน มือปราบที่เฝ้าจับตามอง และคอยอารักขา ซุน มาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา...

สถานะระหว่าง มู่เจี้ยน และ ไป๋หู่จิวหรง ค่อนข้างที่จะซับซ้อน... แม้ว่า มู่เจี้ยน จะเป็นมือปราบระดับสูง ที่รับใช้ราชวงศ์ไป๋หู่เป็นหลัก แต่ มู่เจี๋ยน ก็นับเป็นพี่ใหญ่ที่คอยฝึกสอนเหล่าผู้เยาว์ ในสังกัดหน่วยมือปราบเทพพยัคฆ์...

ด้าน ไป๋หู่จิวหรง แม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่เพราะชื่นชอบในการร่ำเรียนวรยุทธ จึงเข้าร่วมสังกัดหน่วยมือปราบเทพพยัคฆ์ด้วยเช่นกัน... ดังนั้นแม้ว่า มู่เจี้ยน จะเป็นเพียงแค่มือปราบ แต่ก็มีสถานะเป็นศิษย์พี่ของ ไป๋หู่จิวหรง อีกทอดหนึ่ง

“ศิษย์พี่มู่... ท่านบอกว่าท่านเห็นเด็กคนนี้ฝึกฝนมาโดยตลอดใช่หรือไม่?! ในฐานะที่ท่านเองก็เคยฝึกฝนวรยุทธให้กับข้าเช่นเดียวกัน พอจะบอกได้หรือไม่ว่า... ระหว่างข้ากับ เหยาซุน ผู้ใดเหนือกว่า?!” ไป๋หู่จิงหรง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น

ทุกสายตา รวมถึง ซุน ล้วนจับต้องไปยัง มู่เจี้ยน...
มือปราบหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือ...

“เรียนองค์รัชทายาท... หากถามว่าผู้ใดเหนือกว่า ณ ตอนนี้ คำตอบย่อมแน่ชัดว่าต้องเป็นตัวท่าน...” มู่เจี้ยน กล่าวตอบในทันที ทำเอาทุกคนที่ได้ยินพากันโล่งอก

“แต่ทว่า... หาก เหยาซุน ได้มีเวลาฝึกฝนตนเองอย่างเหมาะสม อีกไม่เกิน 1 ปี เหยาซุน จะต้องเหนือกว่าองค์รัชทายาท อย่างที่มิอาจนำมาเปรียบวัดกันได้...” มู่เจี้ยน เค้นเสียงแน่นหนักทิ้งท้าย

“!!!!!!!!!!!” ทุกคนล้วนเบิกตากว้างโดยพลัน
เว้นก็แต่ องค์รัชทายาท ที่กดหัวคิ้วลงต่ำ...

“ว่ายังไงนะ?!”


................................................

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว