อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 174 เป้าหมายของธรรมเนียมแลกเปลี่ยนศิษย์

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 174 เป้าหมายของธรรมเนียมแลกเปลี่ยนศิษย์

ทันทีที่นางหลี่เขวี้ยงหัวหมูออกไปด้วยความตกใจ นางก็รู้สึกว่ามีอะไรยาวๆหล่นลงมาบนบ่า หัวและหน้าอกของนางก็มีของนุ่มๆบางอย่างมาโดน ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นน่าสยดสยองเหมือนกลิ่นคอกหมูก็พุ่งเข้าโจมตีจมูกของนาง


ในที่สุดนางก็เห็นได้ชัดแล้วว่าอะไรอยู่บนตัวนาง จนนางทำท่าเหมือนเหยียบอยู่บนกองถ่านร้อนๆ ทั้งกระโดดและกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวเหมือนหมูถูกเชือด คำพูดหลั่งไหลออกจากปากนางไม่หยุด นางรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างระเบิดอยู่ใกล้หูของนางขณะที่ถอยหนีไม่หยุด


“แกต้องตาย ต้องตาย! ข้าเป็นป้าแกนะ แกกล้าขว้างของโสโครกแบบนี้ใส่ข้าได้ยังไง ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่เลย ถ้าแกกล้าทำกับข้าแบบนี้ คราวหน้าแกก็คงทำกับท่านย่าของแกแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม!! ข้าจะให้คนทั้งหมู่บ้านได้รู้ว่านางหลิวสอนลูกยังไงให้เป็นแบบนี้!!”


นางหลี่ก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่สกปรกของนาง กลิ่นขี้หมูบนตัวนางโชยเข้าจมูกนางไม่หยุดและทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้จนเกือบจะเป็นลม


เสี่ยวเฉ่ายิ้มหวานให้กับนางแล้วพูดว่า “ท่านป้าใหญ่ ข้าจะไม่เคารพท่านป้าได้ยังไง? ก็ท่านป้าบอกว่าอยากเห็นว่าอะไรอยู่ในตะกร้าไม่ใช่เหรอ ข้าก็กลัวว่าท่านป้าอายุมากแล้วสายตาจะไม่ค่อยดีก็เลย ‘ส่ง’ ของไปตรงหน้า ท่านป้าจะได้เห็นชัดๆไงคะ ทีนี้ท่านป้าก็เห็นแล้วนะว่ามันคืออะไร ยังจะพูดว่าท่านปู่แอบเอาอะไรให้เราอีกรึเปล่า?”


เสี่ยวเฉ่าพูดต่อโดยไม่รอคำตอบจากนางหลี่และเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น “ท่านป้าใหญ่ มีหนึ่งอย่างที่ท่านป้าพูดถูก ที่บ้านของพวกเราแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว! วันนี้ข้าพาน้องไปที่ท่าเรือเพราะอยากไปดูตลาดที่นั่น ข้าอยากดูว่าพอจะเก็บผักตามพื้นที่คนอื่นไม่เอาแล้วหรืออาหารอย่างอื่นได้บ้างไหม ท่านลุงหวังที่เป็นคนขายเนื้อในเมืองเห็นพวกเราน่าสงสารก็เลยให้หัวหมูกับเรามา ส่วนผ้าขี้ริ้วกับไส้หมู ฉีโตวกับข้าก็เก็บขึ้นมาจากพื้น เราจะดูว่าถ้าเอาไปล้างให้สะอาดแล้วเราจะกินได้ไหม ตราบใดที่กินแล้วไม่ตาย ถึงจะมีกลิ่นนิดหน่อยก็คงไม่เป็นไร ยังไงก็ยังดีกว่าอดตาย ถึงขนาดนี้แล้วทำไมท่านป้าใหญ่ถึงมากล่าวหาว่าท่านปู่แอบช่วยพวกเรา? หรืออยากให้เราตายทั้งครอบครัวจริงๆ? ถ้าพวกเราอดตายหรือหนาวตายกันหมดท่านป้าคงมีความสุขใช่ไหมคะ?”


หลังจากได้กินซาลาเปาที่เสี่ยวเฉ่าส่งให้ครอบครัวของนางก่อนหน้านี้ ทัศนคติที่นางเหมาที่มีต่อเสี่ยวเฉ่ากับครอบครัวของนางก็ดีมากทีเดียว นางจึงแสดงความเห็นว่า “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้ยินเรื่องพี่สะใภ้บังคับให้ครอบครัวของน้องสามีไปตายทั้งครอบครัวในหมู่บ้านตงชาน นางหลี่ ถ้าเจ้าต้องการทำแบบนั้นจริงๆ เจ้าได้ดังไปทั่วหมู่บ้านแน่! จุ๊ๆๆ......ดูซิ พวกเด็กๆหิวจนถึงขั้นยอมกินของเหม็นๆสกปรกแล้วนะ” สีหน้าของนางหลี่เปลี่ยนไปทันที อีก 2 ปีลูกชายของนางก็จะแต่งงานได้แล้ว ถ้าคนพูดกันไปทั่วว่านางบังคับครอบครัวน้องสามีจนตาย ใครจะยอมให้ลูกสาวมาแต่งงานกับลูกชายของนางกัน?


นางหลี่อ้าปากแล้วหุบอยู่หลายครั้งราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นางฟางที่ปกติเป็นคนอ่อนโยนและโน้มน้าวง่ายก็มองนางราวกับเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุด นางดึงตัวฉีโตวเข้ามากอดแล้วเช็ดน้ำตาตัวเองพร้อมกับพูดว่า “โถ หลานป้า พวกเจ้ากินของพวกนั้นไม่ได้นะ เอาทิ้งไปเร็วเข้า ถ้าไม่มีอะไรกินเดี๋ยวป้าจะให้พวกเจ้ายืมธัญพืชสักสองสามชั่ง เอาไปกินนะลูก”


หยูไห่รู้สึกเจ็บในหัวใจขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาซับซ้อนอ่านยาก เขาเงยหน้าขึ้นและปล่อยให้น้ำตาค่อยๆหายไป หยูไห่มองนางหลี่และพูดว่า “พี่สะใภ้ ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ว่าไม่เคยขอเงินท่านพ่อเลย และท่านพ่อก็ไม่เคยแอบช่วยพวกเราเหมือนกัน! ตอนที่เราแยกบ้าน ข้าก็พูดชัดแล้วนะ ไม่ว่าเราจะจนแค่ไหนหรือมีชีวิตที่ยากลำบากยังไง ต่อให้เราต้องเที่ยวขออาหารคนอื่น เราก็จะไม่ขออะไรจากบ้านโน้นสักอย่างเดียว! พี่สะใภ้ก็เห็นของในตะกร้าแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรอีกก็กลับไปเถอะ!!”


นางหลี่มาโวยวายทั้งที่ไม่มีอะไรเลย นางจึงเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าลงพื้นแล้วจากไปแบบสกปรกตั้งแต่หัวจรดเท้า นางต้องไปหาตัวภรรยาของคนเซ่อซ่าประจำหมู่บ้านเพื่อคิดบัญชีที่ให้ข้อมูลนางมาผิดๆ

ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆแบบนี้ ไม่นานเรื่องที่หยูไห่กับครอบครัวของเขาสิ้นหวังขนาดไปเก็บอาหารที่เหม็นเหมือนขี้หมูมากินก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านตงชาน

หยูลี่ชุน ลุงใหญ่ของหยูไห่ก็ได้ไปที่บ้านใหญ่ตระกูลหยูแล้วตะคอกใส่เฒ่าหยูด้วยความโกรธ “เมียแกเป็นแม่เลี้ยงก็ไม่ได้หมายความว่าแกจะต้องเป็นพ่อเลี้ยงไปด้วย ต้าไห่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแก พวกแกอยากให้ครอบครัวของต้าไห่ตายรึไง? ถ้าอย่างนั้นแกก็ไม่ใช่น้องชายของฉันอีกต่อไปแล้ว!!”


นางหลี่โดนเรียกมาด่าซะเละ จากนั้นเขาก็บอกให้ลูกสาวคนเล็กเอาข้าวฟ่าง 10 ชั่งกับแป้งมันเทศ 10 ชั่งไปให้ครอบครัวของลูกรอง


หยูไห่ย่อมไม่รับอะไรจากพวกเขาอยู่แล้ว เขาพูดไปแล้วว่าเขาจะไม่เอาอะไรจากตระกูลหยูเลยสักอย่างเดียว และพวกเขาก็ไม่ได้เข้าตาจนขนาดนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครเรียกพวกเขาว่าเป็นคนพูดอย่างทำอีกอย่าง ขนาดเฒ่าหยูมาพูดด้วยตัวเองหยูไห่ก็ยังยืนกรานเหมือนเดิม


หลังจากหยูเสี่ยวเฉ่าใช้หัวหมูและเครื่องในเหม็นๆไล่นางหลี่กลับไปแล้ว เธอก็เริ่มทำความสะอาดและเตรียมวัตถุดิบทันที ได้เวลาทำอาหารตุ๋นเพิ่มแล้ว


“เอ่อ......เสี่ยวเฉ่า แน่ใจเหรอว่าจะใช้ของพวกนี้ทำอาหารได้? อย่าเสียเวลากับเครื่องปรุงเลย” นางฟางเตือน คนอื่นๆในบ้านคุ้นเคยกับความสามารถของเธอที่เปลี่ยนขยะให้เป็นสมบัติได้แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไร

นางเหมาได้แบ่งแป้งมันเทศกับสมุนไพรป่าที่นางไปขุดมาวันนี้มาให้แล้วพูดว่า “อย่าไปลองทำของพวกนั้นเลย เชื่อป้าแล้วทิ้งพวกมันไปซะ ตกลงไหม? วันหน้าถ้าไม่มีอะไรกินก็ไปที่บ้านป้าได้ พอเก็บเกี่ยวมันเทศได้เมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาคืน ใครๆก็มีช่วงที่ลำบากกันทั้งนั้นแหละ อย่าไปคิดมากเลย ทิ้งพวกมันไปซะ ทิ้งเร็ว” พร้อมกับพูด นางเหมาก็ดึงเอาผ้าขี้ริ้วไปจากมือของเสี่ยวเฉ่าและจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อเอาไปทิ้ง


เสี่ยวเฉ่าเริ่มเหงื่อตก นี่เป็นวิธีหาเงินที่เธอเค้นสมองคิดมาเลยนะ ถ้าโยนวัตถุดิบของเธอทิ้งไปแล้วพรุ่งนี้เธอจะขายอาหารตุ๋นห่อละ 1 อีแปะได้ยังไง? เธอสัญญากับคนที่ท่าเรือเอาไว้แล้วด้วย!


หยูไห่เห็นลูกสาวเริ่มกระวนกระวายก็รีบเขยกเข้ามาเอาเครื่องในหมูไปจากนางเหมาและยิ้ม “ครอบครัวเรายังไม่ถึงขั้นจะอดตายหรอกครับ ขอบคุณในความหวังดี เสี่ยวเฉ่ามีวิธีใช้ผ้าขี้ริ้วหมูพวกนี้ นางได้ยินมาว่าของพวกนี้สามารถเป็นยารักษาขาของข้าได้......”


นางเหมามองขาของเขาแล้วก็เข้าใจทันที นางพูดว่า “อ๋อ! งั้นก็ใช้กับขานี่เอง......มิน่าล่ะ! ถ้ามันรักษาขาได้จริงเหม็นแค่ไหนก็ต้องทนล่ะนะ งั้นข้าจะเอาแป้งมันกลับบ้าน แต่พวกเจ้าเก็บสมุนไพรเอาไว้ล่ะกันเผื่อจะได้ทำซุปคืนนี้ เสี่ยวเฉ่า ถ้าพรุ่งนี้อยากไปเก็บสมุนไพรก็มาหาป้านะ ป้ารู้จุดที่มีจี้ช่ายเยอะๆเลยล่ะ”

เสี่ยวเฉ่าสัญญากับนางเหมาที่ภายนอกเย็นชาภายในอบอุ่นพร้อมกับบอกลานาง นางฟางที่ยังอยู่พูดขึ้นว่า “เสี่ยวเฉ่า ตอนนี้แม่ของเจ้าไม่อยู่บ้าน ให้ป้าช่วยเตรียมของพวกนี้นะ”


เมื่อเสี่ยวเฉ่าเห็นว่าไม่มีทางจะเกลี้ยกล่อมนางฟางได้ เธอก็ล้างเครื่องในและตัดออกเป็นส่วนๆ จากนั้นก็สอนนางฟางให้พลิกเอาด้านในออกและใช้เกลือหยาบขัดให้ทั่วอย่างละเอียด นี่จะช่วยกำจัดกลิ่นและไขมันส่วนเกินออกไปได้ นางฟางไม่ได้ทำท่าเหมือนเห็นว่ามันน่ารังเกียจ นางม้วนแขนเสื้อขึ้นและลงมือทำงานทันที


หยูเสี่ยวเฉ่าสอนวิธีเตรียมและทำความสะอาดผ้าขี้ริ้วหมูให้เสี่ยวเหลียน ส่วนตัวเธอเองก็จัดการกับหัวหมู ขั้นตอนแรกคือเอาหัวหมูแช่ในน้ำสะอาดสักครู่ ขัดเอาสิ่งสกปรกด้านนอกออกแล้วกำจัดขนจนเกลี้ยง ต่อมาก็เอาไปต้มในหม้อประมาณ 15 นาทีและตรวจสอบดูว่ายังมีขนเหลืออยู่รึเปล่า พอถึงขั้นตอนนี้ก็เอาแปรงหยาบๆขัดผิวทั้งหมดจนกว่าจะสะอาดเกลี้ยงเกลา


หยูไห่อาสาทำหน้าที่ขัดหัวหมู ก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บที่ขา เวลาที่พวกชาวบ้านฆ่าหมูก็มักจะขอให้เขาช่วย เหตุผลมีสองอย่างคือหนึ่งเขาแข็งแรงและมีพละกำลังมาก อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาเรียนรู้วิธีฆ่าหมูด้วยตัวเองและรู้วิธีจัดการกับขนสัตว์อย่างแท้จริง เมื่อหยูเสี่ยวเฉ่าเห็นว่าเขาทำได้ดีเหมือนเธอ เธอก็มอบงานให้เขาได้อย่างสบายใจ


หลังจากแน่ใจว่าหัวหมูสะอาดแล้ว ก็ถึงเวลาผ่าเอาอวัยวะภายในออกมา งานนี้ก็ต้องมอบให้หยูไห่เช่นกัน ด้านเสี่ยวเฉ่าก็คอยชี้ว่าเขาต้องตัดและทำความสะอาดตรงไหน อย่างเช่นหู, ส่วนหางตา, ต่อมน้ำเหลือง, และติ่งจมูก จากนั้นก็เอาสมองออกมาใส่ในชามอย่างระมัดระวังเพื่อใช้ในคืนนี้ มันสามารถเอามาทำสตูว์ให้ทั้งครอบครัวกินได้!


หยูไห่เอากระดูกออกจากหัวหมูอย่างชำนาญและแยกพวกมันออกเป็น 5-6 ชิ้น จากนั้นก็นำชิ้นส่วนกระดูกใส่ลงไปในน้ำเย็นแล้วล้างอย่างระมัดระวังเพื่อกำจัดเศษซากและคราบเลือด นี่จะช่วยป้องกันไม่ให้รสชาติแปลกๆซึมเข้าหัวหมูตุ๋นและทำให้พังทั้งหม้อได้


หลังจากนั้นหยูเสี่ยวเฉ่าก็รับช่วงต่อ เธอเอาหัวหมูที่สะอาดแล้วใส่ลงไปในน้ำเดือด หลังจากต้มประมาณ 20 นาที เธอก็เอามันออกมาล้างให้สะอาดอีกครั้ง จากนั้นก็เอาหมูที่ต้มแล้วใส่ลงไปในหม้อใบใหม่พร้อมด้วยน้ำสะอาดและกระดูกจากหัวแล้วต้มรวมกัน เธอคอยปาดฟองที่ผุดขึ้นมาจนต้มสุกไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ใส่เนื้อลงไปในซอสที่เธอเคี่ยวไว้เมื่อวานนี้และเคี่ยวช้าๆจนเนื้อนุ่ม นอกจากนี้ยังใส่มาสเตอร์ซอสเข้าไปอีกเพื่อเสริมรสชาติ


ขณะที่หัวหมูถูกเคี่ยวอย่างช้าๆ กลิ่นหอมของเนื้อก็ค่อยๆกระจายจากสนามหญ้าออกไป จนไปถึงบ้านตระกูลเฉียนที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร เฉียนหวู่กำลังทำความสะอาดคันเบ็ดอยู่ในสนามหญ้า เขาสูดกลิ่นเข้าไปแล้วกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับพูดว่า “หอมจังเลย! ท่านแม่ได้กลิ่นรึเปล่า? ไม่ใช่วันปีใหม่สักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่เทศกาลอะไรด้วย บ้านไหนทำอาหารจานเนื้อตอนนี้เนี่ย?”


นางเหมาก็ได้กลิ่นเช่นกันและคิดว่าเป็นเพื่อนบ้านแถวๆนั้น นอกจากบ้านพรานจ้าวที่อยู่ตีนเขาซึ่งกินเนื้อบ่อยๆเพราะมีความสามารถในการล่าสัตว์แล้ว ก็มีแค่บ้านของนางฟางที่เข้ากับนางไม่ได้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นที่มาของกลิ่น หรือว่านางฟางจะมีแขกมาเยี่ยมเลยฆ่าไก่ทำอาหารเลี้ยงพวกเขา? แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ กลิ่นมันไม่เหมือนเนื้อไก่ ส่วนครอบครัวของเสี่ยวเฉ่านั้นนางเหมาก็ข้ามไปเลย พวกเขาจนมากจนแทบไม่มีจะกินแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเนื้อได้อีก?


“เจ้าเด็กตะกละ! คราวหน้าที่พี่ชายลูกกลับมา แม่จะซื้อเนื้อมาต้มให้กินล่ะกัน! นั่นลูกจะไปไหน? อย่าดื้อซิ อย่าให้แม่ต้องขายหน้าตระกูลโจวนะ” พรานจ้าวอาศัยอยู่ไกลจากพวกเขาไปอีก ดังนั้นกลิ่นอาหารของพวกเขาไม่น่าจะลอยมาถึงที่นี่ จึงมีอยู่แค่บ้านเดียวที่กลิ่นจะลอยมาได้


ที่จริงแล้วนางเหมากับครอบครัวโจวก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกันใหญ่โตจริงๆ มันก็แค่บ้านนึงเลี้ยงเป็ดส่วนอีกบ้านเลี้ยงไก่ และเป็ดกับไข่เป็ดของบ้านเฉียนไม่เป็นที่นิยมเท่าไก่ของบ้านโจว นอกจากนี้หัวหน้าครอบครัวโจวก็ชอบเร่ขายสินค้าในช่วงนอกฤดูเพาะปลูกและทำเงินได้มากมาย นางเหมารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเล็กน้อยและนางระวังคำพูดไม่เป็น หลังจากปะทะกันสองสามครั้ง ความสัมพันธ์ของสองครอบครัวก็ค่อยๆเย็นลงและเลิกแล้วต่อกัน


เฉียนหวู่ขว้างไม้ในมือทิ้งแล้ววิ่งออกนอกประตูพร้อมกับพูดว่า “ข้าไม่ได้จะไปบ้านท่านพี่เหวินหัวสักหน่อย ข้าจะไปเล่นกับฉีโตวต่างหาก”


เมื่อเฉียนหวู่มาถึงประตูบ้านหยู เขาก็พบว่ากลิ่นเนื้อแรงขึ้นที่นี่ แม้แต่หมูตุ๋นน้ำแดงที่ท่านแม่ของเขาทำตอนปีใหม่ก็ไม่ได้หอมยั่วน้ำลายขนาดนี้ เขาสูดหายใจลึกๆแล้วก้าวเท้าเข้าไปในสนาม

“ฉีโตว ได้กลิ่นรึเปล่า? หอมชะมัดเลย!!” เฉียนหวู่ตะโกนทันทีที่เข้ามาในบ้าน


ฉีโตวพุ่งออกมาจากครัวและยิ้มกว้าง “ท่านพี่เสี่ยวหวู่จมูกดีจัง! หัวหมูเพิ่งต้มเสร็จก็วิ่งมาที่นี่แล้ว มาๆๆ! พี่สามจะตัดเนื้อหัวหมูตุ๋นร้อนๆมาให้ลองชิม”


“ว้าว! งั้นกลิ่นเนื้อก็มาจากบ้านเจ้าน่ะซิ อ๊า!! ทำไมวันนี้บ้านเจ้าทำเนื้อกินล่ะ?” เฉียนหวู่เกือบปล่อยให้น้ำลายหกลงบนเสื้อ เขาใช้หลังมือเช็ดปากแต่เท้าของเขาไม่ขยับเลย

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว