อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 112 บัญญัติวรยุทธเฉพาะ

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 112 บัญญัติวรยุทธเฉพาะ

บนยอดเขาหมิงซาน...

สถานที่แห่งนี้ไม่อาจมองเห็นได้จากด้านล่างของภูเขา เนื่องจากมันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีดำ ที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย... บนยอดเขายังมีถ้ำขนาดใหญ่เหนือชั้นเมฆหมอก ภายในถ้ำล้วนเต็มไปด้วยซากศพนับพันที่เรียงราย ทั้งบุรุษ สตรี ผู้ชรา หรือแม้แต่เด็ก เสียงโหยหวนแห่งวิญญาณที่มนุษย์ทั่วไปไม่ได้ยิน ดังกึกก้องแฝงไว้ด้วยความเศร้าอาดูร บรรยากาศเต็มไปด้วยความน่าอนาถ น่าสังเวช...

ถ้ำแห่งนี้ ยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งใบหน้าเย็นชาขาวซีด มิต่างซากศพรอบ ๆ นั่งทำสมาธิพร้อมบริกรรมอาคมศาสตร์แห่งความมืด คนผู้นี้คือ สู่เหยียนกุ่ย แข็งแกร่งที่สุดใน 7 พี่น้องตระกูลสู่ ทั้งยังแตกฉานในศาสตร์อำนาจแห่งความมืดที่เหนือล้ำกว่าผู้ใดในหมู่พี่น้อง แม้แต่ชายสักครึ่งใบหน้า หรือ สู่ป๋ากุ่ย ก็ยังมิได้แม้เศษเสี้ยว...

หน้าที่ของชายผู้นี้มิต้องลงไปต่อสู้หรือเคลื่อนไหวด้านล่างเขาหมิงซาน เพราะมีหน้าที่ดูแลค่ายกล และดูแลศพนับพันเบื้องหน้า ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติ จึงสามารถรับรู้ได้ก่อนใคร... ซึ่งเวลานี้เอง สู่เหยียนกุ่ย จู่ ๆ ก็ลืมตาตื่นขึ้น ขยี้หว่างคิ้วด้วยความฉงน...

“ค่ายกลสั่นสะเทือน?! มีผู้แข็งแกร่งบุกรุกเข้ามา!!”

สู่เหยียนกุ่ย ยืนพรวดขึ้นด้วยท่าทีตื่นกระหนก จากอำนาจที่สะท้านสะเทือนของ เป่ยเตียวหุย ที่เข้ามาในรัศมีค่ายกล ซึ่งมองเผิน ๆ เหมือนว่าค่ายกลในหุบเขาหมิงซานจะทำหน้าที่ปิดกั้นหยกสื่อสาร แต่มันยังมีพลังอีกรูปแบบที่แอบแฝง นั่นก็คือการตอบสนองต่อชนชั้นยอดฝีมือระดับสูงที่เหนือกว่าชนชั้นลมปราณสีเหลืองขึ้นไป... สู่เหยียนกุ่ย ยามนี้จึงทำให้มิอาจนิ่งเฉยรีบตรงเข้าไปยังถ้ำส่วนลึกแห่งนี้ในทันที...

การสร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่รุนแรง อย่างเช่นการกวาดล้างสังหารคนในหมู่บ้านหลายแห่ง ฆ่าคนไปนับพันเช่นนี้นั้น มิอาจนับได้ว่าเป็นสถานการณ์สามัญของแผ่นดิน การฆ่าผู้บริสุทธิ์ลงไปมากมายเช่นนี้ มันย่อมกระทบกระเทือนไปถึงความมั่นคงด้านการปกครองของราชวงศ์ไป๋หู่

ดังนั้นเหตุการณ์ใหญ่โตถึงระดับนี้ ไหนเลยจะเกิดขึ้นได้ด้วยฝีมือของพี่น้องตระกูลสู่แค่เพียง 7 คน อีกทั้งพี่น้องตระกูลสู่ ยังเป็นเพียงชนชั้นลมปราณสีเขียว ที่ยังไม่ถึงขั้นยอดฝีมือระดับสูงเสียด้วยซ้ำ การที่พวกมันกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ ก็ย่อมต้องมีผู้หนุนหลังอยู่ในเงามืดอันแข็งแกร่ง ที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน...

ในพี่น้องตระกูลสู่ทั้ง 7 คน คนเดียวที่สามารถติดต่อกับผู้หนุนหลังได้ มีเพียง สู่เหยียนกุ่ย เท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ... ดังนั้นแล้วต่อให้ เหยาซาน ใช้นิมิตห้วงวิญญาณ มองความทรงจำของคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ สู่เหยียนกุ่ย ก็ไม่อาจมองเห็นภาพความทรงจำของผู้ยิ่งใหญ่เบื้องหลังคนนี้ได้...

ศาสตร์แห่งความมืดต่าง ๆ ที่พี่น้องตระกูลสู่ได้ฝึกฝนนั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก สู่เหยียนกุ่ย อีกทอดหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า สู่เหยียนกุ่ย ย่อมได้รับมอบหมาย มาจากผู้ที่คอยหนุนหลังชี้แนะอีกทอดหนึ่งเช่นเดียวกัน...

การที่ สู่เหยียนกุ่ย ดึงเหล่าพี่น้องของตนเข้าสู่วังวนแห่งเป้าหมายบางอย่างในครั้งนี้ ย่อมรู้ทั้งรู้ว่ากำลังถูกหลอกใช้งานมิต่างเบื้องล่าง แต่ทั้ง 7 คนก็ยินยอมพร้อมใจปฏิบัติตาม เนื่องจากมันแลกมาซึ่งพลังอันแข็งแกร่ง และความมั่งคั่งที่ผู้หนุนหลังยอมจ่ายให้ตระกูลสู่...

สถานที่ด้านในถ้ำส่วนลึก เต็มไปด้วยค่ายกลมากมายนับไม่ถ้วน... นอกจาก สู่เหยียนกุ่ย แล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าไปด้านในได้ ใบหน้าของ สู่เหยียนกุ่ย เคร่งครึมอย่างมาก คุกเข่าลงที่เบื้องหน้าหมอกทมิฬภายในถ้ำส่วนลึก...

“อาจารย์... บัดนี้มีผู้แข็งแกร่งเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งยังเกินกว่าอำนาจที่ศิษย์จะสามารถรับมือได้...” สู่เหยียนกุ่ย กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบ

ไม่นานนักหมอกทมิฬก็พลันสั่นไหว ก่อนจะค่อย ๆ แหวกออกเปิดทาง ไอหมอกทมิฬซัดสาดหมุนวนอย่างน่าอัศจรรย์ จากนั้นจึงมีเงาร่างของชายชราผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา แผ่ล้นไปด้วยคลื่นความตายไร้สิ้นสุด ใบหน้าถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากากอสูรสีขาว ทำเอา สู่เหยียนกุ่ย สั่นสะท้านไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองนานนัก...

ชายชราถอนหายใจภายใต้หน้ากากเสียงเย็นเยือก...
“อืม... ข้าเองก็พอจะรู้สึกได้ ทั้งยังได้รับรู้เรื่องราวเบื้องล่างจากดวงวิญญาณที่ข้าส่งออกไป แผนการของพวกเราใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะมียอดฝีมือชนชั้นราชันย์บุกเข้ามา ดูท่าข้าคงต้องออกไปรับมือด้วยตนเอง...

ส่วนเจ้า เหยียนกุ่ย ถึงเวลาที่เจ้าเองก็ต้องลงเขาไปแล้ว นอกจากยอดฝีมือชนชั้นราชันย์ที่เข้ามาในเขตค่ายกล มันยังมีมดปลวกอยู่อีกผู้หนึ่ง ซึ่งเวลานี้มันสังหารพี่น้องเจ้าไปกว่าสามคนแล้ว และกำลังเผชิญหน้าอยู่กับพี่ชายคนโตของเจ้า

ทว่าตามความเห็นของข้า อีกไม่นานพี่ชายเจ้าคงต้องแพ้พ่ายเป็นแน่แท้ จะตกตายหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า จงลงไปจัดการมดปลวกตัวนี้ด้วยตนเอง... ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้ามดปลวกตัวนี้มันมีพลังอำนาจแปลกประหลาดบางอย่าง ที่คล้ายจะเป็นอันตรายต่อแผนการสร้างกองทัพหุ่นเชิดศพของพวกเรา...”

สู่เหยียนกุ่ย ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาพลันแดงก่ำขึ้นในพริบตา...
“มันสังหารพี่น้องข้างั้นหรือ?! อภัยให้ไม่ได้!!”

……………………………………..

การต่อสู้ของ เหยาซาน และ สู่ป๋ากุ่ย เลือนลั่นขุนเขา แต่ละหมัดของทั้งสองล้วนฉีกกระชากชั้นบรรยากาศให้แตกระเบิด บ่งบอกถึงพละกำลังที่มหาศาล ยามนี้ต่างฝ่ายต่างแสดงพลังออกมาห้ำหั่น... ใบหน้าของ สู่ป๋ากุ่ย เผยถึงความตะลึงสะพรึงเพริด แทบไม่อาจจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มชนชั้นลมปราณสีน้ำเงินขั้นกลางตรงหน้า จะมีพลังกายที่ทัดเทียมได้กับตน!!

“บัดซบ!! เจ้านี่มันตัวอะไรกันแน่ เหตุใดจึงมีกลิ่นอายราวกับสัตว์ร้ายเช่นนี้ หรือว่ามันจะเป็นร่างสถิตสัตว์อสูรที่หาได้ยากยิ่ง ตามที่ยุทธภพล่ำลือกัน” สู่ป๋ากุ่ย เริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร พี่น้องของมันจึงถูกเด็กคนนี้สังหาร ทั้งหมดล้วนเกิดจากพลังที่เหนือล้ำไปกว่าพื้นฐานลมปราณที่แสดงออกมา หลายต่อหลายเท่า...

“แต่ในเมื่อพละกำลังทัดเทียมกัน ด้วยประสบการณ์ที่มีข้าย่อมไม่พ่ายแพ้!!” สู่ป๋ากุ่ย คำรามเสียงปลุกขวัญตนเอง ระเบิดกระบวนท่าเพลงหมัดสะท้านภูผาที่ตนฝึกฝน

อีกทั้งเพลงหมัดนี้ยังแฝงไว้ด้วยการสิงสู่ของวิญญาณอาฆาต!! นิ้วมือทั้งสิบของ สู่ป๋ากุ่ย เต็มไปด้วยรอยสักอาคม เป็นดั่งกรงขังดวงวิญญาณอาฆาตของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งสิบตน จองจำวิญญาณเหล่านั้นเพื่อดึงพลังวิญญาณออกมาสร้างไอทมิฬแห่งความตาย หมัดแต่ละหมัดที่ระเบิดพลังออกไป จะเกิดเงาหมัดสีดำที่ดึงพลังจากวิญญาณอาฆาตได้มากยิ่งกว่า ไม้เท้าหัวกะโหลก ของน้องชายเสียอีก...

ตูม!!

เหยาซาน ถูกหมัดกระแทกใส่ร่าง อวัยวะภายในถึงกับสั่นสะท้าน จนสำรอกโลหิตส่วนหนึ่งจากมุมปาก... ด้านพละกำลังของทั้งสองไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก หากแต่เพราะอำนาจวิญญาณ และประสบการณ์ ทำให้การเคลื่อนไหวของ สู่ป๋ากุ่ย มีความเฉียบคมยิ่งกว่า...

เหยาซาน ปาดโลหิตที่มุมปากเนื่องช้า จดจองศัตรูมิวางตา หลังปะทะกันมาสักระยะก็พอจะวิเคราะห์รูปแบบการต่อสู้ที่เหมาะสมได้แล้ว แม้ว่าพื้นฐานลมปราณและประสบการณ์ของ เหยาซาน จะด้อยกว่ามาก ทว่าก็มีสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่า...

นั่นคือความหลากหมายของพื้นฐานวรยุทธ!!

เหยาซาน มิได้เรียนรู้พื้นฐานวิชาต่าง ๆ เพียงแค่นำมาใช้งานเท่านั้น... หากแต่จุดหมายหลักคือการเรียนรู้ เพื่อค้นหาเส้นทางใหม่ ๆ และนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับตนเองมากที่สุด... อาวุธชนิดใด? เหมาะที่จะจับคู่กับทักษะประเภทใด? และผสานเข้ากับธาตุใด? จึงจะแสดงอนุภาพแบบใด? ควรใช้รับมือกับศัตรูลักษณะใด? พื้นฐานเคล็ดวิชามากมายที่ได้เรียนรู้มาทำให้ เหยาซาน เริ่มที่จะจับคู่มัน สร้างรูปแบบการต่อสู้ใหม่ ๆ เป็นของตนเอง...

บัญญัติวรยุทธเฉพาะ ในรูปแบบของตนเอง

สู่ป๋ากุ่ย มองเห็นถึงแววตาที่เปลี่ยนแปลงไปของอีกฝ่าย แต่ก็ยังเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตน ที่จะไม่มีวันพ่ายแพ้ให้กับผู้เยาว์ชนชั้นลมปราณสีน้ำเงินอย่างเด็ดขาด...
“ข้าจะแก้แค้นให้น้องชายข้า เจ้าต้องตาย!!”

สู่ป๋ากุ่ย เปล่งรังสีฆ่าฟันรุนแรงขึ้นอีกครั้ง แขนสองข้างห่อหุ้มด้วยไอทมิฬสีดำ ก่อนหน้านี้มันสามารถกดดันศัตรูได้ครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งยังฝากรอยหมัดไว้ที่ท้องจนเห็นเด็กหนุ่มกระอักเลือด ยามนี้จึงทะยานตรงเข้าหา เหยาซาน ด้วยความฮึกเหิม แววตาปกปิดความลำพองใจเอาไว้ไม่มิด...

หากแต่ เหยาซาน กลับนิ่งขรึมอย่างยิ่ง พื้นฐานเคล็ดวิชาที่เรียนรู้มาทั้งหมดหมุนวนในห้วงสำนึก เกิด [วงจรแห่งความซ้ำซ้อน เพื่อแสวงหาความสมบูรณ์] สร้างรูปแบบการต่อสู้ด้วยจินตนาการในชั่วพริบตา... ก่อนจะเลือกสรรจากความสมเหตุสมผล ปัจจัยแห่งการเผชิญหน้า ประหนึ่งเป็นการจับคู่สิ่งต่าง ๆ เพื่อชิงความได้เปรียบสำหรับศัตรูเบื้องหน้าผู้นี้

เหยาซาน เอ่ยพึมพำเบา ๆ กันตนเอง...
“ศัตรูใช้เพลงหมัด เช่นนั้นข้าต้องใช้เพลงเตะที่เหนือกว่าในด้านระยะและพลัง... ศัตรูใช้ไอทมิฬซึ่งถือเป็นปราณเย็นธาตุหยิน เช่นนั้นข้าก็ต้องใช้ปราณร้อนธาตุหยาง เพื่อหักล้างอำนาจของมันให้ดับสูญ...”

ประกายดวงตาของ เหยาซาน พลันเจิดจ้าขึ้น
ได้รับคำตอบผ่านการวิเคราะห์ระหว่างต่อสู้...

“เพลงเตะคชสารสยบฟ้า ผสาน อาภรณ์เปลวเพลิง!!”

พริบตานั้นเองที่ร่างของ เหยาซาน พลันห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงหมุนวนรอบกายในชั่วพริบตา!! สะกดข่มปราณหยินแห่งความตายโดยรอบรัศมี ราวกับดวงตะวันที่ผุดขึ้นยามราตรีอันมืดมิด จากนั้นขาสองข้างของ เหยาซาน พลันมีประกายอำนาจสยบก่อเกิด ตัดสินใจโดดทะยานขึ้นสูงจากพื้น หมุนตัวกลางเวหาสามสี่รอบเพิ่มความเร็วฉับพลัน มองเห็นเป็นราวกับกงจักรเปลวเพลิง...

เหยาซาน เผยไอสังหารชั่วพริบตา ก่อนจะตวัดขาท่าเหยียบ กระทืบลงบนตำแหน่งร่างของ สู่ป๋ากุ่ย!! อีกฝ่ายใช่จะหวั่นเกรง ระเบิดกำปั้นไอทมิฬต่อยสวนเข้าปะทะ จึงทำให้เกิดอำนาจแรงระเบิดสั่นคลอนรอบรัศมี

ตูม!!

ฝ่าเท้าที่ห่อหุ้มเปลวเพลิงของ เหยาซาน เหยียบลงบนกำปั้นสีดำของ สู่ป๋ากุ่ย อย่างแม่นยำ ทั้งคู่เปรียบวัดพลังทั้งหมดเข้าผลักดันโดยไม่กักเก็บ เผยไอสังหารต่อกันและกันไร้สิ้นสุด ด้านความแข็งแกร่งใช่ว่าจะมีใครเพลี่ยงพล้ำ...

ทว่า...

สู่ป๋ากุ่ย เริ่มที่จะสัมผัสได้แล้ว ว่าตนกำลังถูกสะกดข่ม!! ทั้งจากกำลังขาที่เหนือกว่ากำลังหมัด ทั้งปราณอัคคี ที่เหนือกว่าไอทมิฬแห่งความตาย!! แม้ทั้งสองคนจะทัดเทียมกันในด้านอื่น ๆ แต่พอเปรียบวัดที่กระบวนท่าปะทะ มันชัดเจนยิ่งว่า เหยาซาน เลือกใช้ในสิ่งที่สามารถสะกดข่ม สู่ป๋ากุ่ย ได้อย่างสมบูรณ์!!

ภาพเงาเบื้องหลังของ เหยาซาน เผยให้เห็นถึงคชสารที่กำลังกระทืบลงบนผืนฟ้า ซึ่งก่อเกิดจากอำนาจแห่งเคล็ดวิชา ผนวกกับทั่วร่างที่ห่อหุ้มเปลวเพลิง บัดนี้เริ่มที่จะเคลื่อนย้ายเปลวเพลิงจากทั่วร่าง ให้ไปร่วมกันเป็นจุดเดียวที่ฝ่าเท้า กลายเป็นความร้อนแรงไร้สิ้นสุด แผดเผาลมปราณดั่งเชื้อไฟ!!

“จงแหลก!!” เหยาซาน คำรามเสียงกึกก้อง

ในตอนนั้นเอง กำปั้นของ สู่ป๋ากุ่ย ค่อย ๆ ถูกเปลวเพลิงกลืนกิน ไอทมิฬสูญสลายไปดุจเหมันต์ที่ถูกหล่อหลอมจากดวงตะวัน!! ก่อนที่ เหยาซาน จะออกแรงกระทืบเท้าลงมาอีกครั้ง แขนขวาของ สู่ป๋ากุ่ย พลันระเบิดออกเป็นเศษเนื้อ กระดูกป่นแหลกเหลว ไม่หลงเหลือสิ่งใดที่ยื่นเกินจากหัวไหล่ออกมา

“อ๊ากกกกก!!” เสียงของ สู่ป๋ากุ่ย แผดร้องโหยหวน แขนข้างหนึ่งของมันได้หายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์ ไม่เหลือแม้แต่เศษซากให้นำมาต่อใหม่ได้

ความดุดันของแววตาและจิตสังหารจาก เหยาซาน ยังไม่ลดต่ำลงแม้สักนิด เมื่อเอาชนะได้ในการปะทะแรก เพียงแค่เท้าข้างหนึ่งแตะถึงพื้น ก็พลันหมุนตัวอย่างรวดเร็วดุจเป็นแกนกลางวายุคลั่ง สั่งสมพละกำลังจากการหมุนตัว จากนั้นจึงรีดเอาพลังทั้งหมดตวัดปลายเท้าที่ห่อหุ้มเปลวเพลิง สะบัดเตะอย่างรุนแรงบนใบหน้าของ สู่ป๋ากุ่ย...

ชายร่างกำยำที่เวลานี้ ไม่มีแม้แต่ปราณคุ้มกัน ร่างกายไม่มีแม้แต่ไอทมิฬปกคลุม ความอ่อนแอเช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถรับมือกับเพลงเตะที่รุนแรง และโจมตีในชั่วพริบตาได้... ศีรษะถูกสะบัดตามแรงปะทะจนหมุนคอได้ 3 รอบ ก่อนจะมีเปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นในเวลาต่อมา...

ร่างของ สู่ป๋ากุ่ย คุกเข่าร่วงลงกับพื้น ก่อนจะทิ่มหน้าลงในท่าหมอบกราบ ศีรษะค่อย ๆ มอดไหม้และลุกลามไปยังร่างกายอย่างช้า ๆ มองดูสยดสยองและอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้การลงมือที่เหี้ยมหาญ ไร้ซึ่งความปราณี...

เหยาซาน จดจ้องของสภาพการตายของ สู่ป๋ากุ่ย ด้วยแววตาที่เย็นชา... กล่าวได้ว่ายามนี้ การลงมือสังหารคนของ เหยาซาน เด็ดขาดจนแม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัวต่อจิตใจของตนเอง... ความเย็นชาของหัวใจที่ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วหลังสังหารผู้คน น่าแปลกที่ความโหดร้ายนี้กลับไปสลายกลีบรอยสักดอกบัวสวรรค์ยังแผ่นหลัง จนบัดนี้เหลือเพียงแค่ 4 กลีบสุดท้ายเท่านั้น...


..................................................

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว