อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 265 ฝ่ายตรวจการ

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 265 ฝ่ายตรวจการ

ทั้งบนฟ้า และพื้นดิน ผู้คนล้วนแล้วแต่มองตาค้างไปยังชายหนุ่ม ที่หยุดยืนอยู่กลางห้วงนภาอากาศ ทั้งยังเป็นขอบเขตรัศมีที่สัตว์อสูรทั่วไปไม่อาจโบยบินได้ เพราะมีแรงกดดันที่ทำให้ชั้นบรรยากาศปรวนแปรเป็นกระแสไม่แน่นอน นอกเหนือจากราชันย์มังกรทมิฬ สัตว์อสูรทุกตัวล้วนร่วงหล่น


ทว่า ซุน นั้นแตกต่างออกไป... สิ่งที่ทำให้เขาดำรงอยู่นั้นมิใช่การโบยบิน หากแต่เป็นการเหยียบย่างบนสายลมพิเศษ ที่หมุนวนจนเป็นกงล้อวายุสีส้ม ความรู้สึกของ ซุน จึงไม่ต่างอะไรกับการยืนอยู่บนแท่นขนาดเล็กที่อ่อนไหวไม่คงที่ หากแต่สามารถขยับตามการนึกคิดและเจตนา


ทุกวันนี้ ซุน ยังจดจำอิสรภาพบนท้องฟ้าในครั้งแรก ในตอนที่เขาได้นั่งบนหลังของ เฝิงน้อย เมื่อหลายปีก่อนได้เป็นอย่างดี... หากแต่ความรู้สึกตื่นเต้นที่คล้ายคลึงกันในเวลานี้ มันมีมากกว่านับสิบเท่า ความเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง โดยไม่พึ่งพาผู้ใด!!


“ทะ...ท่านผู้นำนิกาย นั่นมันคืออะไร!!” ฉีเค่อ ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นด้วยความตื่นตะลึง


“ไม่รู้สิ... นับตั้งแต่ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งยุทธภพ ข้าก็ยังไม่เคยพบเห็นอะไรเช่นนี้...” เจียงหนิงหลง กล่าวพร้อมกับเหงื่อที่ซึมบนหน้าผาก ตื่นตระหนกไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด...


ชายชรากวาดประเมินสถานการณ์รอบด้านในทันที ตำแหน่งที่ ซุน อยู่นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปใกล้ได้ มังกรเกล็ดดำสองตนก็ได้รับบาดเจ็บหนัก จากผลกระทบของการปะทะ เพียงแค่พวกมันประคองตนเองมิให้ร่วงหล่นจากฟ้าก็เต็มกลืนแล้ว ทำให้สองนักรบมังกรดำที่ได้รับบาดเจ็บอยู่เช่นนั้น ยังต้องไปอาศัยพึ่งพิงมังกรเกล็ดดำของ ฉีเค่อ ชั่วคราว...


ภาพรวมนั้นเรียกได้ว่า ถูก ซุน เล่นงานอย่างนักจนเสียรูปขบวน...


“ท่านผู้นำ พวกเจ้าจะเอายังไงกันต่อไป...” ฉีเค่อ เอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


เจียงหนิงหลง ถอนหายใจ... “พวกเราลงมือไปครั้งหนึ่งแล้ว ถึงจะไม่อาจสังหารแมวสวรรค์ตัวนั้นได้ ทั้งฝ่ายนั้นก็ไม่คิดจะยอมถูกจับเป็นแน่นอน ในเมื่อข้ามเส้นต้องห้ามไปแล้ว ก็มีแต่ต้องทำให้ก้าวต่อไปจนกว่าจะสำเร็จเท่านั้น


อีกไม่นานก็จะพ้นเขตรัศมีแรงกดดันห้ามโบยบิน พวกเราต้องไล่ต้อนแมวสวรรค์ไปให้ถึงตำแหน่งนั้น และรวมพลังกันจัดการมันให้ได้!!” วินาทีนั้น ไอสังหารของ เจียงหนิงหลง ลุกโชนขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องจัดการอีกฝ่ายเด็ดขาด


เทพปรมาจารย์ระเบิดพลังรบที่แท้จริงออกมา... ปรากฏดวงไฟเทียมตะวันเก้าดวงลอยอยู่ด้านหลัง เอกลักษณ์เคล็ดวิชาเปลวเพลิงเทพสุริยัน ทักษะที่ได้มาจากการชี้แนะของ ราชันย์มังกรทมิฬ เมื่อครั้งอดีต เป็นการลอกเลียนแบบและพัฒนาขึ้นมาสำหรับสายเลือดผู้นำนิกาย...


เบื้องล่าง... เมื่อ จูเชว่หยวน เห็นว่า เจียงหนิงหลง ตัดสินใจมั่นแล้ว เขาเองที่เคยยังลังเลก่อนนี้ ก็พอจากมองออกว่าชายหนุ่มผมขาวบนท้องฟ้า ในอีกไม่กี่ปีข้างน่าจะต้องมีความน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งไปกว่านี้ หากไม่จัดการเสียแต่เนิ่น ๆ อาจมาถึงวันที่ราชวงศ์จูเชว่ต้องถูกเขย่าคลอน ดวงตาถึงเผยแววสังหารออกมาเช่นกัน...


ศรเพลิงสุริยัน พวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้า...

กนิษฐาเปลวเพลิง ถูกยิงขึ้นจากพื้นดิน!!


ซุน สัมผัสได้ถึงวิกฤตเป็นตายที่รุนแรง... แต่น่าแปลกที่เขามิได้แสดงความหวาดวิตกใด ๆ ออกมาเลย หากเผชิญหน้ากับเทพปรมาจารย์ในระยะประชิด แน่นอนว่าเขาคงไม่มีทางชนะ... ทว่าหากเป็นการโจมตีจากระยะที่ห่างไกลออกไปนับพันนับหมื่นจั้งเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของเขาที่จะหลบเลี่ยง!!


ซุน ระเบิดฝีเท้า เหาะเหินเป็นครั้งแรก!! เขาไม่รู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังบิน แต่ให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบย่างไปบนอากาศเสียมากกว่า ศรเพลิงสุริยันมากมายที่พุ่งเข้ามานั้น เป็นการโจมตีวิถีตรง ซุน สามารถหลบเลี่ยงไปมาในอากาศได้อย่างอิสระ


กนิษฐาเปลวเพลิงแม้จะสามารถหักเลี้ยวเล่นงาน แต่ก็เป็นเพียงลำแสงโค้งงอที่รุนแรงในชั่วระยะหนึ่ง สามารถอ่านกระแสลมปราณรอบด้านเพื่อหลบเลี่ยงได้เช่นกัน อีกทั้งด้วยระยะที่ห่างไกล มันจึงเชื่องช้าอย่างยิ่งในสายตาของ ซุน...


ทุกคนไม่ว่าจะบนฟ้า ไม่ว่าจะพื้นดิน... ต่างก็เห็น ซุน เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเลี่ยงหลบการโจมตีของสองเทพปรมาจารย์ ทั้งที่ทุกการโจมตีสามารถดับสังหารตัวเขาได้ ทว่าในการหยอกล้อต่อความตาย กลับมีรอยยิ้มแห่งความสนุกปรากฏขึ้นประดับใบหน้า หนังศีรษะของผู้ที่ได้เห็นล้วนมากันด้านชา มองว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้เป็นบ้าไปแล้ว...


ซุน สนุกไปกับการเคลื่อนไหวที่มีอิสระ และก็ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นชินกับทักษะมากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งยังมีความลับสำคัญอีกประการจากพรแห่งร่างสถิตสายลมสีส้ม กงล้อเทพวายุ นี้ ซึ่งนั่นก็คือ...เมื่อพรถูกขับขาน เมื่อชายหนุ่มห้อทะยานบนท้องฟ้า เมื่อมีกระแสลมปะทะใบหน้า เมื่อมีพายุไหลผ่านเรือนกาย และมีสายลมสีส้มหมุนวนใต้ฝ่าเท้า


จะก่อให้เกิดเป็นอำนาจพิเศษบางอย่างที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นการลบล้างจุดอ่อนสำคัญอย่างหนึ่งของ ซุน ในเวลาเดียวกัน... และนั่นก็คือพลังในการชักนำสายลมรอบด้าน เพื่อทำการฟื้นฟูลมปราณ!!


ซุน รู้สึกเหมือนลมปราณที่แห้งเหือดไปแล้วของเขา กำลังค่อย ๆ ซึมซับสายลมสีส้มจาก วงล้อเทพวายุ อย่างช้า ๆ แต่ก็ยังถือว่ารวดเร็วกว่าการใช้สุราลมปราณหลายต่อหลายเท่า การหมุนวนของสายลมสีส้มก็เสมือนเป็นการชักนำกระแสลมจากท้องฟ้ารอบด้าน ก่อนจะปั่นหมุนวนผ่านกระบวนการจากพรแห่งร่างสถิต แปรสภาพเป็นแหล่งพลังลมปราณเพื่อฟื้นฟูให้ร่างกายของร่างสถิต ได้ดูดกลืนเข้าไปอีกทอดหนึ่ง...


ชายหนุ่มจิตใจเต้นระส่ำ ยิ่งเขาใช้วงล้อเทพวายุในการต่อสู้ ก็ยิ่งเติมเต็มลมปราณที่พร่องโหว่ในร่างมากยิ่งขึ้น... “สมแล้วกับคำกล่าวที่ว่า เทพหู่(ขาล) เป็นร่างสถิตที่มีสมดุลในการต่อสู้มากที่สุดในหมู่เทพนักษัตร พละกำลัง ความเร็ว โจมตี ป้องกัน หรือแม้แต่การฟื้นฟูร่างกาย และฟื้นฟูลมปราณก็ยังครบถ้วน...”


ซุน ราวกับเป็นแมลงที่กำลังเล่นกันไฟ แม้เขาจะมิอาจตอบโต้กลับไป แต่ก็สามารถเลี่ยงหลบอำนาจสยบฟ้าดินของสองเทพปรมาจารย์ พลางใช้เวลาในส่วนนั้นค่อย ๆ สั่งสมลมปราณให้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เขาเชื่อว่าถึงแม้จะเป็นวิกฤตที่น่ากลัว แต่ขอแค่ตนยังมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ โอกาสจะต้องเกิดขึ้นได้แน่นอน...


น่าเสียดายก็ตรงที่ ความเร็วในการเหยียบย่างนภาอากาศของ ซุน นั้น แม้จะเร็วกว่าอาชาระดับสูงของ จูเชว่หยวน ที่วิ่งไล่ตามยังเบื้องล่าง หากแต่มันก็เชื่องช้ากว่ามังกรเกล็ดดำที่สยายปีกเบื้องบน...


เขายังคงเป็นมนุษย์... แม้จะมีทักษะที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ แต่ก็มิอาจเหนือกว่าสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ เฉกเช่นการโบยบินของสัตว์อสูรสายพันธุ์มังกรได้... ความเร็วสูงสุดในการพุ่งทะยานของ ซุน ในเวลานี้คงพอ ๆ เฝิงน้อย เท่านั้นเอง


การไล่ล่านี้ยืดเยื้อจนพ้นขอบเขตแรงกดดันห้ามโบยบินในที่สุด... ชั่ววินาทีนั้น เจียงหนิงหลง ได้ออกคำสั่งให้นักรบมังกรดำสองคนที่บาดเจ็บ รวมถึงมังกรเกล็ดดำที่ไม่สมบูรณ์สองตัวออกไปจากการต่อสู้ มิให้กลายมาเป็นตัวถ่วง... จากนั้น เจียงหนิงหลง และ ฉีเค่อ รวมไปถึงนักรบมังกรดำอีกสองคน ก็บินตรงดิ่งเข้าหา ซุน เพื่อร่นระยะให้ใกล้มากขึ้น...


ทางด้าน จูเชว่หยวน เมื่อก้าวพบขอบเขตร้อยลี้ แม้จะตามหลังอยู่พอสมควร หากแต่ชายชราก็โบกมือแรงครั้งหนึ่ง พร้อมป้ายควบคุมสัตว์อสูร อีกาเพลิงตัวใหญ่ชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นปลายก็ได้ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน นำพาเทพปรมาจารย์จากเบื้องล่างไล่ล่าเบื้องบน


ซุน รู้สึกได้ว่าหลังจากนี้คือความอันตรายอย่างแท้จริง ความเร็วของเขานั้นต่ำกว่าสัตว์อสูรทุกตัวบนท้องฟ้า ทำให้เวลานี้เริ่มที่จะถูกโอบล้อมจากรอบด้านโดยเหล่าบรรดายอดฝีมือ ที่ควบสัตว์อสูรเต็มกำลัง


ถึงกระนั้น! ความคล่องแคล่วว่องไวของ ซุน บนท้องฟ้า กลับมีมากกว่าสัตว์อสูรทุกตนอย่างทาบไม่ติด! ซุน สามารถหักเลี้ยวทิศทางได้อย่างอิสระ เมื่อจวนตัวยังสามารถสลาย วงล้อเทพวายุ พร้อมกับนำเอาขวานศิลาที่มีน้ำหนักมากออกมาถือครอง กลายเป็นทิ้งดิ่งตนเองลงสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วสูง เลี่ยงหลบการถูกปิดล้อม


พอทำให้ฝูงสัตว์อสูรที่ไล่ล่าเสียขบวนและจังหวะ เขาก็กลับมาใช้ วงล้อเทพวายุ ปีนป่ายความว่างเปล่ากลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง บ้างก็ไปหลบด้านหลังมังกรเกล็ดดำของเหล่านักรบ บ้างก็แอบไปอยู่ด้านหลังของอีกาเพลิง อีกทั้งเมื่อสบโอกาสจะลอบโจมตีไปยังสัตว์อสูรที่โบยบินเหล่านั้น ทำให้ยอดฝีมือด้านบนต้องคอยระมัดระวังในทุกลมหายใจ มิเช่นนั้นอาจจะตกร่วงลงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว


ซุน วนเวียนไปมาอยู่เช่นนี้ราวกับลิงหลอกเจ้า!!


ทำให้เหล่าบรรดายอดฝีมือผู้ไล่ล่า หัวหมุนและเดือดดาลไปตาม ๆ กัน ไม่กล้าที่จะโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าออกไป เนื่องด้วยเกรงจะโจมตีถูกพวกเดียวกัน... แม้จะมีสองเทพปรมาจารย์เป็นผู้ลงมือ แต่เพราะเป็นการโจมตีจากนอกระยะ จึงไม่ได้รวดเร็วพอที่จะเล่นงานชายหนุ่มผู้มีอิสระสูงสุดบนท้องฟ้า...


“บัดซบ!! นี่เจ้าเป็นแมวสวรรค์ หรือแมลงวันกันแน่!!”


ซุน เมินเฉยชินชากับคำยั่วยุ เขายังคงทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เพื่อสั่งสมลมปราณในร่างและหาโอกาสเหมาะเจาะที่เชื่อมั่นจะว่าต้องเกิดขึ้น... การไล่ล่าวนเวียนอยู่เช่นนี้ไปอย่างยาวนาน เวลาผ่านเลยไปตั้งแต่ดวงตะวันลับขอบฟ้า จวบจนดวงตะวันโผล่ออกมาอีกครั้ง!!


กว่าหลายชั่วยามแล้ว ที่การไล่ล่ามิอาจจบสิ้น... เหล่านักรบมังกรดำมีอาการเหนื่อยหอบให้เห็น สูญเสียพลังลมปราณกับการโจมตีไร้ผลไปตลอดทั้งคืน ทว่าสองเทพปรมาจารย์ชนชั้นจักรพรรดิ ซึ่งมีบ่อพลังใหญ่กว่าชนชั้นราชันย์นับสิบเท่า ยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกำลังให้เห็น...


หากมีใครนำไปพูดว่าสองเทพปรมาจารย์ ใช้เวลาไล่ล่าผู้เยาว์คนหนึ่งตลอดทั้งคืน แต่ก็ยังไม่อาจกำราบอีกฝ่ายได้ คงเป็นที่น่าขบขันและคงไม่มีผู้ใดเชื่อถือคำพูดเหล่านี้เป็นแน่...


สีหน้าของ เจียงหนิงหลง และ จูเชว่หยวน ในเวลานี้เขียวคล้ำจนอัปลักษณ์ แม้แต่เหล่านักรบมังกรดำก็ยังใบหน้าบิดเบี้ยวถึงขีดสุด... การโจมตีของพวกเขาตลอดทั้งคืน ราวกับแสงไฟที่สว่างไหวบนท้องฟ้ามืดมิดยามราตรีกาล


หากเป็นการต่อสู้บนพื้นดิน ป่านนี้ ซุน คงตกตายไปไม่ต่ำกว่าร้อยรอบแล้วเป็นแน่ แต่พอเป็นการต่อสู้บนท้องฟ้า ที่ฝ่ายหนึ่งต้องใช้สัตว์อสูรพาหนะช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายกลับมีอิสระในการเคลื่อนไหว ความแตกต่างในข้อนี้ถือเป็นความได้เปรียบที่เกินจะพรรณนา...


เหตุผลที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ สองเทพปรมาจารย์ แม้จะมีประสบการณ์มากโชกโชน หากแต่ทั้งคู่กลับไม่มีประสบการณ์สู้รบบนท้องฟ้าในลักษณะนี้มาก่อน เพราะผู้ที่จะทำเช่นเดียวกับ ซุน ได้นั้น ในยุทธภพก็คงมีเพียงแค่ชนชั้นเทวะที่ชายชราทั้งสองไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยว...


แน่นอนว่าหลายชั่วยามนี้ ใช่ว่า ซุน จะสามารถหลบการโจมตีไปได้ตลอดรอดฝั่ง มีหลายครั้งที่เขานั้นรับการโจมตีเข้าไปเต็ม ๆ ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของ ชุดเกราะมังกรดำ ก็สามารถทำให้เขารอดพ้นวิกฤตทั้งหมดมาได้ จนเวลานี้ชุดเกราะมังกรดำเริ่มที่จะเสื่อมสภาพไปเต็มที คาดว่าคงป้องกันการโจมตีของชนชั้นจักรพรรดิได้อีกไม่เกินสองครั้งเท่านั้น...


แต่ในขณะเดียวกัน ลมปราณในร่างของ ซุน ณ ตอนนี้ ก็ได้ฟื้นฟูมามากกว่า 7-8 ส่วนแล้ว หากมิใช่เพราะเขาสลับใช้สายลมสีทองแห่งการเยียวยาไปหนึ่งครั้งเมื่อคืน ป่านนี้ก็คงจะเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ไปนานแล้ว...


อาจกล่าวได้ว่า พรแห่งร่างสถิตชนชั้นลมปราณสีส้มที่ได้มา แม้มิได้เพิ่มพูนพื้นฐาน แม้มิได้ทำให้เขามีอำนาจโจมตีที่ทรงพลัง หากแต่มันกลับเพิ่มพูนอิสระในการเคลื่อนไหวและฟื้นฟูที่ไม่รู้จบ... การที่สองเทพปรมาจารย์ไม่อาจเผด็จศึกเขาได้บนท้องฟ้าตลอดทั้งคืน ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพลังในการรบของ ซุน ก้าวกระโดดขึ้นมากมายเพียงใด...


แต่แล้วในชั่วเวลาที่ดวงตะวันกำลังโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมานั้นเอง... ร่างของคนทั้งหมดต่างก็พากันสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่แม้แต่จะหายใจก็ยังลำบาก เหล่าสัตว์อสูรพาหนะล้วนพากันตื่นตระหนกจนใกล้จะบ้าคลั่ง


แม้แต่ ซุน เองก็ยังตกอยู่ในสภาวะที่ใกล้เคียงกัน ขนลุกเกลียวขึ้นตั้งแต่แผ่นหลังจนถึงหนังศีรษะ... การไล่ล่าที่ดุเดือดตลอดทั้งคืน พลันหยุดชะงักลงชั่วคราวโดยไม่ต้องมีผู้ใดให้สัญญาณ สายตาของคนทั้งหมดล้วนจดจ้องไปที่เส้นขอบฟ้า มองเห็นความมืดดำที่แทบจะบดบังดวงตะวันซึ่งกำลังจะโผล่ในรุ่งอรุณ


ราชันย์มังกรทมิฬ หายนะแห่งท้องฟ้า กำลังมามุ่งหน้ามาทางนี้...


......................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว