อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 315 เมื่อประตูลับปรากฏ...

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 315 เมื่อประตูลับปรากฏ...

“กะ...กระบี่นั่น!!”

เล้งหยุนฟง ถึงกับเบิกตากว้างใต้หน้ากาก เพียงแต่ไอปราณที่แผ่ซ่านจากตัวกระบี่ ยังราวกับว่ามันสามารถสังหารผู้คนได้ ทั้งยังสั่นไหวในมือของ ซุน ท่าทางพยศไม่เชื่อฟัง... ซุน เองยังรู้สึกเจ็บปวดเมื่อยามหยิบถือขึ้นมา หากมิใช่เพราะว่ามีอาคมผลึกตรวนโลหิตที่ เฒ่าชีเปลือย ได้สะกดเอาไว้ เกรงว่า ซุน เองก็ไม่ยังมีคุณสมบัติที่จะจับกระบี่ขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ...

หลังจากกระบี่สั่นไหวสักระยะ หมอกไอสีโลหิตก็พลันแผ่ซ่านออกมาจากตัวกระบี่ ก่อรูปลักษณ์กลายเป็นเงาร่างคุ้นชินที่ ซุน เคยได้พบเจอมาแล้วในห้วงมิติโลหิต เป็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่มีแขนเพียงข้างเดียว สะท้อนความไม่สมบูรณ์ของปลายกระบี่ที่ได้หักไป...

จิตวิญญาณแห่งกระบี่สวรรค์โลหิต...

“คราวก่อนข้าย้ำเงื่อนไขกับเจ้าอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?! ว่าหากเจ้าไม่สามารถบรรลุชนชั้นเทวะลมปราณสีแดง ได้ภายใน 5 ปี(ตอนที่ 236) ก็อย่าได้คิดหยิบจับข้าขึ้นมา!!” น้ำเสียงของ จิตวิญญาณแห่งกระบี่สวรรค์โลหิต สะท้านสะเทือนไปรอบทิศ แผ่แรงกดดันอันมหาศาลที่ทำให้ ซุน และ เล้งหยุนฟง หายใจไม่ออก

ซุน หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะรีบประสานมือโค้งตัวอย่างสุภาพ... “ผู้อาวุโส คราวนี้ข้าเดือดร้อนจริง ๆ ทั้งยังสุดกำลังที่ข้าจะสามารถทำได้แล้ว จึงจำเป็นต้องให้ท่านเมตตาช่วยเหลือ...”

จิตวิญญาณแห่งกระบี่สวรรค์โลหิต แค่นเสียงออกมา... “เจ้าก็เดือดร้อนเสมอนั่นแหละ!!” จากนั้นจิตวิญญาณดังกล่าว ก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดในห้วงมิติดินแดนแห่งนี้ ก่อนจะแน่ชัดว่ามันถูกสร้างจากพลังอำนาจอันกล้าแกร่ง... “ที่นี่มัน?! ห้วงมิติคู่ขนานอย่างนั้นหรือ ทำไมเด็กน้อยที่ยังอ่อนหัดเช่นเจ้าจึงสามารถเข้ามาในสถานที่แบบนี้ได้?!”

ซุน ยกมือขึ้นเกาศีรษะตนเองเบา ๆ พลางก้มหน้าต่ำประหนึ่งผู้น้อยที่กำลังขอความเห็นใจจากผู้อาวุโส... “เอ่อ... เรื่องมันค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่ไม่น้อย”

“มีอะไรก็ว่ามา... แต่แน่นอนว่าหากจะให้ข้าช่วยเหลือ เจ้าก็ต้องมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนที่ข้าจะเป็นผู้กำหนดเช่นกัน...” จิตวิญญาณแห่งกระบี่โบราณ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นน่าขนลุก ทำเอา ซุน ถึงกับสะท้านสะเทือนหัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่นอยู่ลึก ๆ ทว่าหากมันแลกมาด้วยมรดกแห่งวัตถุชั้นสีรุ้งในมหาขุมทรัพย์ นั่นก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะรับฟัง...

“ตัวผู้น้อยและสหาย ต้องการเศษเสี้ยวพลังชนชั้นลมปราณสีรุ้ง มาใช้ในการกระตุ้นวัตถุโบราณ ไม่ทราบว่ากระบี่สวรรค์โลหิตเล่มนี้สามารถทำได้หรือไม่?!” ซุน กล่าวออกไปตามตรง

จิตวิญญาณโบราณพลันถลึงตาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้... “อะไรนะ!! เศษเสี้ยวพลังชนชั้นลมปราณสีรุ้งงั้นหรือ!!”

ซุน และ เล้งหยุนฟง เห็นท่าทีเช่นนั้นของอีกฝ่าย ต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลดปลง อารามตกใจของจิตวิญญาณแห่งกระบี่โบราณ หลังได้ยินว่าต้องใช้เศษเสี้ยวพลังชนชั้นลมปราณสีรุ้ง ก็พอจะคาดเดาไว้ว่า มันเป็นคำขอที่มากเกินไปสำหรับกระบี่ที่ผุพังเล่มหนึ่ง จวบจนมีเสียงตวาดที่ดังตามมาอีกระลอก...

“น่าขันสิ้นดี!! นี่เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่งั้นหรือ? หากเป็นยามที่สมบูรณ์แบบ พลังของข้าในอดีตเทียบเคียงได้ถึงระดับลมปราณสีรุ้งอาณาจักรสวรรค์ด้วยซ้ำ...

ต่อให้ในเวลานี้ข้าจะเป็นเพียงกระบี่ชำรุดโบราณที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันก็มากพอจะทำให้ข้าระเบิดพลังอาณาจักรพิภพขั้นกลางออกมาได้... นับประสาอะไรกับเพียงแค่เศษเสี้ยวพลังสายเดียวของชนชั้นลมปราณสีรุ้งสามัญ!! แบบนี้จะต่างอะไรกับเอามีดฆ่าโคมาเชือดไก่เล่า?!”

สองชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็พลันเบิกกว้าง...
“ปะ...แปลว่าทำได้งั้นสินะ!!”

จิตวิญญาณชายฉกรรจ์พยักหน้าแน่นหนักเย่อหยิ่ง ก่อนจะทอดสายตามองมายัง เล้งหยุนฟง... ดวงตานั้นหรี่แคบเพ่งลึกลงไป ประหนึ่งเป็นสายตาที่มองผ่านเข้าไปถึงอณูภายในร่าง จากนั้นดวงตาก็ค่อย ๆ เปล่งวาบกระจ่างชัด... “สายเลือดของ เล้งซาน!! เจ้าเป็นทายาทในรุ่นนี้ของ เล้งซาน งั้นหรือ?!”

เล้งหยุนฟง สูดลมหายใจลึกยาว ไม่คิดว่าจิตวิญญาณแห่งกระบี่เล่มนี้ จะรู้จักบรรพบุรุษของตนด้วย... จึงประสานมือขึ้นอย่างสุภาพนอบน้อม เลียนแบบท่าทีของ ซุน ก่อนหน้านี้ “ผู้น้อยมีนามว่า เล้งหยุนฟง แม้สายเลือดจะทิ้งห่างมานับหมื่นปีอาจจะเจือจางริบหรี่ แต่ก็กล่าวได้เต็มปากว่าผู้น้อยคือทายาทของบรรพบุรุษ เล้งซาน ผู้ก่อตั้งตระกูลเล้ง...”

จิตวิญญาณแห่งกระบี่สวรรค์โลหิต คำรามเสียงหัวเราะยาวออกมาทันที ก่อนจะชี้ปลายนิ้วมายัง เล้งหยุนฟง ด้วยรอยยิ้มยินดี... “หากพวกเจ้าสองคนอยากจะหยิบยืมเศษเสี้ยวพลังชนชั้นลมปราณสีรุ้งของข้า... เงื่อนไขที่ข้าต้องการก็คือโลหิตของทายาท เล้งซาน ในปริมาณที่สามารถอาบไปบนตัวกระบี่ได้...”

“!!!!!!!!!!” สองชายหนุ่มอึ้งงันไปชั่วครู่... แน่นอนว่าปริมาณโลหิตที่จะสามารถอาบกระบี่ได้นั้นถือว่าไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มากจนถึงระดับที่จะเป็นอันตราย เพียงทำให้อ่อนกำลังลงไปช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

เล้งหยุนฟง รู้สึกลังเลใจยิ่งนัก กับการที่ถูกเอาโลหิตในสายเลือดไปเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน... อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมายัง ซุน ด้วยท่าทีกังวล... ก่อนที่ ซุน จะพยักหน้าเบา ๆ พลันเอ่ยปาก... “ดีเท่าไหร่แล้ว ที่จิตวิญญาณแห่งกระบี่เล่มนี้เอ่ยเงื่อนไขเพียงแค่นั้น... หากเทียบกับข้าเมื่อครั้งก่อน ที่ถูกขออายุขัยไป 50 ปีในการแลกเปลี่ยน ถือว่าสาหัสสากรรจ์กว่าเยอะ!!”

เล้งหยุนฟง ถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงด้วยท่าทีฝืดลำคอ หลังได้ยินเงื่อนไขที่น่ากลัวเช่นนั้น เทียบกันแล้วโลหิตบางส่วนแลกกับการเปิด ตราแห่งวงกต ไหนเลยที่จะมีการแลกเปลี่ยนใดคุ้มค่ามากไปกว่านี้... “เข้าใจแล้ว ข้ายินดีจะทำ...”

ชายหนุ่ม กรีดนิ้วที่บีบอัดลมปราณจนแหลมคมไปบนฝ่ามือ ก่อนจะหยดเลือดลงไปบนกระบี่สวรรค์โลหิตที่ ซุน เป็นผู้ถือเอาไว้... สิบหยด , ยี่สิบหยด , ห้าสิบหยด , หนึ่งร้อยหยด!! โลหิตได้ย้อมกระบี่ที่เต็มไปด้วยความเก่าแก่ของโลหะโบราณ ไม่มีโลหิตแม้แต่หยุดเดียวที่จะหยดเอ่อล้นตกลงสู่พื้น ราวกับว่าโลหิตของ เล้งหยุนฟง ได้ถูกกระบี่เล่มนี้กลืนกินอย่างต่อเนื่อง...

ดวงตาของจิตวิญญาณแห่งกระบี่ มีประกายสีแดงเจิดจรัส กระทั่งแขนข้างที่ขาดไปแล้วยังมองเห็นแสงสีแดงอ่อนจางที่ปกคลุม... “สมกับเป็นสายเลือดของผู้แข็งแกร่งในอดีต แม้จะผ่านมาหลายร้อยรุ่น หากแต่ก็ยังแฝงเร้นไปด้วยพลังที่หลับใหลอยู่...”

กระบี่สวรรค์โลหิต ค่อย ๆ หยุดการสั่นไหวลงเรื่อย ๆ กระทั่งแน่นิ่งในมือของ ซุน เปล่งรัศมีสีโลหิตโอบล้อมตัวกระบี่ หลังจากดื่มเลือดของ เล้งหยุนฟง ไปแล้วเป็นจำนวนมาก... เงาร่างของจิตวิญญาณแห่งกระบี่ ค่อย ๆ พร่าเลือนเจือจาง เอ่ยวาจาทิ้งท้ายแยบยล...

“กระบี่สวรรค์โลหิต จะแข็งแกร่งขึ้นได้เมื่อดื่มโลหิตที่กล้าแกร่ง... พื้นฐานของเจ้ายังไม่พร้อมที่จะแสดงเศษเสี้ยวพลังชนชั้นลมปราณสีรุ้งออกมาได้ ครั้งนี้เห็นแก่ทายาทของ เล้งซาน และโลหิตที่เสียสละ ข้าจะยินยอมช่วยเหลือสักครา...” จิตวิญญาณแห่งกระบี่โบราณสลายเป็นอณู ก่อนที่จะเข้ามาโอบล้อมอยู่รอบ ๆ มือของ ซุน ช่วยเหลือในการประคับประคองกระบี่และยินยอมให้ตวัดแกว่งเฉพาะในครั้งนี้...

สองชายหนุ่มกู่ร้อง ออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้นถึงขีดสุด...

“เปิดตราแห่งวงกตได้แน่!! หากเป็นพลังของกระบี่เล่มนี้!!” เล้งหยุนฟง รู้สึกราวกับฝันไป หากเปิดประตูมิติสู่มหาขุมทรัพย์ขึ้นที่นี่ ก็จะไม่มีผู้เข้าร่วมคนใดอีกนอกเหนือไปจากสองคน ณ ตอนนี้ ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะสะท้านสะเทือนใจเต้นระส่ำ

“ใจเย็น ๆ ก่อน เสียเลือดไปขนาดนั้นยังลุกเต้นแร้งเต้นกา ระวังจะตายก่อนได้เข้าไปในมหาขุมทรัพย์” ซุน เอ่ยขึ้นเหน็บแนมอย่างอดไม่ได้ นั่นจึงทำให้ เล้งหยุนฟง ค่อย ๆ สงบลงปรับโคจรลมปราณฟื้นฟูความสมดุล

ซุน ในเวลานี้ เพียงแค่ตวัดกระบี่ลงไปที่ ตราแห่งวงกต ก็มากพอที่จะกระตุ้นการทำงานของตราแห่งวงกตได้... หากแต่ ซุน ยังนิ่งสงบ เฝ้ารอให้ เล้งหยุนฟง ฟื้นฟูร่างกายให้ดีอีกสักระยะอย่างไม่เร่งร้อน ช่วงเวลาดังกล่าวจึงเป็นช่องว่างให้ทั้งสองได้คุยกันอีกระยะหนึ่ง...

“เล้งหยุนฟง บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าได้ ตราแห่งวงกต ชิ้นนี้มาได้อย่างไร... เจ้าขโมยช่วงชิงมาจากตระกูลเล้ง อย่างนั้นหรือ?!” ซุน เอ่ยถามเพื่อให้แน่ชัด

เล้งหยุนฟง ส่ายหน้าปฏิเสธ... “ไม่ใช่หรอก , นี่ไม่ใช่ ตราแห่งวงกต ที่ตระกูลเล้งถือครอง... ตราแห่งวงกต มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 ชิ้น… สามชิ้นถือครองโดยตระกูลเล้ง สองชิ้นถือครองโดยตระกูลเหว่ย หนึ่งชิ้นถือครองโดยตระกูลกุ่ย และยังมีอีกหนึ่งชิ้นที่หายสาบสูญไม่มีการบันทึกเอาไว้ว่าผู้ใดครอบครอง...

ตราวงกต ลำดับที่ 7 นี้ ก็คือชิ้นที่หายสาบสูญไปนั้นเอง... เนื่องด้วยแท้จริงแล้ว มันถูกเก็บซ่อนอย่างเป็นความลับภายใน สถาบันเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่น่าตกใจก็คือผู้ที่ฝากไว้กับสถาบันฯ เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านบรรพบุรุษ เล้งซาน พร้อมกับคำพูดหนึ่งประโยค...

‘หากวันหนึ่งวันใด มีทายาทแห่งตระกูลเล้ง ตัดสินใจละทิ้งความยิ่งใหญ่ของตระกูล และฝากตัวเป็นศิษย์ของสถาบันฯ นั่นก็แปลว่าวันแห่งชะตากรรมใกล้จะมาถึง จงมอบ ตราแห่งวงกต ชิ้นนี้ให้กับทายาทผู้นั้น’

มันจึงเป็นเหตุผลที่ข้า ได้ตราแห่งวงกต ลำดับที่ 7 ชิ้นนี้มาครอบครอง โดยผู้ที่มอบให้ข้าก็คือ ท่านผู้อำนวยการสูงสุดแห่งสถาบันฯ อีกทั้งข้ายังได้รับการปกป้องเป็นพิเศษ ที่แม้แต่สมาชิกระดับสูงของตระกูลเล้ง ก็ยังไม่อาจเข้าไปในลอบเล่นงานภายใต้การคุ้มครองของ สถาบันเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์”

ซุน ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็แดงก่ำอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นในทันที ยกมือสองข้างบีบจับที่ไหล่ของ เล้งหยุนฟง ด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อน... “นะ...นี่เจ้าก็ด้วยงั้นหรือ!! ตัวเจ้าเองก็ถูกขีดเขียนชะตากรรมเอาไว้แล้วเช่นกันงั้นหรือ!!”

เล้งหยุนฟง เผยท่าทีงุนงง เป็นอย่างมาก และไม่เข้าใจในสิ่งที่ ซุน พยายามจะสื่อถึง... ทว่าหลังจากตั้งสติก็กลับสู่ความสงบ จับแขนของ ซุน ออกจากไหล่ของตนอย่างแผ่วเบา... “ใจเย็น ๆ ก่อนสหาย , เรื่องถูกขีดเขียนชะตากรรมอะไรนั่นข้าเองก็ไม่รู้ และข้าก็ไม่สนใจเรื่องของวันแห่งชะตากรรมอะไรนั้นด้วย...

ข้ามุ่งมั่นเพียงแค่ที่จะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อเดินไปบนวิถีทางที่ข้าสามารถกำหนดเองอย่างอิสระ หากสิ่งใดผ่านเข้ามาแล้วเรามัวแต่ขบคิด ว่านั่นเป็นชะตากรรมที่พวกเราถูกขีดเขียนเอาไว้หรือไม่?! แบบนั้นมันจะมิทำให้เราเหนื่อยท้อไปหรอกหรือ?! เหตุใดไม่มองว่าสิ่งที่ผ่านเลยเข้ามาทั้งหมด มันเป็นโชควาสนาของเราเองเล่า?! คิดแบบนี้เราก็จะยิ่งก้าวเดินอย่างมั่นคง และแสวงหาโชควาสนาครั้งต่อ ๆ ไปได้อย่างไม่เหนื่อยไม่ท้อ...”

ซุน พอได้ยินเช่นนั้น ก็นิ่งค้างไปในทันที คำพูดของ เล้งหยุนฟง ราวกับน้ำเย็น ๆ ที่สาดโครมไปบนจิตใจที่ร้อนรน และความรู้สึกไม่ยินยอม เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ซุน มักจะถูกกำหนดให้พบเจอยิ่งต่าง ๆ อย่างมิใช่เรื่องบังเอิญ ทำให้แอบเจ็บใจอยู่เนื่องลึก รู้สึกราวกับตนเองเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งที่ถูก เล้งซาน ควบคุมชี้นำ...

แต่พอได้ยินมุมมองของ เล้งหยุนฟง ผู้ที่คาดว่าจะถูกควบคุมชี้นำโดย เล้งซาน เช่นกัน และน่าจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของ ซุน มากที่สุด... แต่อีกฝ่ายกลับมองในมุมที่แตกต่าง มิได้รู้สึกว่ากำลังถูกควบคุมชี้นำ แต่ปักใจว่าเป็นโชควาสนาเสียมากกว่า นั่นจึงทำให้ ซุน อดไม่ได้ที่จะต้องย้อนกลับไปคิดในส่วนนี้...

“เพียงแค่เปลี่ยนมุมมองงั้นหรือ?! มองทุกอย่างที่เข้ามาให้เป็นโชควาสนาของเราเองงั้นหรือ?!”

เล้งหยุนฟง วางมือลงบนไหล่ของ ซุน เบา ๆ “สหาย... ข้าไม่รู้หรอกนะว่าอดีตเจ้าไปพบเจออะไรมา แต่เชื่อเถอะว่าเจ้ามิใช่ผู้ที่โชคร้ายที่สุดในโลกที่กว้างใหญ่แห่งนี้แน่นอน เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะเจ้ายังสามารถมีลมหายใจ มีอิสระ มีเส้นทางที่ยังก้าวเดินต่อไปได้ยังไงล่ะ...”

ซุน ได้ยินมาถึงตรงนี้ หยดน้ำตาก็หลั่งออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มภายใต้ความรู้สึกที่ราวกับมองเห็นเส้นทางแห่งใหม่ที่สว่างจ้าขึ้น... ซุน ไม่จำเป็นต้องออกตามหาคำตอบของชะตากรรม หรือเรื่องราวในอดีตใด ๆ เลย หากชะตากรรมมันถูกกำหนด อย่างไรมันก็วนเวียนเข้ามาในสักวัน สิ่งที่ควรจะทำก็เพียงแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องนึกย้อนเสียใจภายหลัง...

“ขอบคุณมาก... ก่อนหน้านี้ข้าคงสับสนในหลาย ๆ เรื่องมากเกินไป แนวคิดของเจ้าช่างลึกล้ำยิ่งนัก ข้าไม่แปลกใจเลยที่มีคนหลายคนมองเห็นเจ้าเป็นเป้าหมายในชีวิต ทั้ง กังเฉิง หรือแม้แต่ เฉียง... อืม! ช่างเถอะ…” หลังมีความสบายใจที่มากขึ้น ซุน ก็ขับขานพลังลงไปในกระบี่ ชำเลืองมองมายัง เล้งหยุนฟง คล้ายเป็นสัญญาณถามหาความพร้อม

เล้งหยุนฟง พยักหน้าแน่นหนัก ก่อนจะใช้ผ้าสีดำรัดพันไปที่มือ และยกเอา ตราแห่งวงกต ขึ้นมาเบื้องหน้า... ซุน ดวงตาเจิดจ้าขึ้น พร้อมกับตวัดกระบี่สวรรค์โลหิตออกไป แทงเข้าที่ ตราแห่งวงกต ขับขานเจตนารมณ์ไปพร้อมกับ เศษเสี้ยวพลังชนชั้นลมปราณสีรุ้งที่จิตวิญญาณแห่งกระบี่ช่วยเหลือ...

“จงเปิดออก ประตูมิติสู่มหาขุมทรัพย์!!”

...................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว