อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 319 มรดกโบราณ

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 319 มรดกโบราณ


“อ็อก” ไป๋หู่คายเอาก้อนเลือดสีดำออกมา มันมีปริมาณสักครึ่งแก้วได้


“ปะ...ไป่ฉี ไปโรงพยาบาลไหมลูก” ไป่เหลียนฮวามือไม้สั่น เธอเห็นลูกชายคายเลือดออกมามากขนาดนี้ หัวใจเธอรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที


“ไม่เป็นไรหรอกครับ คงเป็นเลือดเสีย ตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลย แม่ดูสิ รอยช้ำเองก็หายไปแล้ว” ไป๋หู่กล่าวพร้อมกับยื่นแขนที่เคยมีรอยช้ำให้ดู ตอนนี้มันไม่เหลือรอยให้เห็นอีกต่อไป


“เป็นไปได้ยังไงกัน” ไป่เหลียนฮวาคว้าแขนลูกชายก่อนจะจับพลิกดู จากนั้นก็ปลดกระดุมชุดนอนของลูกชายออกเพื่อจะดูรอยช้ำตรงท้องกับอก


แอ๊ด


“ที่รัก พี่กลับมาละ......” ชายวัยสามสิบกว่าเปิดประตูเข้ามา คำพูดของเขาหยุดชะงัก เมื่อเห็นหญิงผู้เป็นภรรยากำลังคร่อมอยู่บนตัวลูกชายของตัวเอง เหมือนกำลังจะ.......


“คุณกลับมาก็ดีแล้ว เสี่ยวฉีเพิ่งคายเลือดออกมาตั้งครึ่งแก้ว เราควรพาลูกไปโรงพยาบาลดีไหม” ไป่เหลียนฮวาถาม สีหน้าเธอแสดงความวิตกกังวลออกมา


ไป๋หู่มองดูชายวัยสามสิบกว่าเดินมาจับชีพจรของเขา ชายคนนี้คือพ่อของไป่ฉี ชื่อ ไป่ชิงหยุน หากไม่ได้เขา ไป่ฉีคงไม่เป็นเด็กดีและเรียบร้อยแบบนี้


“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวก็หาย ไข้ก็ไม่มีแล้ว เอายาแก้ปวดให้กินหน่อยก็พอ” ไป่ชิงหยุนกล่าวก่อนจะเอามือขยี้ผมบนหัวลูกชาย


“ได้ยินไหมครับแม่ ผมไม่เป็นอะไรจริง ๆ” ไป๋หู่กล่าว


“เฮ้อ พ่อลูกคู่นี้นี่ ลูกกินโจ๊กให้หมดนะ เดี๋ยวแม่เตรียมมื้อเย็นให้พ่อของลูกก่อน” ไป่เหลียนฮวากล่าว


“ครับ” ไป๋หู่กินโจ๊กและกินยา ก่อนจะแกล้งนอนและฝึกปราณต่อ


“คุณคะ อย่าสิคะ เดี๋ยวลูกตื่น” เสียงไป่เหลียนฮวาดังมาจากห้องครัว


“ผมเครียดจากงานน่ะ ช่วยให้ผมหน่อยได้ไหมที่รัก” ไป่ชิงหยุนกล่าว


จากนั้นเสียงนกยวนยางก็ดังขึ้น ไป๋หู่คิดว่าหากครอบครัวของไป่ฉีไม่ยากจน ตอนนี้ไป่ฉีคงมีน้องชายน้องสาวเต็มบ้านไปแล้ว


หลังจากที่พ่อกับแม่ของไป่ฉีหลับแล้ว ไป๋หู่ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิเพื่อทำการใช้ปราณขับเอาสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในร่างกายออก


ของเหลวสีดำผุดขึ้นตามรูขุมขนทั่วตัว ตามมาด้วยผิวที่ลอกออก เผยให้เห็นสีผิวที่ขาวขึ้นมาก อีกทั้งรอยฝ้า กระ สิวก็หายไป หลุมสิวหรือรอยแผลเป็นหายไปอย่างน่าอัศจรรย์


“เรียบร้อยสักที” ไป๋หู่กล่าว และใช้ปราณสลายสิ่งสกปรกตามตัว เสื้อผ้าและที่นอนจนสะอาด


‘ฝึกต่อก็แล้วกัน ต้องทำอะไรกับสภาพเหมือนผีเปรตนี่ก่อน’ ไป๋หู่คิด


หากเป็นปกติทั่วไปแล้วการจะเพิ่มน้ำหนักก็เพิ่มด้วยการกิน และเพิ่มกล้ามเนื้อก็ต้องอาศัยการออกกำลังกายและสารอาหารเป็นสิ่งจำเป็น แต่ในต้าเซียน พลังปราณสามารถเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ได้


ไป๋หู่ไม่รอช้ารีบส่งปราณเข้าไปเสริมสร้างร่างกายของไป่ฉีทันที เพราะพรุ่งนี้เขาต้องไปเรียนอย่างที่ไป่ฉีทำเป็นประจำ หากไม่เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น หากถูกหาเรื่อง เขาจะได้ใช้ศิลปะการต่อสู้ได้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงเรื่องสภาพร่างกาย


เข้าสู่วันใหม่

ไป๋หู่ออกจากการฝึกลมปราณช่วงตี 5 พอดี เขาเริ่มจัดกระเป๋าตามความทรงจำของไป่ฉี และเข้าไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น คาดว่าคงเป็นไป่เหลียนฮวาเดินออกมาเตรียมอาหารเช้า


“แม่ครับ ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว จะให้ไปปลุกพ่อไหมครับ” ไป๋หู่ถามไป่เหลียนฮวาหลังเขาอาบน้ำเสร็จ ขณะที่นำโต๊ะพับมากางเพื่อเตรียมสำหรับมื้อเช้าตามปกติที่ไป่ฉีเคยทำ ตอนนี้ตัวเขาใส่แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงนักเรียนขายาวสีน้ำเงินเข้มเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อเปื้อน เพราะเขามีชุดนักเรียนอยู่เพียง 2 ชุดเท่านั้น


“ไม่ต้องหรอก เมื่อวานใช้แรงไปเยอะ มีงานก็ช่วงบ่าย ปล่อยพ่อเขานอนไปเถอะ เรามากินข้าวเช้ากันดีกว่า” ไป่เหลียนฮวากล่าวพร้อมกับยกข้าวต้มกับผัดผักบุ้งมาวางที่โต๊ะ


“ครับ” ไป๋หู่นั่งลงมองอาหารตรงหน้า นับว่าวันนี้ยังดีที่มีข้าวต้มกับผัดผัก บางช่วงที่ขัดสนมาก ไป่ฉีถึงกับต้องกินข้าวกับหินต้มเกลือกันเลยทีเดียว


ใช้เวลาจัดการกับมื้อเช้าเพียง 10 นาที ไป๋หู่หยิบชุดนักเรียนมาใส่และสังเกตเห็นรอยสิ่งสกปรกฝังแน่นอยู่เต็มไปหมด


‘เสื้อนี่ยังเรียกว่าเป็นสีขาวอีกรึ มันแทบจะเป็นสีเดียวกับไม้ถูพื้นที่ซุกไว้ตรงมุมห้องอยู่แล้ว’ ไป่หู่สบถในใจ


“แม่ซื้อเสื้อให้ใหม่ดีไหม ตัวนี้ใส่มาก็ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมต้นปี 1” ไป่เหลียนฮวาเห็นลูกชายจ้องเสื้อนักเรียนเป็นเวลานาน ก็คิดว่าลูกชายคงถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อเรื่องเสื้อแน่ อีกทั้งเสื้อเมื่อวานก็ขาดจนใส่ไม่ได้ คงต้องมานั่งซ่อมเย็นนี้ หากต้องการใช้มัน


“ไม่เป็นไรครับ ข้า....เอ้ย ผมมีวิธีซักมันให้กลับมาขาวเหมือนเดิมครับ แม่เก็บเงินไว้เถอะ” ไป๋หู่ตอบกลับพร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนสภาพเก่าและเต็มไปด้วยรอยปะมาสะพาย ก่อนจะเดินออกมาจากห้องเช่าที่ครอบครัวของไป่ฉีใช้อยู่อาศัย


เนื่องจากตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก คนผ่านไปมาก็น้อย ไป๋หู่ไม่รอช้า เขารีบโคจรปราณไปที่เท้าและเริ่มกระโดดไปตามหลังคาและดาดฟ้า เพื่อไปให้ถึงโรงเรียน ตอนนี้สภาพร่างกายของไป่ฉีดีขึ้นมาก พอจะมีกล้ามเนื้อสำหรับให้ใช้ป้องกันตัวได้บ้างแล้ว


‘ฝึกเพลินไปหน่อย การบ้านก็ไม่ได้ทำ หลายอย่างก็ไม่เข้าใจ คงต้องไปอ่านแล้วก็ทำกันที่โรงเรียนล่ะนะ’ ไป๋หู่คิด ขณะที่ตอนนี้เขาเริ่มเห็นโรงเรียนแล้ว จึงกระโดดลงไปยังตรอกมืด ๆ ที่อยู่ใกล้กับโรงเรียน


ไป๋หู่เริ่มใช้ปราณทำความสะอาดสิ่งสกปรกตามเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อีกทั้งยังใช้อักขระลมปราณ “ฟื้นฟู” ในการทำให้เส้นใยและหนังของเสื้อผ้ากับกระเป๋ากลับมาอยู่ในสภาพดีเหมือนได้ของใหม่เลยทีเดียว อีกทั้งเขายังใช้กรรไกรในกระเป๋า เอามาตัดแต่งทรงผมของไป่ฉีให้ทันสมัยเหมือนกับนักเรียนชายคนอื่น


‘เรียบร้อย แต่เดิมหน้าตาของไป่ฉีก็ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ถูกกลบด้วยผมยุ่ง ๆ กับเสื้อผ้าซอมซ่อเท่านั้น’ ไป๋หู่ตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากตรอกมืดนั้น


ไป๋หู่มาถึงโรงเรียนที่ไป่ฉีเรียนอยู่ ตอนนี้มีนักเรียนที่เดินมาโรงเรียนกันน้อยมาก ดังนั้นเขาจึงรีบหาที่นั่งและเปิดหนังสืออ่านทันที


โดยเฉพาะวิชาภาษารูน ที่เป็นภาษาสากลของโลกใบนี้ ไป๋หู่ต้องอาศัยอ่านพจนานุกรมเอา และเนื่องจากเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความชำนาญ เขาจึงสามารถจดจำทุกอย่างที่อ่านหรือผ่านตาได้ขึ้นใจโดยไม่มีวันลืม หรือที่โลกนี้เรียกว่าความทรงจำแบบภาพถ่าย


ไป๋หู่เริ่มหยิบการบ้านออกมาทำ หลายอย่างเป็นความรู้ใหม่ ทำให้เขาลำบากไม่น้อยในการทำการบ้าน แต่สุดท้ายก็ทำมันเสร็จตอน 7 โมงเช้า


“นั่นใครน่ะ เขาดูดีมากเลย” นักเรียนหญิงที่เดินมากับเพื่อนของเธอกล่าว


“ว้าว โรงเรียนเรามีหนุ่มหล่อแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมฉันถึงไม่เห็นเขาในจัดอันดับหนุ่มหล่อของเว็บบอร์ดโรงเรียนกันล่ะ” เพื่อนของนักเรียนหญิงคนนั้นกล่าว ขณะนั้นก็มีนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งเดินไปทางไป๋หู่


“โอ้ อะไรกัน ยาจกไป่ ไม่ใช่เหรอนั่น วันนี้ใส่เสื้อใหม่ กระเป๋าก็ใหม่เสียด้วย มีใครบริจาคให้งั้นเหรอ จะว่าไปวันนี้แกดูขาวขึ้นรึเปล่า” เสียงคุ้นหูดังขึ้น มันเป็นเสียงที่เจ้าของร่างอย่างไป่ฉีคุ้นหูมาก เพราะเจ้าของเสียงนี้คือคนที่ทำให้ไป่ฉีเจ้าของร่างต้องตาย


“อยากจะพูดอะไรก็พูดไป แต่ถ้านายกล้ารังแกฉันล่ะก็ ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อวานแน่ อี้หาน” ไป๋หู่กล่าว เขายังไม่อยากจัดการกับอี้หานตอนนี้ เพราะตอนนี้คนในโรงเรียนยังไม่เยอะมาก เขาต้องการให้อี้หานอับอายที่แพ้ให้กับไป่ฉี


“แล้วแกจะทำไม” อี้หานตรงเข้าไปจะจัดการกับไป่ฉี แต่.......


“อาจารย์สวัสดีครับ มาเช้าจังนะครับ” ไป๋หู่ทำความเคารพ ราวกับมีอาจารย์เดินมาทางด้านหลังอี้หาน ทำให้กลุ่มของอี้หานหันไปมอง


‘จังหวะนี้ชิ่งก่อนดีกว่า’ ไป๋หู่วิ่งหายไปจากจุดนั้นทันที ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเหล่านักเรียนที่อยู่บริเวณนั้น


“ไม่เห็นมีเลย เชี่ย แม่งหลอกเรา บัดซบ” อี้หานที่หันไปมองด้านหลัง พอไม่พบอาจารย์ก็รู้ว่าเขาโดนไป่ฉีต้มจนเปื่อยเสียแล้ว อีกทั้งพอหันกลับมายังพบตัวอักษรคำว่า “ไอ้โง่อี้หาน” ตัวใหญ่เขียนอยู่บนพื้นดินตรงที่ไป่ฉีเคยยืนอยู่


ด้านไป๋หู่ที่หลบออกมาจากอี้หานได้แล้ว เขาวิ่งไต่กำแพงตรงจุดที่ไม่มีคน เพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าของอาคารเรียน และเริ่มฝึกกระบวนท่าเบา ๆ เพื่อให้ตนเองคุ้นชินกับร่างกายนี้


‘จากนี้ข้าคือไป่ฉี เด็กนักเรียนที่มีความฝันจะเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบันเทิง เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ของตน’ ไป๋หู่ได้ตัดสินใจทิ้งชื่อเก่าของตนเอง และใช้ชื่อ ไป่ฉี แทน


พอใกล้ได้เวลา ไป๋หู่เดินลงบันได เพื่อไปยังห้องเรียนในตัวอาคาร ระหว่างทางมีนักเรียนหญิงหลายคนที่มองเขาตาค้าง และพูดคุยกันว่าเขาเป็นใคร


ครืด


เสียงประตูห้องเรียนถูกเปิดออก ไป่ฉีเดินเข้ามาภายในห้องเรียน พร้อมกับเสียงพูดคุยที่หยุดลง ทุกคนในห้องต่างมองด้วยความสงสัยว่านักเรียนชายที่เดินเข้ามาในห้องคือใคร เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นคนที่ดูดีขนาดนี้มาก่อน แม้จะคุ้น ๆ หน้าอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร


“ไอ้ลูกหมาไป่ฉี แกมาแล้วเหรอ” อี้หานที่นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนหลังห้องตะโกนขึ้น พร้อมกับเดินมาทางไป่ฉี


ขณะที่อี้หานพูดชื่อไป่ฉีขึ้น ทุกคนในห้องเรียนต่างตกตะลึงกัน แต่พอพวกเขามองดูนักเรียนชายที่เดินเข้ามาดี ๆ พวกเขาก็พบว่าเป็นไป่ฉีจริง ๆ หากแต่ไป่ฉีวันนี้ไม่ได้มีใบหน้าอมทุกข์หรือซูบผอมเช่นทุกครั้ง ใบหน้าเขาดูสบาย ๆ ทำให้คนมองรู้สึกสงบมากกว่า


ไป่ฉีนั้นเขียนอักขระลมปราณลงไปที่โต๊ะใกล้ ๆ ก่อนจะลากมันมาขวางอี้หานเอาไว้ แน่นอนว่าอี้หานที่เห็นไป่ฉีเอาโต๊ะมาขวาง เขาจับที่โต๊ะตัวนั้นและพยายามจะเหวี่ยงมันออกไป แต่.........


“อ๊ากกกกก” อี้หานร้องดังลั่น ทันทีที่สัมผัสถูกโต๊ะที่ขวางทางอยู่ ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างของเขาราวกับถูกผึ้งนับพันรุมต่อย


“เล่นอะไรน่ะ คุณชายอี้” ไป่ฉีเก็บสีหน้าแสยะยิ้มไว้ ก่อนจะถามออกไป พร้อมกับแสดงสีหน้าสงสัย


“แก ไอ้......อ๊ากกกก พวกแกยืนมองอะไรกัน รีบเรียกรถพยาบาลสิวะ จะ...เจ็บจะตายอยู่แล้ว อ๊ากกกกกก” อี้หานตะโกนบอกกลุ่มเพื่อนของตนที่อยู่หลังห้อง เขาทรุดตัวลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น ร้องโอดโอยไม่หยุด จนทุกคนในห้องหน้าเสีย ยกเว้นเพียงไป่ฉีที่มองอี้หานนิ่ง ๆ ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ


สิ่งที่อี้หานโดนไปนั้นคืออักขระลมปราณที่ทำให้ต้องเจ็บปวดทรมานราวกับถูกผึ้งต่อยทั่วร่าง โดยผลของมันจะอยู่จนกว่าพลังปราณที่ใส่ลงไปในอักขระลมปราณจะหมด ซึ่งไป่ฉีเพิ่งเริ่มต้นฝึกพลังปราณเมื่อวาน ทำให้พลังปราณของเขามีไม่มากนัก จึงคงผลของอักขระลมปราณไว้ได้เพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น


“ไปตามอาจารย์ดีกว่าไหมครับ” ไป่ฉีหันไปบอกนักเรียนหญิงที่เป็นหัวหน้าห้องทันที แน่นอนว่าเมื่อได้ยินไป่ฉีพูดขึ้น หัวหน้าห้องก็ได้สติและรีบออกจากห้องไปตามอาจารย์มาทันที


จากนั้นที่โรงเรียนก็วุ่นวายกันยกใหญ่ สุดท้ายอี้หานก็ถูกส่งตัวขึ้นรถฉุกเฉิน เพื่อไปยังโรงพยาบาล ส่วนไป่ฉีนั้นไม่ได้ตื่นตระหนก เขาแค่กลับไปนั่งที่และหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ไม่ได้ให้ความสนใจกับอี้หานต่อ ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมชั้นที่มองเขาราวกับมองคนแปลกหน้า เพราะปกติไป่ฉีมักจะกลัวจนตัวสั่นเมื่อเจออี้หาน ไม่ใช่ทำตัวสงบนิ่งราวกับปราชญ์ทรงภูมิเช่นนี้


ปัง


“แกทำอะไรอี้หาน” เพื่อนในกลุ่มของอี้หานเอามือทุบโต๊ะของไป่ฉีเสียงดัง ขณะที่คนอื่นในห้องก็หันมามอง


“แค่เอาโต๊ะไปขวางไม่ให้เขามาทำร้ายฉัน นายเห็นฉันทำอะไรเขารึไง” ไป่ฉีตอบกลับ


“ถ้าอย่างนั้นทำไมอี้หานถึงลงไปดิ้นพล่านขนาดนั้น” เพื่อนของอี้หานตะโกนถาม


“ไม่รู้สิ หึ คุณชายอี้คงนึกสนุกอยากโดดเรียนไปนอนที่โรงพยาบาลละมั้ง แล้วพวกนายล่ะ อยากจะโดดเรียนไปนอนโรงพยาบาลเป็นเพื่อนคุณชายอี้รึเปล่า” ไป่ฉีตอบ ขณะเดียวกันก็จ้องไปยังคนที่รนหาที่ พร้อมปล่อยจิตสังหารเบา ๆ ใส่


แปะ ๆ ๆ ๆ


ตุบ


เสียงแรกนั้นเกิดจากปัสสาวะของเพื่อนอี้หานที่หาเรื่องไป่ฉี ส่วนเสียงที่สองเป็นเสียงที่เพื่อนของอี้หานแข้งขาอ่อนจนทรุดลงกับพื้น


“ได้กลิ่นอะไรไหม” นักเรียนหญิงที่นั่งใกล้ ๆ กับไป่ฉีหันไปถามเพื่อนนักเรียนหญิงด้วยกัน


“ขี้แตกแล้วมั้งนั่น” ไป่ฉีกล่าวพร้อมกับเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาหนีบเพื่อปิดรูจมูก สายตามองไปยังนักเรียนชายที่ทรุดไปนั่งลงกับพื้นด้วยสีหน้ารังเกียจ เขาทำแบบเดียวกันกับที่คนพวกนี้เคยทำกับเขา


“ไสยศาสตร์ ไป่ฉีมันเล่นของ” นักเรียนชายอีกคนที่อยู่กลุ่มของอี้หานชี้หน้าไป่ฉี


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันก็ต้องเล่นงานพวกนายแล้วสิ หมอนี่อาจจะเสพยาจนหลอนก็ได้ ใครจะรู้” ไป่ฉีกล่าวพร้อมกับส่งยิ้มเทพบุตรออกมา ทำให้พวกนักเรียนหญิงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีจนต้องก้มหน้าลง


ฉับพลันกลุ่มของอี้หานทั้งหมดก็สงบปากสงบคำทันที เพราะพวกเขารู้สึกเย็นสันหลังทันทีที่ไป่ฉีพูดเรื่องเสพยาขึ้นมา อีกทั้งยังมองมาที่พวกเขาเป็นเชิงบอกว่าเขารู้เรื่องนี้อีกด้วย


ซึ่งยาพวกนี้อี้หานใช้ตำแหน่งของพ่อ แอบลักลอบเอาของกลางออกมาให้เพื่อนของเขาเสพกัน แต่พวกเขาคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าไป่ฉีรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เพราะปกติ ไป่ฉีมักจะหลบเลี่ยงการอยู่ใกล้กลุ่มของพวกเขาอยู่แล้ว ยิ่งสถานที่ซึ่งกลุ่มของพวกเขารวมตัวกัน ไป่ฉียิ่งไม่มีทางเฉียดใกล้เข้ามาเด็ดขาด


ส่วนสาเหตุที่ไป่ฉีรู้นั้น เพราะว่าเขาได้กลิ่นบางอย่างแปลก ๆ จากตัวของนักเรียนที่อยู่กลุ่มเดียวกับอี้หาน และพบว่าอวัยวะภายในบางส่วนของคนพวกนี้ได้รับความเสียหายจากสิ่งแปลกปลอมนั้น พอนำมาเทียบกับความทรงจำของเจ้าของร่าง จึงคาดว่าสิ่งแปลกปลอมนั้นน่าจะเป็นยาเสพติด เมื่อเขาลองพูดขึ้นมาและเห็นท่าทางของกลุ่มอี้หาน ก็มั่นใจว่าพวกนี้ต้องเป็นพวกที่เสพยาแน่นอน


“พวกอี้หานเสพยาเหรอ” นักเรียนหญิงเริ่มซุบซิบกัน


“มิน่า ทำไมพวกนั้นถึงแกล้งไป่ฉี เพราะไป่ฉีไปรู้ความลับของพวกเขานี่เอง” นักเรียนหญิงอีกคนเริ่มพูดขึ้น


“หัวหน้าไปแจ้งให้อาจารย์มาตรวจฉี่พวกนี้ดีไหม ส่งบำบัดให้หมด เกิดวันไหนขาดยาแล้วคลั่งขึ้นมาพวกเราจะเป็นอันตรายได้นะ” นักเรียนหญิงที่นั่งด้านหน้าหันไปบอกกับหัวหน้าห้องทันที


ทำให้ช่วงเช้าจบลงโดยการที่อี้หานเข้าโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มเพื่อนของอี้หานถูกตรวจสารเสพติด และถูกพักการเรียนชั่วคราว เพื่อส่งตัวไปบำบัดทันที เป็นอันว่าตอนนี้กลุ่มใหญ่ที่คอยกลั่นแกล้งไป่ฉีให้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนด้วยความยากลำบากก็ถูกกำจัดออกไปเรียบร้อย


หลังเรื่องยุ่ง ๆ ในห้องของไป่ฉีจบลง การเรียนการสอนก็เริ่มต้นขึ้นตามปกติ โดยคาบเรียนนี้เป็นวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งไป่ฉีเจ้าของร่างไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะอาจารย์วิชานี้ชอบเรียกให้เขาออกไปแก้โจทย์ หรือตอบคำถามประจำ


‘ไป่ฉีคงไม่รู้ว่าอาจารย์ผู้นั้นกำลังพยายามช่วยเขา วิชาคณิตศาสตร์อะไรนี่ต้องหมั่นฝึกฝนถึงจะชำนาญ’ นี่คือความคิดของไป่ฉี (ไป๋หู่) ตอนนี้


ครืด


ประตูห้องเรียนถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนใส่แว่น รูปร่างสมส่วน ค่อย ๆ เดินเข้ามาภายในห้อง หัวหน้าห้องยืนขึ้นพร้อมกับนักเรียนทุกคน ส่วนไป่ฉีนั้นก็แค่ทำตามความทรงจำของเจ้าของร่างเท่านั้น


“นักเรียนทุกคนทำความเคารพ” หัวหน้าห้องกล่าวก่อนจะก้มหัวลงทำความเคารพ ตามด้วยนักเรียนคนอื่น ๆ


“อืม นั่งลงได้” ชายวัยกลางคนผู้เป็นอาจารย์อนุญาตให้ทุกคนนั่งลงได้


ไป่ฉีค้นดูความทรงจำถึงชื่ออาจารย์ท่านนี้ ดูเหมือนจะชื่อ หยุนไห่ จากความทรงจำของเจ้าของร่าง อาจารย์ท่านนี้ไม่เคยดุหรือดูถูกเจ้าของร่างที่เรียนไม่เก่ง กลับกัน อาจารย์ท่านนี้กลับพยายามที่จะช่วยเหลือเจ้าของร่างนี้อย่างเต็มที่


“ไป่ฉี ออกมาเฉลยการบ้านที่ครูสั่งเมื่อวานให้เพื่อน ๆ หน่อยได้ไหม” หยุนไห่กล่าว


“อาจารย์ ให้เขาเฉลยทำไม เดี๋ยวก็ต้องมานั่งเฉลยใหม่ เสียเวลาเปล่า ๆ นะครับ” นักเรียนชายที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าว เขาเป็นกลุ่มเด็กเรียนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง และก็ไม่ชอบหน้าไป่ฉีที่นั่งอยู่หลังห้องด้วย


“เพราะเขาไม่เก่ง ใช่ว่าจะไม่พัฒนา” หยุนไห่กล่าวสอนนักเรียนชายคนนั้นทันที ทำให้นักเรียนชายคนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีก


ไป่ฉีเดินออกไปโดยไม่ได้ถือสมุดการบ้านออกไปด้วย นั่นเพราะเขาจำมันได้ทั้งหมดนั่นเอง ขณะที่นักเรียนชายเมื่อครู่ที่เห็นว่าไป่ฉีไม่ถือสมุดการบ้านออกมาก็หัวเราะในลำคอ และมองไป่ฉีด้วยสายตาดูถูก


แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อไป่ฉีสามารถเขียนเฉลยคำตอบการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ได้ถูกต้องทั้งหมด จนทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์หยุนไห่


“ผมทำถูกต้องรึเปล่าครับ” ไป่ฉีหันมาถามอาจารย์หยุนไห่ หลังจากเขาเขียนเฉลยการบ้านเสร็จหมดทุกข้อแล้ว


หยุนไห่มองดูสิ่งที่ไป่ฉีเขียนบนกระดานดำ ค่อย ๆ ตรวจทีละข้อ เมื่อพบว่าถูกต้องทั้งหมด ก็อดยื่นมือไปตบบ่าเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจไม่ได้


“ทำดีมาก ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้ว จากนี้ขอให้พยายามต่อไปนะ” หยุนไห่กล่าวให้กำลังใจไป่ฉีทันที เขารู้ว่าการจะทำโจทย์พวกนี้ได้ถูกต้องทั้งหมด ไป่ฉีที่ไม่เก่งวิชานี้เลย ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นขนาดไหน


“ขอบคุณครับ ผมเข้าใจว่าที่อาจารย์เรียกผมบ่อย ๆ เพื่อให้ผมเก่งขึ้นใช่ไหมครับ” ไป่ฉีถาม


“อืม เธอเข้าใจก็ดีแล้ว กลับไปนั่งที่ได้” หยุนไห่กล่าว


“ครับ” ไป่ฉีรับคำก่อนจะกลับไปนั่งที่


หยุนไห่เริ่มอธิบายวิธีทำในแต่ละข้อ และสอนบทเรียนต่อไป เขามักจะมองไปทางไป่ฉีที่ตอนนี้ดูจะสดใสกว่าแต่ก่อน ทุกครั้งที่ถามว่าเข้าใจไหม เขาจะมองไปที่ไป่ฉี เมื่อเห็นไป่ฉีพยักหน้า เขาก็จะบรรยายต่อ


หลังเลิกเรียน ไป่ฉีตัดสินใจแวะไปที่ห้องสมุด เพื่อไปยืมใช้คอมพิวเตอร์ เขานำหูฟังมาครอบหู ก่อนจะเริ่มเปิดหาคลิปวิดีโอสอนภาษาต่างประเทศ ระหว่างที่ฟังสำเนียงการออกเสียง ตาก็เปิดอ่านหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศแบบออนไลน์ไปด้วย


จนกระทั่ง 5 โมงเย็น ไป่ฉีตัดสินใจปิดทุกอย่างที่เปิดบนหน้าจอและเดินออกจากห้องสมุดเพื่อกลับบ้าน เพราะเขายังมีงานเย็บตุ๊กตาที่รับมาทำอยู่


‘เมื่อวานนี้ก็มัวแต่ยุ่งเรื่องรักษาร่างกายและเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับฝึกปราณ ทำให้ลืมไปว่าเจ้าของร่างรับงานเย็บตุ๊กตาไว้ พรุ่งนี้ต้องส่งงานให้ผู้ว่าจ้างแล้วด้วย กลับไปคงต้องไปจัดการก่อน’ ไป่ฉีคิดและเดินไปยังตรอกมืด ๆ ที่เขาเดินออกมาเมื่อเช้า ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังคาบ้านใกล้เคียงและกระโดดจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านหรืออาคารอีกหลังหนึ่งเพื่อกลับบ้าน

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว