อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 422 เวทีประลองแห่งความเสมอภาค (2)

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 422 เวทีประลองแห่งความเสมอภาค (2)

บริเวณชั้นสองทั้งหมดของบ่อนแดนมังกร เป็นพื้นที่พิเศษสำหรับแขกผู้ทรงเกียรติของนิกายเท่านั้น นักพนันทั่วไปไม่อาจก้าวขึ้นมายังพื้นที่พิเศษจุดนี้ได้... แม้ว่าในโถงชั้นแรกจะมีนักพนันอยู่หลายร้อยคน หากแต่บนชั้นสองกลับมีแขกผู้ทรงเกียรติเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น เจ้าหน้าที่ในบ่อนซึ่งคอยดูแลแขกเหล่านี้ ยังมีจำนวนที่มากยิ่งกว่า...


ส่วนของระเบียงลอยฟ้าในชั้นสอง ถูกสร้างให้ยื่นออกมาจนสามารถมองเห็นเวทีประลองวงพนันต่อสู้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน และ ณ เวลานี้ก็มีแขกผู้ทรงเกียรติสามคน ที่ทอดสายตามองมายังเวทีประลอง...

“น่าตกใจจริง ๆ ราชาไร้พ่าย ต้าสุ่ยหนิว มีโอกาสยืนบนเวทีประลองอีกแล้วหรือนี่?! ใครกันนะที่โง่เขลาจนกล้ารับเดิมพันของ ตาแก่เจ้าเล่ห์ ต้าจู...” ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมชุดยาวสีดำสนิท เอ่ยขึ้นมาด้วยความสนใจ


หากแต่ชายชราผมสีแดงอีกคน สวมชุดคลุมยาวสีแดงปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากาก กลับเพ่งมองมาด้วยสายตาที่ล้ำลึกยิ่งกว่า อีกทั้งเส้นสายตานั้นยังมิได้มองมายัง ต้าสุ่ยหนิว แม้แต่น้อย มองเพ่งมายังชายหนุ่มผมขาวแปลกหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น “นั่นมันก็ไม่เสมอไป... หากนายน้อยเจียงสนใจจะเดิมพัน ข้าก็พร้อมที่จะถือหางเด็กหนุ่มผมขาวผู้นั้น”


“โอ้ว! ท่านอากล่าวถึงขนาดนี้เชียวหรือ?! ข้าชักสนใจการประลองขึ้นมาบ้างแล้วสิ... หรือว่าท่านอารู้จักคนชายหนุ่มหน้ามนคนนั้นมาก่อน?!” ชายหนุ่มผมแดงคนที่สาม ซึ่งสวมหน้ากากหรูหรา กล่าวเสริมขึ้นท่าทีตื่นเต้น


ชายชราพลันส่ายหน้า... “ไม่ใช่เช่นนั้นเลย องค์รัชทายาท... ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น น่าจะถูกแปลงโฉมขึ้นมาใหม่ ส่วนรอยสักบนเรือนกายก็มีหลายท้องที่ในยุทธภพได้รับความนิยม สำหรับใช้เพิ่มพูนความน่าเกรงขาม จึงยากที่จะระบุตัวตนได้แน่ชัด


สิ่งที่ทำให้ข้ายอมถือหางชายหนุ่มผมขาวคนนั้น เป็นรัศมีบางอย่างที่อยู่รอบ ๆ กายนั่นต่างหาก แม้แต่บนเวทีประลองซึ่งเป็นอาณาเขตไร้ลมปราณ ยังสามารถมองเห็นรัศมีดังกล่าวได้อย่างชัดเจน... ดูท่าแล้ววันนี้ราชาไร้พ่ายจอมปลอมนั่น คงได้พบเจอบทเรียนที่สาสมอย่างแน่นอน”


สองชายหนุ่ม นายน้อยเจียง และ องค์รัชทายาท ที่ไม่ได้มีสายตาเฉียบคมและรู้สึกอะไรเช่นนั้น พอได้ยินก็ถึงกับหันมองหน้ากันด้วยความอึ้งงัน... ปล่อยให้ชายชราผมสีแดงผู้โชกโยนอย่าง เทพปรมาจารย์ จูเชว่หยวน เอ่ยกล่าวประเมินให้ได้ฟัง...


.....................................


ในโถงชั้นแรกรอบเวที... เหล่าผู้คนแม้จะตื่นตะลึงกับกล้ามเนื้อที่หนาเกินมนุษย์ของ ต้าสุ่ยหนิว หากแต่ความน่าเกรงขามของชายหนุ่มที่มีรอยสักทั่วร่างก็ดูครั่นคร้ามไม่แพ้กัน เพียงได้เห็นยังชวนให้อกสั่นขวัญแขวน


หวู่หนาน ประกาศกล้า พร้อมรับเดิมพัน... แน่นอนว่าเหล่านักพนันที่รู้จักชื่อเสียงของ ราชาไร้พ่าย ต้าสุ่ยหนิว ต่างก็ดวงตาเจิดจรัส ทุ่มเงินทองกันเดิมพันฝั่งของ ต้าสุ่ยหนิว กันอย่างล้นหลาม ตามกฎของทางบ่อนแดนมังกร จะสามารถรับเดิมพันได้แค่เพียงเทียบเท่าทุนรอนที่มีติดตัวมาเท่านั้น...


เพียงแค่ช่วงสั้น ๆ ขอบเขตเงินวางเดิมพันกว่า 5,000 ล้านเหรียญทองก็เต็มจนไม่มีเหลือ... หาก ต้าสุ่ยหนิว ชนะการประลองนี้ แน่นอนว่ามันย่อมสลายหายไปไม่มีทั้งหมด ตรงกันข้าม! หากผู้ชนะคือ ซุน แล้วล่ะก็ จำนวนเงินในปริมาณที่เท่ากันก็จะกลายเป็นของ ซุน ในทันที ตัดส่วนแบ่งเป็นค่าธรรมเนียมให้กับทางบ่อนแดนมังกรแค่ราว ๆ 1 ใน 20 ส่วนเท่านั้น...


ซุน ที่มองเหตุการณ์ผ่านม่านโปร่งแสงนี้ออกมา ก็แทบจะน้ำลายหกให้เห็น... ก่อนที่เจ้าหน้าที่บ่อนจะประกาศปิดการเดิมพันทั้งหมด พร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อตัดสินชี้ขาด ผลลัพธ์ของการต่อสู้ทั้งนี้ จะตัดสินชะตากรรมของสองสมาคมอิทธิพลยิ่งใหญ่แห่งเขตเชิงเขา ฝ่ายที่พ่ายแพ้มีแต่ต้องถูกฮุบกลืน ทั้งยังต้องถูกขับไล่ออกไปจาก เขตนอกด่านเงาทมิฬ อีกด้วย โดยมีคนของนิกายเป็นสักขีพยาน...


“เริ่มการประลองได้!”


ชั่ววินาทีที่ประกาศเริ่ม ลมปราณทั้งหมดในพื้นที่ก็ถูกลบหายไปจากการเปิดใช้ค่ายกลพิเศษบนเวทีประลอง... ซุน ถึงกับมีแววตาที่เปลี่ยนแปลงไป รู้สึกเหมือนร่างกายหนักอึ้งขึ้นหลายเท่า บางสิ่งบางอย่างในร่างจากที่เคยดำรงอยู่ ก็สลายไปอย่างกะทันหัน...


ต้าสุ่ยหนิว ที่เชี่ยวเวทีนี้มากกว่า ก็พลันคำรามเสียงกังวานก้อง ก่อนจะพุ่งร่างขนาดใหญ่ยักษ์นั้นตรงเข้ามา ถึงจะอาศัยศักยภาพร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยการวางเท้าทุกครั้งก็ยังมีเสียงแน่นหนักจนเวทีประลองยังต้องสั่นไหว ประหนึ่งวัวกระทิงที่บ้าคลั่งหลุดจากกรงขัง


เวลาต่อมา... หมัดขวาขนาดใหญ่ที่ราวกับหินยักษ์ ก็ประเคนอัดใส่ร่างของ ซุน เข้าอย่างจัง เกิดเป็นเสียงดัง ตูม! ขึ้นอย่างน่าตกใจ พลังกายมหาศาลที่ผนวกกับพลังจากร่างสถิต แม้จะไร้ลมปราณเกื้อหนุน แต่ก็หนักหน่วงรุนแรงจนเขย่าคลอนจิตใจของผู้ที่ได้เห็นรอบด้าน


พลังจากหมัดนี้ ทำเอาร่างของ ซุน ถูกยกลอยจากพื้นทันที ประหนึ่งว่าไม่มีน้ำหนักจะต้านทานมากพอ... เสียงคำรามยังก้องกังวานไม่ขาดระยะ หมัดที่สอง หมัดที่สาม ก็เกิดเสียงกัมปนาทในการปะทะดัง ตูม! ตูม! ตามมา ใบหน้าของทุกคนรอบด้านต่างพากันบิดเบี้ยว จนรู้สึกเจ็บปวดแทนที่


ความแข็งแกร่งของ ต้าสุ่ยหนิว หากเทียบกับการประลองคู่ก่อนหน้านี้ คงมิต่างจากเด็กที่หยอกล้อกัน... ต้าสุ่ยหนิว เสมือนอสูรร้ายที่บ้าคลั่ง ผลักดันไล่ต้อน ซุน จากกลางเวทีประลอง ให้ต้องร่นถอยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจนถึงเวลานี้ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจตอบโต้ได้เลยสักนิด เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของ ต้าสุ่ยหนิว นั้นไม่มีสะดุดหรือชะงัก ดุจดังว่าค่ายกลปิดกั้นลมปราณบนเวทีประลองแห่งนี้ มิได้มีผลอะไรกับเขา


“หมัดกระทิงทอง!!”


กำปั้นสุดท้ายของ ต้าสุ่ยหนิว ทั้งที่ใช้เพียงแค่พลังกาย แต่เสียงที่แหวกผ่านอากาศมานั้นยังราวกับเป็นวิชายุทธกระบวนท่าหนึ่ง กระแสลมรอบหมัดนี้ยังก่อตัวมิต่างกระทิงยักษ์ที่พุ่งเข้าชน ต่อยโครมมายังร่างของชายหนุ่มตรงหน้า ส่งให้ปลิวกระเด็นออกไปหลายสิบก้าวเท้าไม่แตะพื้น จนแผ่นหลังกระแทกเข้าใส่ม่านพลังโปร่งแสงอย่างรุนแรง


ตูม!


สภาพของ ซุน เป็นดั่งว่าวผุพังสายป่านขาด ใครที่มองเห็นก็แทบจะหยีตาหน้าเบี้ยวกันทุกคน โดยเฉพาะ หวู่หนาน ที่เวลานี้ถึงกับหน้าถอดสี แต่ก็มิอาจทำอะไรได้... เสียงหัวเราะของ จูต้า จากฝั่งตรงข้ามของเวที ก้องดังไปแปดทิศตลอดทั้งโถงชั้นแรก หรือแม้แต่บนระเบียงชั้นสองที่มองมา ยังสัมผัสได้ถึงเส้นสายตาที่ดูฉงนสับสน...


เหล่านักพนันที่เดิมพันฝั่ง ต้าสุ่ยหนิว แทบจะส่งเสียงเฮโลสาระพาออกมาพร้อม ๆ กัน ประสานเสียงจนกลายเป็นความอึกทึกของฟ้าดินที่ถล่ม... ใครที่มองมายังร่างแน่นิ่งของ ซุน ก็ต่างคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ สภาพที่รับหมัดของ ต้าสุ่ยหนิว ไปร่วมสิบกว่ากระบวนท่าเช่นนั้น ต่อให้ไม่ตาย ก็ยากจะลุกยืน...


ต้าสุ่ยหนิว หลังจากที่มองมายังร่างแน่นิ่งของคู่ต่อสู่ ก็พลันถ่มน้ำลายข้างตัวด้วยท่าทีน่ารังเกียจ สบถแค่นเสียงออกมาเบา ๆ “กระจอก!” ก่อนจะหันหลังกลับไปยังข้างเวทีฝั่งของตนเอง ประหนึ่งว่ามีชัยไปแล้ว...


ทว่าในตอนนั้นเอง... ซุน จากที่นอนนิ่งอยู่ ก็พลันงอเข่าเข้าหาหน้าอก ใช้มือสองข้างผลักพื้นเวทีดีดตัว จนร่างนั้นลอยขึ้นกลับมายืนมั่งคงอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าเรียบเฉยเสมือนเพิ่งมีลมเย็น ๆ วูบผ่านไป สะบัดคอซ้ายขวาเบา ๆ พลางหมุนไหล่ไปมา ตรวจสอบร่างกายตนเอง


“เฮ้อ... กว่าที่ร่างกายจะปรับสภาพให้รู้สึกคุ้นชินกับสภาวะไร้ลมปราณ เสียเวลาไปตั้งหลายชั่วลมหายใจ... คงเป็นเพราะช่วงหลัง ๆ เราฝึกใช้สายลมสีเขียวช่วยในการไหลเวียนโลหิตภายในร่างกายอยู่ตลอดเวลาแน่ ๆ พอลมปราณทั้งหมดหยุดชะงัก โลหิตก็เลยไหลเวียนช้าลงจนร่างกายแข็งทื่อไปแบบนั้น...” ซุน แอบบ่นกับตนเองเบา ๆ อย่างคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว


แม้จะอยู่ในสภาวะไร้ลมปราณบนเวทีประลองแห่งนี้ ทว่าไสยเวทย์และอาคมต่าง ๆ ที่ใช้ตบะพลังวิญญาณเป็นตัวขับเคลื่อน ซุน ก็ยังสามารถดึงมันออกมาใช้งานได้อย่างปกติสามัญ ดังนั้นด้วยอาคมจากรอยสัก ‘คงกระพันชาตรี’ กำปั้นที่ราวกับก้อนหินยักษ์ของ ต้าสุ่ยหนิว ก็ไม่ต่างจากนวมขนาดใหญ่ที่ทุบลงมายังร่างของ ซุน ถึงจะทำให้มึนงงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มากพอจะสร้างอาการบาดเจ็บใด ๆ ให้กับ ซุน ได้ด้วยซ้ำ...


“ปะ...เป็นไปไม่ได้!! มันถูกหมัดของ ต้าสุ่ยหนิว ที่เป็นถึงราชาไร้พ่ายไปขนาดนั้น เหตุใดจึงยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!!” ต้าจู ร้องเสียงหลงออกมา ดวงตาแทบจะถลนออกจากใบหน้าที่อวบอ้วนนั่น


ซุน คล้อยตามองเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้ม... “ราชาไร้พ่ายงั้นหรือ?! ข้าว่าเจ้ากระบือนั่น มันน่าจะไปเอาดีทางนวดแผนโบราณมากกว่านะ...”


ต้าสุ่ยหนิว พอเห็นอีกฝ่ายลุกมาเช่นนั้น ก็ถึงกับหนังศีรษะด้านชา เพราะเมื่อครู่เขาทุ่มพลังหมัดออกไปสุดกำลังแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเผด็จศึกอีกฝ่ายที่ยืนแน่นิ่งลงได้... เวลานี้จิตใจจึงสะท้านสะเทือนอย่างอดไม่อยู่ ยกหมัดสองข้างขึ้นสูงในระยะสายตาอีกครั้งตามสัญชาตญาณ...


ซุน ปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ขณะที่เกร็งกล้ามเนื้อกำหมัด ยังได้ยินเสียงของกระดูกที่ลั่นดังออกมา เขานั้นเริ่มตั้งท่าจรดมวย ลำตัวตั้งตรง ยื่นหมัดซ้ายไปข้างหน้าสูงเหนือระดับหว่างคิ้ว พร้อม ๆ กับเท้าซ้ายในระนาบแนวตั้งเดียวกัน หมัดขวาอยู่ชิดปลายคาง เท้าขวาอยู่ด้านหลังรับน้ำหนักตัวเอาไว้ทั้งหมด และพร้อมจะถ่ายโอนน้ำหนักได้ตลอดเวลา...


“ตั้งแต่มาอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้ พลังลมปราณก็อยู่เหนือวิทยายุทธ ศาสตร์การต่อสู้ที่ใช้ร่างกายเป็นหลัก จึงกลายเป็นวิชาที่ไม่เกิดประโยชน์กับโลกลมปราณ ทำให้ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้สิ่งนี้เท่าไหร่เลยนอกจากการฝึกฝนความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ... ศิลปะการต่อสู้จากดินแดนเก่าก่อน ที่ถูกบังคับให้ฝึกจนเลือดตาแทบกระเด็นตอนยังเป็นเด็กวัด...


เพลงมวยโบราณ!!”


บรรยากาศรอบกายของ ซุน เริ่มที่จะแปรเปลี่ยนไป ทั้งที่มิได้ใช้ลมปราณเกื้อหนุน แต่กลับสามารถมองเห็นไอร้อนแผ่ซ่านออกมาจากผิวกายและกล้ามเนื้อ สายตาที่จดจ้องมองคู่ต่อสู้ ยังคมกริบอย่างถึงที่สุด...


ต้าสุ่ยหนิว แม้พอจะสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย แต่อย่างไรนี่ก็คือการประลอง ผู้ชนะย่อมมีได้เพียงหนึ่งเดียว... เขาจึงคำรามแผดเสียงปลุกความฮึกเหิมบ้าคลั่ง วิ่งเข้ามาด้วยฝีเท้าที่หนักแน่น ตรงเข้าหาชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง หมัดขวาของ ต้าสุ่ยหนิว ถูกเหวี่ยงออกเป็นวงกว้างประหนึ่งเขาของวัวกระทิง...


ทว่า... ทันทีที่ ต้าสุ่ยหนิว ก้าวเข้ามาในระยะ แววตาของ ซุน ก็เปล่งวาบขึ้นจนเห็นเป็นจุดแสง สะบัดร่างครึ่งรอบถ่ายโอนน้ำหนักตัวจากเท้าขวา มาเป็นเท้าซ้ายที่ใช้เป็นแกนหมุน ก่อนจะยื่นเท้าขวาออกไปในความเร็วและพลังที่น่าตกตะลึง...


“มอญยันหลัก”


ต้าสุ่ยหนิว ที่พุ่งมาด้วยความเร็ว รู้สึกราวกับวิ่งชนเข้ากับตอไม้ขนาดใหญ่ ที่กระแทกเข้ากลางทรวงอก ถูกหยุดสภาวะความเร็วทั้งหมดในชั่วพริบตา พร้อมกับอาการจุกจนลมหายใจขาดช่วง ดวงตาพลันเบิกกว้างเผยแววไม่อยากจะเชื่อออกมา...


ยังไม่ทันคลายใจ... ก็มองเห็นร่างของชายหนุ่มพุ่งทะยานเหาะเหิน โดดสูงจนตัวลอยเหนือพื้นพร้อมกับศอกขวาที่ถูกยกขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความดุดันเหี้ยมหาญดั่งอสูร ก่อนจะตวัดฟันศอกเข้าแสกหน้าของ ต้าสุ่ยหนิว อย่างแม่นยำ จนร่างนั้นที่ใหญ่โตนั้นแทบจะผงะหงายในท่ายืน...


“รามสูรขว้างขวาน!!”


ภายใต้อาณาเขตที่ไร้ลมปราณ จึงทำให้ไม่อาจมีพลังลมปราณใด ๆ มาคุ้มกันร่างกาย ดังนั้นทุกการโจมตีจึงเรียกได้ว่าถึงเนื้อถึงหนัง เข้ากระดูกอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย... กระบวนท่าศอกที่แสกเข้าหน้าครั้งนี้ ต้าสุ่ยหนิว รู้สึกเหมือนกับถูกขวานเหล็กจามเข้ากลางใบหน้า สันจมูกรวมถึงหว่างคิ้วแตกยับในครั้งเดียว


ต้าสุ่ยหนิว พยายามจะประคองร่างตั้งสติ หยีตาขึ้นเพื่อจะมองออกไปข้างหน้า... แต่กลับพบว่าในเวลานี้มีหมัดที่บดบังทัศนวิสัยการมองเห็นอย่างสมบูรณ์ ต่อยกระแทกเข้ามาที่เบ้าตาอย่างแม่นยำ ทั้งน้ำหนักและความเร็วล้วนอยู่ในระดับที่เขานั้น ไม่เคยพบเจอมาก่อนบนเวทีประลองแห่งนี้...


“ดับชวาลา!!”


…………………………………..

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว