อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 199 ความลับของร่างสถิต

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 199 ความลับของร่างสถิต

เหตุการณ์ที่รุนแรงภายในเขตโลกา ถูกมองว่าเป็นผลกระทบที่เกิดจาก มหาขุมทรัพย์แห่งวงกตสีรุ้ง ที่ทำให้ม่านพลังเกิดการบิดเบือนและสะท้อนไปยังพื้นที่ส่วนอื่นเล็กน้อย... จูห้าวชง ที่ถูก เฒ่าชีเปลือย กำกับการกระทำและอยู่ใกล้กับบริเวณนี้ที่สุด ได้บอกกับเหล่าผู้อาวุโสรักษาเขตแดนที่มาตรวจสอบว่า ตนบังเอิญผ่านมาพอดี และเข้าไปตรวจสอบแล้วแต่ก็ไม่พบสิ่งใดเป็นอันตราย

ตำแหน่งเจ้าตำหนักลับ ของ จูห้าวชง ถึงไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักในพรรคมังกรฟ้า หากแต่มีอิทธิพลสูงสุดในเขตโลกาและเขตดาราของหมู่ศิษย์พรรค ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสที่เข้ามาตรวจสอบ ย่อมต้องให้ความเชื่อถือในระดับหนึ่ง อีกทั้งบริเวณนั้นก็ไม่มีร่องรอยอะไรมากไปกว่าอุณหภูมิที่สูงผิดปกติและค่อย ๆ ลดต่ำลงเรื่อย ๆ จึงถูกสรุปไปอย่างคราว ๆ และไม่มีการสืบสวนต่อ...

“นะ...นายท่าน ลูกแก้วประจุวิญญาณ ที่ท่านยืมข้าไปเล่า?!” จูห้าวชง เอ่ยถามขึ้นด้วยความเสียดาย ทว่ามันกลับถูก เฒ่าชีเปลือย เอากำปั้นโขกศีรษะแรง ๆ ไปครั้งหนึ่งแทนคำตอบ

“ตอนข้ากำลังลำบาก เจ้ากลับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ถึงตอนนี้เจ้ายังกล้ามาทวงของกับข้าอีกงั้นหรือ!! เสียใจ...ลูกแก้วนั่นก็ติดไปศพหลอมด้วยนั่นแหละ ไว้ข้าทวงคืนมาได้เมื่อไหร่ข้าจะเอามาคืน แต่หากข้าจนปัญญาจริง ๆ ก็คือว่าเจ้าโชคร้าย...”

จูห้าวชง อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก ลูกแก้วประจุวิญญาณนั้น มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับป้ายสะกดวิญญาณของ ซุน สามารถสร้างโลกใบเล็กให้กับเหล่าดวงวิญญาณในอาณัติได้... โดยมากผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งวิญญาณระดับสูง ก็มักจะมีสิ่งนี้กันเป็นดั่งรากฐานและวัตถุดิบ หากสูญเสียไป นั่นก็หมายถึงดวงวิญญาณที่สะสมมาย่อมเลือนหายไปพร้อมกันด้วย... ไม่แปลกเลยที่ จูห้าวชง ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง...

สถานการณ์ของพรรคมังกรฟ้าในเวลานี้ ทุกคนให้ความสนใจไปที่ผลลัพธ์ของมหาขุมทรัพย์ที่เกิดขึ้นเสียมากกว่า ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัดว่าขุมกำลังฝ่ายใดได้วัตถุสีรุ้งไปครอบครอง ถึงแม้ว่าทิศทางจะเอียงไปทาง สถาบันเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ มากที่สุดก็ตามที...

แน่นอนว่าเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหมด ต้องการขอเข้าพบผู้นำพรรค กุ่ยจือชิง อีกครั้ง ทั้งเรื่องที่ต้องสะสางเกี่ยวกับเหตุการณ์ลอบสังหารอดีตผู้นำตระกูล โจวซื่อไหล และเรื่องที่จู่ ๆ ตราแห่งวงกต ลำดับที่ 3 ถูกเปิดใช้งานขึ้น ซึ่งทุกฝ่ายล้วนทราบกันดีว่าตรานี้ถูกครอบครองไว้โดย กุ่ยจือชิง...

โอวหยางเจี่ย จึงจำเป็นต้องเข้ามาห้ามปรามทุกคนที่ประตูทางเข้าเขตสุริยา เพื่อรอให้มีคำสั่งจาก กุ่ยจือชิง ลงมาเสียก่อน... แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ กุ่ยจือชิง ได้มีคำสั่งพิเศษลงในทันที ทว่าคำสั่งพิเศษนี้กลับมิได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับความวุ่นวาย หรือเรื่องราวภายในที่เกิดขึ้นเลย...

แต่มันเป็นเพียงคำสั่งที่แสนเรียบง่าย...
“ข้าอยากพบศิษย์หลักผู้หนึ่ง จงไปตามมาพบข้า...”

เหล่าผู้นำตระกูลทั้งหมด จึงเต็มไปด้วยความฉงน ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเดือดดาล ที่จอมราชันย์แห่งจิตวิญญาณ กุ่ยจือชิง จู่ ๆ ก็มองข้ามเหล่าผู้นำตระกูลทุกคน แต่กลับเอ่ยปากอยากพบเจอชนชั้นศิษย์เพียงผู้เดียว!! โดยเฉพาะ โจวซื่อโหยว ผู้รักษาการตำแหน่งผู้นำตระกูลโจวแทน โจวซื่อไหล ในปัจจุบัน การตายของพี่ชายนั้นมิใช่เรื่องสามัญ ผู้ที่จะลงมือไม่มีทางเป็นยอดฝีมือธรรมดา...

โอวหยางเจี่ย แม้จะถูกคาดคั้น แต่ก็ไม่ยอมบอกถึงรายละเอียดกับผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ ว่า กุ่ยจือชิง ต้องการพบเจอศิษย์คนใด เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่จะตามมา... แต่ โอวหยางเจี่ย ก็ได้ถ่ายทอดคำสั่งนี้ไปยัง ฝ่ายรักษาเขตแดน ให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเป็นความลับสูงสุด...

ณ ถ้ำอาคม...

ซุน เมื่อกลับมาถึง ก็เอาแต่พิจารณา เสียมไม้ ประหลาดเล่มนี้... นอกจากความคมช่วงปลายของเสียมที่พิลึกพิลั่นนั่นแล้ว ซุน ก็ไม่อาจเข้าถึงพลังในส่วนอื่นได้อีก ราวกับเป็นท่อนไม้สามัญท่อนหนึ่งเท่านั้น... และดูเหมือนกว่ามันจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หรือขยับต่อต้านเหมือนกับตอนที่อยู่ในมิติคู่ขนานอีกแล้ว…

“หรือเพราะว่าเรามีพื้นฐานไม่พอ ที่จะดึงพลังของมันออกมากันแน่นะ?!”

ขณะที่ ซุน กำลังพลิกเสียมไม้พิจารณาไป ๆ มา ๆ อยู่นั้น เงาร่างของ เฒ่าชีเปลือย ก็ได้ลอยทะลุผนังเข้ามาในถ้ำอาคมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม... นอกจากจะไม่เอ่ยทักหรือไม่พูดไม่จาอะไรกับ ซุน แล้ว ยังโบกสะบัดมือออกไปเบา ๆ เรียกขานดวงวิญญาณหญิงสาวที่อยู่ภายในป้ายสะกดวิญญาณของ ซุน ให้ออกมารับใช้ปรนนิบัติอีกด้วย

ทำเอา ซุน ถึงกับแสดงท่าทีโง่งม ก่อนจะเผยความเดือดดาลออกมาอย่างอดไม่ได้... “เฒ่าชีเปลือย!! นี่เจ้าเอาร่างทหารเงาของข้าไปไว้ไหนกัน!! เหตุใดจึงกลับมาแต่ดวงวิญญาณเปล่าเปลือยเช่นนี้!!”

“หุบปากน่า!! เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าไปเจอกับอะไรมา ตอนนี้ข้ายังไม่มีอารมณ์จะเล่าให้ฟัง” เฒ่าชีเปลือย กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ ก่อนมันจะลงไปนอนหนุนตักดวงวิญญาณหญิงสาว พร้อมกับมีหญิงสาวอีกหลายคนคอยบีบนวดเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ซึ่งภาพเช่นนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติของวิญญาณชราดวงนี้ไปเสียแล้ว...

ซุน ได้ยินคำตอบและท่าทีไม่ยี่หระเช่นนั้น ใบหน้าก็ร้อนฉ่าด้านชาขึ้นมาในทันที เส้นเลือดบนขมับสองข้างเต้นตุบ ๆ อย่างรุนแรง ตนหรืออุตส่าห์เผชิญอันตรายเข้าไปภายในมหาขุมทรัพย์ เสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วน โดยที่ เฒ่าชีเปลือย เอาแต่เริงร่าอยู่ด้านนอก มิหนำซ้ำศพหลอมระดับ 4 ร่างนั้นยังเป็นร่างที่มีใบหน้าเหมือน ซุน ทุกกระเบียดนิ้ว ตลอด 7-8 วันมานี้ ซุน ไม่รู้ด้วยซ้ำด้วย เฒ่าชีเปลือย เอาไปทำอะไรมาบ้าง

และสิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือ เฒ่าชีเปลือย กลับมาแต่ดวงวิญญาณ!! ทิ้งร่างดังกล่าวไว้ยังที่ใดก็ไม่ทราบ ร่างศพหลอมที่ ซุน แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและทรัพยากรมากมายมหาศาลในการสร้าง ซึ่งกว่าที่จะหลอมขึ้นมาได้สักตัวหนึ่ง นัยน์ตาแทบกระเด็น...

ชายหนุ่มหยิบคว้า เสียมไม้ ไว้ในมือทันที ก้าวเดิมเข้ามาพร้อมกับรัศมีที่มืดดำปกคลุม... เหล่าดวงวิญญาณหญิงสาวที่คอยปรนนิบัติ พวกนางต่างสัมผัสได้ถึงโทสะของผู้เป็นนายเหนือทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะสามารถเอ่ยปากหรือออกความเห็นใด ๆ ได้ พวกนางล้วนหวาดกลัวจนพากันเลือนหายกลับเข้าไปในป้ายสะกดวิญญาณ...

เฒ่าชีเปลือย ลืมตาขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่พริบตานั้นเองมันกลับมองเห็น ซุน โดดกระโจมเข้ามาด้วยใบหน้าที่มืดดำ พร้อมทิ่มแทงเสียมไม้ประหลาดในมือ... ดวงตาของ เฒ่าชีเปลือย พลันเบิกโพลงตื่นตระหนกจนต้องร้องเสียงหลง รีบยกมือขึ้นประกบหยุดสภาวะ เสียมไม้ ที่ห่างจากใบหน้าเพียงคืบมือเดียว

“ทำบ้าอะไรของเจ้าฟะ!! แล้วนี่เจ้าไปเอาของอันตรายเช่นนี้มาจากไหนกันเนี่ย!!” เฒ่าชีเปลือย คำรามเสียงสั่นในความตกใจ

“ข้าจะเอามาจากไหนมันก็เรื่องของข้า!! เจ้าเอาศพหลอมของข้าไปทิ้งไว้ไหน หากไม่ตอบข้ามาล่ะก็วันนี้พวกเราได้เห็นดีกันแน่!!” ซุน เผยความแน่นหนักไม่ยินยอม ศพหลอมร่างนั่นคือเม็ดเงินมหาศาลที่จ่ายไป ไหนเลยที่คนตระหนี่อย่าง ซุน จะยอมสูญเสียหากไม่มีเหตุผลที่พอฟังขึ้น...

สุดท้ายทั้ง ซุน และ เฒ่าชีเปลือย จึงต้องจับเข่าคุยกันอย่างจริงจังอีกครั้ง... ต่างฝ่ายต่างก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่ไปประสบพบเจอ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนก็เรียกได้ว่าขนพองสยองเกล้าไม่ต่างกันมากนัก...

“อะไรนะ!! ผู้ยิ่งใหญ่ กุ่ยเยี่ยซา เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นตัวจริง!!” ซุน ตกตะลึงสุดกู่ เนื่องด้วยเหตุผลที่ ซุน มายังพรรคมังกรฟ้า ก็เพื่อที่จะตามหาดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ดวงนี้ แต่ก็มีความหวังอันริบหรี่ที่จะได้พบเจอ...

“จริงแท้แน่นอน!! เจ้าบ้านั่นแข็งแกร่งชะมัด พลังวิญญาณของมันน่ากลัวยิ่งกว่าดวงวิญญาณนับล้านมารวมกันเสียอีก หากเจ้านั่นมันมีเขาโผล่งอกออกมาจากขมับ ข้าต้องคิดว่ามันเป็น พญายมราช แน่ ๆ สมแล้วที่เป็นหนึ่งในตำนานของดาวดวงนี้ นับหมื่นปีก็ไม่เสี่ยมถอย...” เฒ่าชีเปลือย บ่นอิดออด ราวกับยังหงุดหงิดที่พ่ายแพ้กลับมา

จากนั้นสายตาก็ไปตกอยู่ที่ เสียมไม้ ประหลาดนั้น... ชายชราหยิบคว้าออกมาจากมือ ซุน พลิกไปมาส่องดูพิจารณาอย่างละเอียดลออ รู้สึกขนลุกชูชันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้... “ของดีจริงด้วย!! บอกเลยว่าเสียมไม้นี้ มันดีเกินกว่าจะตกอยู่ในมือเด็กน้อยอย่างเจ้าด้วยซ้ำ นี่นับเป็นวัตถุที่สามารถเขย่าคลอนสุริยะแห่งนี้ได้เลย...”

ซุน ได้ยินเช่นนั้น ก็สวมกอดอก เอียงคอฉงน... “มันยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น?! ข้ากลับรู้สึกว่ามันเทียบ กระบี่สวรรค์โลหิต ไม่ได้เลยสักนิด...”

“เจ้ามันจะไปรู้อะไร!! กระบี่สวรรค์โลหิต มันก่อจิตวิญญาณแห่งศาสตราที่สมบูรณ์ขึ้นมาแล้ว ก่อนจะชำรุดผุพังไปในภายหลัง ดังนั้นมันจึงทรงพลังได้เพราะมีจิตวิญญาณแห่งศาสตราคอยควบคุม สามารถระเบิดพลานุภาพมหาศาลได้ในทันทีเพียงแค่ผู้ครอบครองได้รับการยอมรับ...

ทว่าเจ้า เสียมไม้ เล่มนี้ยังไม่ได้ก่อจิตวิญญาณแห่งศาสตราขึ้นมา ไม่สิควรบอกว่าผู้ครอบครองคนก่อน จงใจจะไม่สร้างจิตวิญญาณแห่งศาสตราเสียมากกว่า เพราะเจ้านี้มีพลังมากพอจะก่อรูปลักษณ์แห่งจิตวิญญาณได้แล้ว แต่คล้ายว่าจะกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่จึงปฏิเสธการสร้างจิตวิญญาณ...

ทว่าหากเจ้าคิดจะดึงพลังของเสียมไม้นี้ ออกมาให้ได้อย่างสมบูรณ์ล่ะก็ อย่างน้อยเจ้าคงต้องเป็นยอดฝีมือชนชั้นลมปราณสีรุ้งขึ้นไปเท่านั้นแหละ มิเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับวานรได้แก้ว มีของล้ำค่าแต่มิอาจดึงพลังของมันออกมาได้...” กล่าวจบ เฒ่าชีเปลือย ก็โยนเสียมไม้คืนให้กับ ซุน

ชายหนุ่ม เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ล้ำลึก... “บรรลุชนชั้นลมปราณสีรุ้งเชียวหรือ? ถึงจะดึงพลังของ เสียมไม้ นี่ออกมาได้? เสียมไม้ เก่า ๆ เนี่ยนะ!! ควรจะถามข้าเสียมากกว่าว่าหากมีโชควาสนา บรรลุชนชั้นลมปราณสีรุ้งได้จริง ๆ ข้ายังคิดจะใช้มันหรือไม่!!”

ชิ้นประโยคของ ซุน เสียมไม้ ที่นิ่งสงบมาสักระยะ ก็เริ่มสั่นไหวอีกครั้งครั้ง ด้ามกลมมนของ เสียมไม้ ฟาดใส่กลางหน้าผากของ ซุน อย่างแม่นยำเสียงดัง ผั๊วะ! อย่างแจ่มชัด ทำให้หน้าผากของชายหนุ่มถึงกับปูดบวมซ้ำขึ้นมาอีกจากรอยเดิม

และในจังหวะที่ตวัด ยังงัดเอารัดเกล้าอักขระที่ ซุน สวมใส่ ให้ปลิวหลุดกระเด็นออกไปด้วย... จากนั้น เสียมไม้ก็พลันคดงอเปลี่ยนรูปลักษณ์ จาก เสียมไม้ กลายเป็น รัดเกล้าไม้ เลื้อยขึ้นไปพันบนศีรษะของ ซุน แทนที่รัดเกล้าอักขระอันเดิม สร้างความตกตะลึงระคนเจ็บหน้าผากให้กับ ซุน เป็นอย่างมาก...

“อะ...อะไรอีกเนี่ย!!”

เฒ่าชีเปลือย หัวเราะเบา ๆ “ก็ข้าบอกแล้ว ว่าศาสตราชิ้นนี้มันพร้อมจะก่อรูปจิตวิญญาณได้เสมอ แต่มันยังขาดบางสิ่งบางอย่างเติบเต็มเท่านั้นเอง ดังนั้นเสียมไม้นั้นจึงมีองค์ประกอบแห่งความคิดและจิตใจที่ค่อนข้างครบถ้วนแล้ว การจะพยศหรือต่อต้านผู้ถือครองที่ยังไม่ยอมรับก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร... ซึ่งดูเหมือนว่าโครงสร้างของ เสียมไม้ จะไม่ตายตัว คงจะสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นรูปแบบอื่น ๆ ได้จากพลังของพฤกษาที่อัดแน่น

รัดเกล้าอักขระ อันเดิมของเจ้า มันถูกสร้างมาเพื่อควบคู่กับ เนตรมรกต ไม่ใช่หรือ?! ในเมื่อตอนนี้เจ้าไม่มี เนตรมรกต อยู่อีกแล้ว ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องสวมใส่มัน ไม่แน่หรอกว่า รัดเกล้าไม้ มันอาจจะเติบโตไปพร้อมกับเจ้า เพื่อรอวันที่จะก่อรูปลักษณ์จิตวิญญาณแห่งศาสตราแท้จริงอยู่ก็เป็นได้...”

ซุน ได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกทะแม่ง ๆ เล็กน้อย แต่ยังไงซะ นี่ก็คือวัตถุชั้นสีรุ้งที่ได้มาจากมหาขุมทรัพย์ ก็ไม่แปลกอะไรที่มันจะมีความไม่ธรรมดาดำรงอยู่ แต่การที่มันอยู่ในสภาพของ รัดเกล้าไม้ เช่นนี้แม้จะมองดูตลกในฐานะบุรุษผู้หนึ่งอยู่ไม่น้อย แต่ในยามคับขันฉุกเฉินมันก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือ ซุน ก็เป็นได้...

“ปัจจุบันใช้กระบี่รุ่งอรุณ... หากพื้นฐานบรรลุขึ้นถึงชั้นเทวะลมปราณสีแดงก็จะสามารถถือครอง กระบี่สวรรค์โลหิต ได้... และหากมีโชควาสนาได้ขึ้นเป็นชนชั้นลมปราณสีรุ้ง ก็ยังมี เสียมไม้ รองรับการเติบโตในอีกระดับ...

ราวกับเส้นทาง ถูกจัดเตรียมไว้ยังไงก็ไม่รู้แฮะ...”
ซุน เอ่ยพึมพำ พร้อมกับลูบปลายคางครุ่นคิด...

จังหวะนั้น ก็สัมผัสได้ถึงการมาของใครสักคนที่ด้านหน้าถ้ำอาคม...

..................................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว