อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 145 ซุน ปะทะ เต้าหมิงเยี่ย

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 145 ซุน ปะทะ เต้าหมิงเยี่ย

เวทีประลองขนาดใหญ่ ถูกรายล้อมด้วยอัฒจันทร์รอบด้านที่สูงขึ้นไปหลายสิบระดับชั้น ซึ่งหากให้คาดคะเนเมื่อยามมีผู้ชมคับคั่ง อาจรองรับผู้ชมได้หลายหมื่นคน สมกับที่เป็นเวทีที่ทางราชวงศ์ไป๋หู่ จัดเตรียมเอาไว้...

ขอบข่ายพลังที่โอบล้อมยังแข็งแกร่งมากพอ เพื่อให้เหล่าผู้ชมจะไร้ผลกระทบใด ๆ ในรัศมีลมปราณที่กระจัดกระจาย... อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญและยอดฝีมือระดับสูงมากมายคอยให้การปกป้องในทุก ๆ ด้าน เหล่าผู้ชมจึงรับชมได้อย่างมั่นใจ

อีกทั้งในหมู่ผู้ชมการประลองนั้น ยังมีการลักลอบตั้งวงเดิมพันกันอย่างลับ ๆ อีกด้วย แน่นอนว่าตามกฎหมายบ้านเมืองแล้วการพนันถือเป็นเรื่องที่ผิด แต่ภายในการประลองย่อมมีการอะลุ้มอล่วยไปตามธรรมเนียม

ในอัฒจันทร์ผู้ชมด้านหนึ่ง อันเป็นที่นั่งชั้นพิเศษทรงเกียรติ... ฉีเฟยเทียน เจ้าเมืองบุปผาแดง กำลังเฝ้ารอชมการต่อสู้ ข้างกายคือ ซ่งไห่เฟิง จากตระกูลซ่ง ที่มารับชมด้วยเช่นกัน ทั้งยังมีหญิงสาวทั้งสองคนอย่าง ฉีลู่ชิง และ ซ่งจือฮุ่ย ที่ก็มารอรับชมด้วย

คราแรกที่ ฉีลู่ชิง ได้รับการติดต่อจาก มู่เจี้ยน มาได้เจอกับ ซุน อีกครั้งแล้ว... ฉีลู่ชิง ตกตะลึงอย่างมาก ทว่านางไม่อาจออกจากสำนักบุปผาประจิมในทันทีได้ ตลอดหลายวันนี้จึงไม่มีโอกาสได้มาพบเจอ

ในงานอภิเษกใหญ่ แน่นอนว่า ตระกูลฉี ถือเป็นหนึ่งในตระกูลชนชั้นพิเศษ และยังเป็นพระญาติ กับทางราชวงศ์ไป๋หู่ ย่อมต้องได้รับการเชื้อเชิญ ฉีลู่ชิง จึงอาศัยโอกาสนี้ ขอออกจากสำนักบุปผาประจิมชั่วคราว โดยอ้างด้วยฐานะของตระกูล...

“คู่ต่อไปนี่แหละ ที่ ซุน จะได้ขึ้นประลอง... ไม่รู้ว่าหลายเดือนที่หายไปนี้ เจ้าบ้านั่นไปอยู่ไหนมากันแน่นะ อีกทั้งยังบ้าดีเดือดสิ้นดีที่กล้าขึ้นประลองใหญ่ครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีโอกาสชนะได้แม้แต่น้อย...” ฉีลู่ชิง กล่าวขึ้นด้วยวาจาคล้ายไม่สบอารมณ์นัก หากแต่ดวงตากลับฉายแววประกายความปิติดีใจในส่วนลึก

ทุกคนที่มาจากเมืองบุปผาแดง ล้วนมีรอยยิ้มยินดีเช่นกัน แน่นอนว่าทุกคนไม่สนเรื่องแพ้ชนะเท่าใดนัก แต่ดีใจที่ ซุน ยังปลอดภัยหลังหายตัวไปหลายเดือน จึงเฝ้ารอการพบเจอครั้งนี้ด้วยความคาดหวัง...

“ท่านลุงฉี มาร่วมชมด้วยหรือนี่? ดูท่าว่า ซุน จะได้รับความสนใจไม่น้อยเลย...” ไป๋หู่จิงหรง กล่าวขึ้นทั้งรอยยิ้ม หลังจากตัวนางประลองจบสิ้น ก็สามารถแยกตัวได้ทันทีไม่จำเป็นต้องกลับไปยังสถานที่ปิดทึบ นางจึงขึ้นมารับชมการประลองที่นี่

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ซุน มันเป็นศิษย์ของคนที่ข้ารู้จัก ทั้งข้ากับเจ้าเด็กนั่นยังเคยร่ำสุรากันอยู่หลายครั้ง จะไม่มาชมได้อย่างไร?!” ฉีเฟยเทียน กล่าวกับ ไป๋หู่จิวหรง แน่นอนว่าทุกคนโดยรอบต่างล้วนลุกขึ้นคารวะองค์รัชทายาทผู้นี้

“ว่าแต่องค์รัชทายาทเถอะ... สนใจการประลองนี้ด้วยงั้นหรือ?!”

นางยิ้มรับ ก่อนจะมองไปยังเวทีประลอง...
“หลายวันมานี้ ซุน เข้าร่วมกันหน่วยมือปราบเทพพยัคฆ์ของเรา ในฐานะสมาชิกพิเศษชั่วคราว ทั้งยังเข้าร่วมการฝึกกับพวกเราตลอดหลายวัน เราทั้งคู่จึงเป็นทั้งคู่แข่งและสหายกัน ไหนเลยที่ข้าจะไม่มาดูการประลอง”

ฉีเฟยเทียน หดนัยน์ตาแคบ... คนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนเบิกตากว้างตื่นตะลึง ไม่คิดว่าบุคคลระดับองค์รัชทายาท ลำดับที่ 9 ทั้งยังเป็นถึงอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของทวีป จะมอง ซุน เป็นทั้งคู่แข่งและสหาย เรื่องนี้ย่อมมิใช่เรื่องสามัญอีกแล้ว แปลว่านางให้ความสำคัญกับ ซุน อยู่ในระดับที่คาดหวัง

“อะไรกัน... พวกท่านอย่าทำหน้าเช่นนั้นสิ ข้าเพียงแค่อยากดึงตัว ซุน เข้าหน่วยมือปราบเทพพยัคฆ์ก็เท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วย่อมต้องอยู่ที่เจ้าตัว ว่าจะรับโอกาสนี้หรือไม่ หลังการประลองจบสิ้นพวกเราก็คงจะได้รู้กันว่า ระดับความสามารถของ ซุน จะอยู่ที่ระดับใด...” นางกล่าวอย่างมีเลศนัย พร้อมกับรอยยิ้มเจือจาง สร้างความอักอ่วนใจให้กับทุกคนอยู่ไม่น้อย...

จากนั้นไม่นาน ซุน และ เต้าหมิงเยี่ย ก็พลันก้าวออกมาจากข้างเวทีประลองด้วยท่าทีสง่า... เสียงกู่ร้องจากเหล่าผู้ชมพลันแตกฮืออึกทึก ไม่แน่ชัดว่ากำลังเอาใจช่วยผู้เข้าประลอง หรือเพียงเป็นเพราะการเดิมพันที่เริ่มขยายออกไปเป็นวงกว้าง ซึ่งแน่นอนว่า อัตราต่อรองในเวลานี้ มากถึง 10 ต่อ 1 โดยฝั่งที่มากกว่าย่อมเป็น เต้าหมิงเยี่ย จากพรรคมังกรฟ้า...

เต้าหมิงเยี่ย กวาดตามองเหล่าผู้ชมรอบ ๆ ด้าน ท่ามกลางเสียงเฮที่ดังกระหึ่ม ก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา ต่อให้ เต้าหมิงเยี่ย ไม่คิดว่าตนจะชนะเลิศได้ แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสแสดงฝีมือท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว

“ต้องขอบใจเจ้าจริง ๆ ที่วันนี้มาเป็นประกายแสง คอยสาดส่องให้กับตัวข้า เต้าหมิงเยี่ย ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”

ซุน เผยยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้าเอือมระอาต่อผู้โง่เขลา...
“อย่ากล่าวมากนักเลย หากทุกอย่างไม่เป็นดังเจ้าคิด เจ้าจะยิ่งอับอาย...”

เต้าหมิงเยี่ย ถลึงตาขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น หุบยิ้มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แหวนมิติเปล่งแสงวาบเผยปรากฏดาบโค้งกลมรูปพระจันทร์เสี้ยว 2 เล่มออกมา ชายหนุ่มกวัดแกว่งหมุนควงรวดเร็วจนยากจะมองตามการเคลื่อนไหว ก่อเกิดประกายเงาพระจันทร์เสี้ยวโคจรรอบกาย มองดูแล้วทั้งงดงามและน่าหวาดหวั่น

“หยิบอาวุธประจำกายเจ้าออกมา!!” เต้าหมิงเยี่ย คำรามเสียงดุดันน่าเกรงขาม เสียงเฮรอบข้างก็ยิ่งดังกระหึ่มฟังดูฮึกเหิม เห็นได้ชัดว่าการแสดงก่อนหน้านี้ มิต่างการแสดงอวดโอ้ที่ไม่ได้มีผลอะไรในการต่อสู้เลย ออกจะเป็นการโง่เขลาที่รีบแสดงความสามารถให้ศัตรูได้วิเคราะห์เสียด้วยซ้ำไป

ซุน หัวเราะเสียงเย็น อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอีกครั้ง...
“หากเจ้ามีความสามารถเพียงพอ ข้าจะหยิบมันออกมาเองนั่นแหละ”

ดวงตาของ เต้าหมิงเยี่ย แดงฉานโดยพลัน...

“เริ่มการประลองได้!!” กรรมการประกาศขึ้น

พริบตานั้น ทั้ง เต้าหมิงเยี่ย และ ซุน ต่างก็ระเบิดท่าร่างพุ่งตรงเข้าหาอีกฝ่ายพร้อม ๆ กัน เงาพระจันทร์เสี้ยวยิ่งหมุนโคจรเร็วยิ่งขึ้น จนราวกับเป็นปราการคมมีดที่โอบล้อมตัวตนของ เต้าหมิงเยี่ย ความแข็งแกร่งนั้นมีมากยิ่งกว่าคู่ต่อสู้ในหน่วยมือปราบเทพพยัคฆ์อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่มันก็มิได้ทำให้ ซุน เผยร่องรอยความกังวลใด ๆ ขับขานปราณธาตุประเภทหนึ่งที่ไม่ค่อยได้นำออกมาใช้ แต่ความรู้แจ้งแตกฉานนั้น ก็มิได้เป็นรองปราณธาตุอื่น ๆ

“เคล็ดวิชาปราณธาตุโลหะ... กายาเหล็กสีนิล!!”

เพียงขับขานโคจรเคล็ดวิชาผิวกายของ ซุน พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำมันเลื่อมดุจโลหะ มันคือเคล็ดวิชาปราณคุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุดของ ซุน ในตอนนี้ และเมื่อหลอมรวมกับศาสตร์อาคมและรอยสักบนเรือนกาย ยามนี้มิต่างกับร่างศิลาที่ถูกชุบเคลือบด้วยโลหะ!!

กำลังขาที่ระเบิดออกเป็นระลอก จนฝากรอยแตกร้าวไว้บนพื้นเวทีประลอง มันคือการเพิ่มความเร็วพุ่งทะยาน ดุจกระสุนโลหะสีดำขนาดใหญ่ ที่ถูกยิงออกไป เสียงผ่าอากาศดังอื้ออึงสั่นไหว มีเพียงดวงตาที่สาดประกายกระหายในชัยชนะ!!

เต้าหมิงเยี่ย หรือแม้แต่เหล่าผู้ชมโดยรอบ ล้วนพากันเบิกตากว้างตกตะลึง!!
“นะ...นั่นมันอะไรกัน!!” ส่วนอุทานไม่ทราบที่มา ดังขึ้นจากฝากฝั่งอัฒจันทร์

แน่นอนว่าผู้ใช้ลมปราณในยุทธภพเกือบทุกคนย่อมรู้จักรูปแบบปราณธาตุโลหะ อันเป็นรูปแบบของปราณคุ้มกันที่แข็งแกร่งทางธรรมชาติ โดยใช้โลหะเคลือบอาบไปบนผิวกายเสริมส่งด้านป้องกัน... ทว่ารูปแบบนี้จำเป็นต้องใช้พลังสมาธิในการประคับประคองโลหะ ให้อาบเคลือบไปบนร่างต้องการความเสถียรอย่างมาก หากสมาธิขาดพร่องหรือสั่นคลอนเพียงนิด โลหะที่อาบเคลือบจะสลายไปทันที

ดังนั้นมันจึงเป็นกระบวนท่าทีต้องอยู่ให้รูปแบบการยืนตั้งรับที่นิ่งสงบ เปรียบดังขุนเขาไม่เคลื่อนที่... หรือต่อให้ผู้ใช้ฝึกฝนชำนาญยิ่งขึ้น ก็จะอาบเคลือบผิวกายเพียงแค่บางส่วน เพื่อปันสมาธิให้กับการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเท่านั้น

ไม่มีผู้ใดใช้ทักษะนี้พร้อมกับการพุ่งทะยานได้!! อีกทั้งยังเป็นการอาบเคลือบทั่วร่างปกปิดเรือยกาย ที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์และยากเย็นเป็นที่สุด แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงยังยากที่จะควบคุม!! ดังนั้นการระเบิดทักษะเช่นนี้ของ ซุน จึงเกิดเป็นภาพที่น่าตื่นตระหนกอย่างมาก

เต้าหมิงเยี่ย กัดฟันดังกรอด เมื่อ ซุน ใกล้เข้ามาในชั่วพริบตา...
“มันต้องเป็นแค่ปาหี่กลลวงแน่ ๆ มันไม่มีทางอาบเคลือบโลหะทั่วร่าง ไปพร้อมกับการใช้วิชาตัวเบาได้!! เช่นนั้นข้าจะฉีกกระชากการแสดงปาหี่นี้ของเจ้า!!”

เต้าหมิงเยี่ย ตวัดดาบพระจันทร์เสี้ยวฟันฉับลงไป เกิดเป็นรังสีดาบหมุนวน พวยพุ่งสองสายราวกับดวงจันทร์ย่อส่วนที่เคลื่อนไหวได้... ถึงกระนั้นความเร็วในการพุ่งเข้ามาของ ซุน ก็ไม่ได้หยุดชะงัก พุ่งกระแทกเข้าใส่คมดาบหมุนวนดังกล่าว ราวกับเป็นเพียงใบไม้ที่ปลิดปลิวเข้ามา

“สลาย!!”

เพล้ง!!

เพียงแค่มันกระทบเข้ากับร่างของ ซุน ก็มิต่างใบไม้ที่กระแทกเข้าใส่กระทิง แตกสลายไปราวกับแก้วกระจก ไม่อาจผ่านผิวกายโลหะ มีเพียงรอยขาดเล็ก ๆ ที่อาภรณ์สีแดงเท่านั้น... ใบหน้าของ เต้าหมิงเยี่ย ขาวซีดไปโดยพลัน หากแต่ยังไม่มีเวลาให้มันได้เอ่ยปากใด ๆ ร่างของ ซุน ก็อยู่เบื้องหน้าเสียแล้ว

เต้าหมิงเยี่ย แผดคำรามเสียงหวาดกลัวขึ้น ฟันดาบพระจันทร์เสี้ยวฉับลงไปตรง ๆ ที่ไหล่สองข้างของ ซุน หลายหยุดยั้ง เกิดเป็นเสียงดัง เกร้ง! ขึ้น มือทั้งสองข้างของ เต้าหมิงเยี่ย สั่นสะท้านพลางด้านชา รู้สึกเหมือนกับว่ามันเอาดาบไปฟันเข้าใส่โลหะก้อนใหญ่ ที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว จนแรงสะท้อนย้อนกลับมาเล่นงานมือตนเอง...

ราวกับรู้ชะตากรรมในชั่วพริบตา เต้าหมิงเยี่ย เผยรอยยิ้มขมขื่น ก่อนจะเกิดเสียงดัง ตูม! ครั้งหนึ่งกึกก้องกังวานสยบไปทั่วสี่ทิศ ร่างของ เต้าหมิงเยี่ย ลอยสูงจากพื้นประหนึ่งถูกสัตว์ร้ายพุ่งประสานงา สำรอกโลหิตขณะที่ลอยสูง ดาบพระจันทร์เสี้ยวทั้งสองเล่มกระเด็นไปคนละทิศละทาง...

ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีการออกกระบวนท่า... สิ่งที่ ซุน ได้ทำ ก็เพียงแค่วิ่งชน เต้าหมิงเยี่ย ตรง ๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น!! แต่ด้วยพละกำลังที่แตกต่าง ความแข็งแกร่งในการป้องกัน และพลานุภาพสยบที่เหนือกว่าอย่างมหาศาล

เต้าหมิงเยี่ย แท้จริงมิได้อ่อนแอ แต่มันกลับประมาทและดูแคลน ซุน มากเกินไป จนต้องได้รับผลของการดูแคลนเหล่านั้น... ขณะที่ร่างของ เต้าหมิงเยี่ย ตกลงกระแทกพื้นเวทีอย่างน่าเวทนา โดยไม่มีการตั้งหลัก นอนเบิกตาโพรงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ กระดูกทั่วร่างแม้ไม่หักแต่ก็แตกร้าวระบมทั้งหมด จนยากที่จะลุกยืนขึ้น

ซุน เดินสืบเท้าตรงเข้ามาเนืองช้า ด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า...
“ข้าก็ย้ำเตือนเจ้าแล้ว... ว่ายิ่งกล่าวมากไป มันก็จะยิ่งอับอาย เจ้าเคยเห็นพยัคฆ์เห่าหอนก่อนเล่นงานเหยื่องั้นหรือ?! ไม่เลย...มีเพียงสุนัขเท่านั้นแหละ ที่มันเห่าหอน”

เต้าหมิงเยี่ย ทั้งเจ็บทั้งอาย แต่ก็เอ่ยปากไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ แสดงท่าทีไม่ยินยอมอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะสำรอกโลหิตออกมาอีกครั้ง และพลันสลบไสล จากโทสะที่ระเบิดขึ้นมาภายในร่างของตนเอง แต่ไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะปลดปล่อยออกไป หมดสภาพในการต่อสู้...

“ผู้ชนะ หมายเลข 32 ซุน ผู้เยาว์ไร้สังกัด” กรรมการประกาศขึ้น

เสียงผู้ชมรอบด้านส่วนมากล้วนนิ่งเงียบ อ้าปากค้าง... มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่คำรามเสียงเฮออกมาด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น จากสภาพที่เห็นย่อมพอจะเดาได้ว่าเสียงที่เงียบงันนั้น คือผู้ที่พ่ายแพ้เดิมพัน!! มีเพียงผู้ชนะเดิมพันส่วนน้อยเท่านั้น ที่ได้รับเงินมากถึง 10 เท่า จึงคำรามเสียงดีใจจนออกนอกหน้า...

ยังมีสายตาคมกล้าจากทิศทางต่าง ๆ ของผู้เข้าร่วมการประลองที่จับจ้องการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย ทุกสายตาเผยความไม่อยากจะเชื่อออกมา แม้ทั้งหมดจะอยู่คนละสาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปตามกระแสการต่อสู้ที่พลิกผันเกินความคาดหมาย

ภายในสถานที่ปิดทึบ เกาทงหลิน และ ซางกวานเฉิน สองตัวเต็งในสายประลองเดียวกัน ยังเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา ทั้งคู่เหลือบมองระหว่างกันเล็กน้อย การพิชิตชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นที่ 5 อย่าง เต้าหมิงเยี่ย ลงได้ ไม่ถือว่าน่ากลัวอะไร... แต่การเอาชนะด้วยการพุ่งชนเพียงครั้งเดียว ทั้งยังไม่ได้ใช่ศาสตราเกื้อหนุน ย่อมแสดงถึงพื้นฐานร่างกายอันแข็งแกร่งที่อาจไม่ด้อยกว่าชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นปลาย…

บนอัฒจันทร์ฝั่งที่นั่งชั้นพิเศษทรงเกียรติ... ฉีเฟยเทียน และ ซ่งไห่เฟิง ยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างตื่นตะลึง กับความแข็งแกร่งที่มิอาจนำ ซุน เด็กหนุ่มเมื่อครึ่งปีก่อน ไปเปรียบเทียบกับยอดฝีมือรุ่นเยาว์บนเวทีตอนนี้ได้เลย...

ไป๋หู่จิวหรง ยังอดไม่ได้ที่เหงื่ออาบชุ่มยังกลางฝ่ามือ นางเผยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยใจสู้รบ...
“ร้ายกาจมาก... ที่แท้เจ้าก็ยังเก็บงำความสามารถเอาไว้จริง ๆ งั้นสินะ!!”


……………………………………

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว