อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 177 พยัคฆ์วาตะ หวนคืน

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 177 พยัคฆ์วาตะ หวนคืน

วันถัด ๆ มา ข่าวลือของ เหยาซาน ก็ใช่ว่าจะทุเลาลงโดยง่าย ผนวกกับการที่ เหยาซาน ในเวลานี้ หากคิดจะเดินทาง ก็แทบจะหลงลืมการใช้เท้าทั้งสองข้างไปแล้ว วิหคหัวล้านต่างบินว่อนไปมาในสำนัก เรียกสายตาริษยาให้หมู่ศิษย์เป็นทบทวี ดังนั้นในทุก ๆ ครั้งที่พบเห็น เหยาซาน บินผ่าน เสียงนินทาเผ็ดร้อนก็กระช่อนไปทั่วละแวกอยากมิอาจหลีกเลี่ยง...

แต่แน่นอนว่า... เหยาซาน ไม่เจ็บไม่คันกับเสียงนินทาเหล่านั้นแม้แต่น้อย ยังคงใช้สถานะของตนเองอย่างอิสระไม่สนใจผู้ใด... ด้วยเงื่อนไขของผู้อาวุโสจาง ทำให้ เหยาซาน ได้รับ [โอสถรากฐานฟ้าดิน] จำนวน 10 เม็ด สำหรับกลืนกิน 10 วัน จาก ตำหนักหมื่นโอสถ ใช้สำหรับกรุยเส้นทางลมปราณให้การบ่มเพาะทำได้ง่ายและราบรื่นขึ้นอีกหลายเท่า

โอสถรากฐานฟ้าดิน เป็นเม็ดยาที่ ตันเหยา เองยังให้ความสนใจและในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่กลืนกินเม็ดยาบ่มเพาะตั้งแต่เยาว์วัย จึงสามารถบอกคุณสมบัติตัวยากับ เหยาซาน ได้อย่างแม่นยำ เม็ดยาเหล่านี้ถือเป็นเป็นยาที่มีราคา ในแต่ละเม็ดมูลค่าราวเจ็ดแปดหมื่นเหรียญทองเลยทีเดียว แต่เพราะ สำนักสายลมประจิม มีผู้อาวุโสเชี่ยวชาญการปรุงยา จึงไม่นับว่าสิ้นเปลืองเท่าใดนัก...

เมื่อ เหยาซาน กลืนกินเม็ดยา โอสถรากฐานฟ้าดิน ไปพร้อม ๆ กับการร่ำสุราลมปราณด้วยวิถีแห่งเซียนเมรัย ยามนี้จึงเรียกได้ว่าร่างกายของ เหยาซาน ประดุจบ่อพลังที่ดูดกลืนปราณธรรมชาติอย่างรุนแรงตลอดเวลา และแน่นอนว่าสำนักสายลมประจิมนั้น ก็นับเป็นสถานที่ซึ่งอุดมไปด้วยปราณธรรมชาติที่ไหลเวียนพรั่งพรู เหมาะสมกับการบ่มเพาะอย่างยิ่ง

เด็กหนุ่มติดขัดในการทะลวงผ่านขั้นพลังมาสักระยะแล้ว ยังคงติดค้างอยู่ที่ชั้นลมปราณสีน้ำเงินขั้นที่ 2 เหตุก็เพราะเมื่อพื้นฐานลมปราณสูงขึ้น การบ่มเพาะก็จะยิ่งยากขึ้นตามลำดับ...
“คราวนี้แหละ เส้นทางแห่งการบ่มเพาะข้าจะได้เบิกกว้างอีกครั้ง!!”

เหยาซาน เผยสายตามุ่งมั่นเมื่อพบเจอหนทาง...

ท่ามกลางข่าวลือที่ถาโถมประดังเข้ามา ก็ใช่ว่าหมู่ศิษย์ทั้งหมดจะเชื่อถือในข่าวลือเหล่านั้น บางส่วนก็พอจะมองออกมาว่ามันค่อนข้างจะเกินจริงไปหลายส่วน อีกทั้ง เหยาซาน นอกจากเรื่องที่ตกลงมาจากหน้าผาเสียดฟ้า และชื่นชอบการโบยบินอวดโอ้ด้วยวิหคพาหนะแล้ว ก็มิได้แสดงสิ่งใดที่เลวร้ายต่อสำนักออกมา

ทั้งยังมีสถานะเป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติของสำนักตั้งแต่เป็นเพียงศิษย์สายนอก การที่ผู้อาวุโสสูงสุดมอบตำแหน่งนี้ให้ ย่อมมิได้เกิดจากโชควาสนา แต่เกิดจากความสามารถ...

อีกทั้งคนที่รู้จักสนิทสนมกับ เหยาซาน จริง ๆ ก็ไม่ได้เชื่อถือในข่าวถือเหล่านี้แต่แรกอยู่แล้ว ทั้ง ตันเหมา ตงเหยียน หรือแม้แต่ เฟิงอี้จุน และพรรคพวก ทุกคนที่บังเอิญพบเจอ เหยาซาน ยังคงเอ่ยทักทายเฉกเช่นคนรู้จักคุ้นชิน ทั้งคนกลุ่มนี้ยังช่วยแก้ข่าวลือเป็นระยะให้อีกด้วย...

เหยาซาน อยู่ในสังกัด หอวายุ นานพอสมควร จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 5 วันได้แล้ว... เหตุผลก็เพราะเคล็ดวิชาตัวเบา วายุทะยานเหยียบเมฆา เป็นวิชาที่ฝึกได้ยากที่สุดเท่าที่ เหยาซาน เคยศึกษามาก็ว่าได้!! นอกจากจะต้องเชี่ยวชาญในปราณธาตุวายุแล้ว ยังต้องควบคุมให้เข้ากับท่วงท่าการเคลื่อนไหวเพื่อรักษาสมดุลให้มั่นคง...

เคล็ดวิชาต่าง ๆ โดยสามัญแล้ว จะจัดระดับความยากในการฝึกฝนอยู่ใน 4 ระดับ ได้แก่ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับเฉพาะ แน่นอนว่าพื้นฐานปราณธาตุต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นระดับแรกเริ่มเทียบเท่าเคล็ดวิชาระดับต่ำสุด ใช้เวลาไม่มากในการทำความเข้าใจขึ้นอยู่กับพื้นฐานบุคคล ซึ่งด้วยพลังสมาธิระดับ เหยาซาน ย่อมสามารถเรียนรู้มันได้แทบจะในทันที

ส่วนเคล็ดวิชาอย่างอาภรณ์เปลวเพลิงนั้น ถือเป็นเคล็ดวิชาระดับกลาง ที่ต้องอาศัยความเข้าใจพื้นฐานอย่างเข้มข้นจึงจะบรรลุผ่านได้ สำหรับ เหยาซาน ก็ยังไม่นับว่ายุ่งยาก หากมีผู้ชี้แนะ หรือได้เห็นกระบวนการโคจรด้วยตา ก็เพียงพอที่จะทำให้ฝึกฝนได้รวดเร็ว

ด้านเคล็ดวิชาระดับสูงนั้น เทียบเท่ากับ เพลงขวานวายุตระกูลซ่ง อาจมีหลายขั้นหลายระดับในการฝึกมิต่างบันไดที่ต้องค่อย ๆ ก้าวเดิน มิอาจทะยานรวบรัด บางคนโง่เขลาไม่มีพรสวรรค์ก็อาจไม่สามารถฝึกสำเร็จได้เลย และหากต้องการความเชี่ยวชาญก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนหลายต่อปลายปี… เหยาซาน สามารถฝึกเคล็ดวิชาระดับนี้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะไร้คู่เปรียบแล้ว...

ส่วนเคล็ดวิชาระดับเฉพาะนั้นความยากย่อมตรงตามที่ถูกเรียก จะมีแค่เฉพาะบางบุคคลเท่านั้นที่จะฝึกฝนได้ หากไม่ใช่ผู้ที่มีความเข้ากันได้กับเคล็ดวิชา ต่อให้ระดับอัจฉริยะยอดฝีมือ ก็ไม่มีทางสำเร็จวิชาจำพวกนี้ได้... ดังเช่น วิถีแห่งเซียนเมรัย เป็นต้น และแน่นอนว่าเคล็ดวิชา วายุทะยานเหยียบเมฆา ก็จัดเป็นเคล็ดวิชาระดับเฉพาะรูปแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน

กล่าวกันว่า เคล็ดวิชาระดับเฉพาะนั้น...
เคล็ดวิชาเลือกคน มิใช่คนเลือกเคล็ดวิชา...

ตัวของ เหยาซาน เคยเห็นผู้ใช้เคล็ดวิชานี้มาแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าสำนักอวิ๋นหยางหลิ่ง ในตอนที่เปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นสายลมสีเขียว พุ่งทะยานแหวกน้ำทะเลสาบจนกลายเป็นเส้น ซึ่งภาพความน่ากลัวของวิชาตัวเบาในตอนนั้น ยังตราตรึงใจของ เหยาซาน จนกลายเป็นแรงผลักดันในการฝึกที่มากยิ่งไปกว่าเดิม...

เหยาซาน มีศิษย์พี่ที่สนิทเพิ่มอีกผู้หนึ่ง ค่อยชี้แนะให้การปรึกษา... นั่นคือ เค่อหยงไห่ ศิษย์สายในระดับสูงสุดจาก หอวายุ ผู้ที่เคยพยายามจะช่วย เหยาซาน ในครั้งที่เกิดเหตุการณ์ลมหวนย้อนกลับอย่างสุดความสามารถ(ตอนที่ 87) ในวันที่ เหยาซาน ได้กลับไปขอบคุณเรื่องครั้งนั้น ทำให้ทั้งสองเริ่มสนิทสนมกัน...

เค่อหยงไห่ เป็นศิษย์สายปราณวายุมากว่า 3 ปีแล้ว จึงมีความเชี่ยวชาญในขั้นพื้นฐานระดับหนึ่ง ทั้งยังมีความสามารถเพียงพอจะขึ้นเป็นศิษย์หลักได้ด้วยซ้ำ ขาดก็แค่การทำภารกิจพิเศษเพื่อเลื่อนขั้น ซึ่งเจ้าตัวยังรู้สึกไม่พร้อมจะก้าวไปบนเส้นทางศิษย์หลัก จึงเลือกที่จะเป็นศิษย์สายในระดับสูงสุดต่อไปอีกสักระยะ

ดังนั้นนอกจาก ผู้อาวุโสม่อ แห่งหอวายุแล้ว จึงมีเพียง เค่อหยงไห่ ที่ทราบเรื่องเคล็ดวิชา วายุทะยานเหยียบเมฆา ที่ เหยาซาน กำลังแอบฝึกฝนอยู่ ด้วยความเป็นศิษย์สายในทำให้ เค่อหยงไห่ พอจะรู้ถึงสถานที่ลับตาเหมาะสำหรับการฝึก... แน่นอนว่า เค่อหยงไห่ ก็ใช้โอกาสนี้ฝึกร่วมกัน ถึงยังไงเมื่อตนก้าวเป็นศิษย์หลักก็คงต้องฝึกวิชานี้อยู่แล้ว การปูพื้นฐานเอาไว้ระหว่างชี้แนะ เหยาซาน ก็นับเป็นการดี มีประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย...

ยิ่ง เค่อหยงไห่ สุงสิงสนิทสนมกับ เหยาซาน และฝึกฝนร่วมกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องตื่นตระหนกในพลังการพัฒนาของศิษย์น้องผู้นี้... ด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน เค่อหยงไห่ กลับสัมผัสได้ว่าพื้นฐาน 3 ปีที่ตนเรียนรู้ปราณวายุ กำลังจะถูกเด็กผู้นี้ล้ำหน้าออกไป...

ตลอดการฝึกฝนหลายครั้งหลายคราที่ เหยาซาน มักตกอยู่ในห้วงภวังค์ ใช้รูปแบบจินตนาการสร้างภาพการฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วนก่อนจะเริ่มทำการเคลื่อนไหวจริง ๆ สักครั้งหนึ่ง หากเกิดการสะดุดหรือข้อผิดพลาดใด ๆ ในรูปแบบการเคลื่อนไหว เหยาซาน ก็ยังจะเข้าไปในห้วงภวังค์อีกครั้งเพื่อเพิ่มประสบการณ์ในจินตนาการตนเอง ฝึกฝนท่วงท่าผ่านจินตนาการเหล่านั้น...

เฒ่าชีเปลือย ได้เรียกสิ่งนี้ของเด็กหนุ่มว่า...
[วงจรแห่งความซ้ำซ้อน แสวงหาความสมบูรณ์]

วงจรนี้ถือเป็นทักษะพิเศษ เพื่อเพิ่มประสบการณ์และความเร็วในการพัฒนาขึ้นอย่างที่สุดสำหรับ เหยาซาน เป็นพื้นฐานแห่งความเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้... กระทั่งตัวของ เฒ่าชีเปลือย ยังให้การเอ่ยปากชื่นชม ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ

เคล็ดวิชา วายุทะยานเหยียบเมฆา นั้น ถึงแม้ว่าชนชั้นศิษย์หลักจะได้รับอนุญาตให้ฝึกปรือได้ก็จริง แต่ใช่ว่าจะทุกคนที่สามารถฝึกสำเร็จได้ หรือต่อให้ฝึกได้นั้น โดยมากก็จะเข้าถึงเพียงขั้นที่ 1 ระดับเหยียบพสุธา เท่านั้น...

เคล็ดวิชา วายุทะยานเหยียบเมฆา มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 4 ขั้น ได้แก่ เหยียบพสุธา เหยียบธารา เหยียบยอดหญ้า และ เหยียบเมฆา... ในสำนักเวลานี้ ผู้ที่สามารถฝึกสำเร็จถึงขั้นที่ 4 เหยียบเมฆา มีเพียงสุดยอดฝีมือของสำนักอย่าง เจ้าสำนักอวิ๋นหยางหลิ่ง และรองเจ้าสำนักเป่ยเตียวหุย เท่านั้นเอง

ส่วน รองเจ้าสำนักเตียมู่หยง นั้นไม่มีพรสวรรค์ปราณวายุ จึงฝึกวิชาตัวเบาระดับเฉพาะในสายปราณกระบี่ เรียกว่าเคล็ดวิชา [ก้าวทะยานร่างกระบี่] ที่แม้จะมีความเร็วด้อยกว่าเคล็ดวิชา วายุทะยานเหยียบเมฆา แต่ก็จัดเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาตัวเบาระดับสูงสุด ทั้งยังสามารถยืนบนกระบี่เพื่อเหาะเหินได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้อีกด้วย

เหยาซาน จมจ่อมอยู่กับการฝึกฝน ตลอดหลายวันแทบมิได้หยุดพัก กระทั่งกลับเรือนพักในช่วงค่ำก็ยังไม่ยอมกลับ ฝึกฝนตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน แม้แต่ผู้ที่พื้นฐานลมปราณสูงกว่าอย่าง เค่อหยงไห่ ยังต้องให้การเลื่อมใสในความพยายาม อดไม่ได้ที่จะเฝ้ามองเด็กหนุ่มด้วยความนับถือ...

“นอกจากจะเป็นอัจฉริยะเหนือมังกร ยังมีความมุมานะอันไร้ที่เปรียบ... ศิษย์น้องผู้นี้ สักวันจะต้องขึ้นไปในชั้นแนวหน้าของศิษย์หลักอย่างแน่นอน สวรรค์ช่างใจร้ายยิ่งนัก ที่ส่งคนผู้นี้ให้มาเกิดในรุ่นของข้า...” เค่อหยงไห่ กล่าวตัดพ้อเบา ๆ พลางเงยหน้ามองขึ้นสู่ท้องฟ้า...

โชคดีที่ เค่อหยงไห่ ผู้นี้ เป็นคนมีจิตใจดีงามไม่มีลับลมคมในแอบซ่อน อธิบายทุกสิ่งอย่างที่ตนรู้และเข้าใจโดยไม่กักเก็บ ทำให้ เหยาซาน ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเคล็ดวิชาสายปราณวายุภายใต้การชี้นำ...

ในวันที่ 7

สองเท้าของ เหยาซาน ถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีสีเขียวเจือจางหมุนวนรอบ ๆ ดวงตาเจิดจรัส กระทั่งตะวันยังมัวหมอง ระเบิดพลังลมปราณออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเวลานี้บรรลุผ่านชนชั้นลมปราณสีน้ำเงินขั้นที่ 3 ขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากทั้งโอสถและสุราที่เกื้อหนุน...

“เหยียบพสุธา!!”

ตูม!!

เสียงมวลอากาศกระจายตัวอย่างรุนแรง ส่งร่างพุ่งทะยานออกไปไกลกว่า 30 ก้าว โดยในตอนที่ออกตัวนั้น ไม่ทิ้งรอยเท้าไว้บนผืนทรายด้วยซ้ำ!! สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าสำเร็จเคล็ดวิชาขั้นที่ 1 ไปเป็นที่เรียบร้อย แม้จะใช้เวลาถึง 7 วัน ซึ่งนับว่ายาวนานกว่าเคล็ดวิชาอื่น ๆ ที่ เหยาซาน เคยฝึกฝน แต่มันก็เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างไร้ที่เปรียบ...

เค่อหยงไห่ สูดลมหายใจดังเฮือก ดวงตากรอกไปมาสั่นไหวด้วยความตื่นตะลึง... ฝ่ามืออาบชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ เค่อหยุนไห่ ก็พอจะทราบว่า เหยาซาน เป็นอัจฉริยะที่น่ากลัว แต่ใจก็คิดว่าหนึ่งในเคล็ดวิชาที่ฝึกได้ยากที่สุดของสำนัก อย่างเคล็ดวิชา วายุทะยานเหยียบเมฆา อย่างน้อยที่สุดคงต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ไหนเลยจะคิดว่าสามารถสำเร็จด้วยเวลาเพียงแค่ 7 วัน!!

ด้าน เหยาซาน กำหมัดแนบแน่นเผยรอยยิ้มพึงพอใจ...
“ในที่สุด ข้าก็สำเร็จเคล็ดวิชาตัวเบาเป็นของตนเอง!!”

เค่อหยงไห่ หลังจากถอนหายใจหนักหน่วง ก็ยกมุมปากเล็กน้อยก้าวเดินเข้ามาแสดงความยินดี...
“สำเร็จแล้วนะศิษย์น้องเหยา... น่าตกใจจริง ๆ ที่เจ้าฝึกวิชานี้สำเร็จ ทั้งที่เจ้าเพิ่งจะเป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้น ตัวข้าทั้งที่มีประสบการณ์มาไม่น้อยยังเรียนรู้เคล็ดวิชาขั้นแรกได้เพียง 1 ใน 10 ส่วน ทำเอาข้ามิกล้ายืนเทียบเคียงกับเจ้าเลย...”

“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น ข้าเองก็ต้องขอบคุณศิษย์พี่เค่อ เช่นกันที่คอยชี้แนะ หากไม่มีท่านช่วยเกรงว่าอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้อีกหลายเท่า...” เหยาซาน ประสานมือสุภาพ

“แล้วเจ้าจะเอายังไงต่อ?! จะฝึกฝนขั้นที่ 2 ต่อเลยหรือไม่ หากฝึกสำเร็จขั้นที่ 2 เหยียบธารา เจ้าจะมีวิชาตัวเบาที่น่ากลัวเทียบเท่าชนชั้นยอดฝีมือเลยทีเดียว สามารถเหยียบยืนบนผืนน้ำเหนือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติได้...” เค่อหยงไห่ เอ่ยถามขึ้น

ทว่า เหยาซาน กลับเผยรอยยิ้ม พลางส่ายหน้าเบา ๆ
“คงไม่แล้ว... เหยียบธารา ฝึกยากกว่า เหยียบพสุธา นับสิบเท่า ทั้งยังต้องใช้ความชำนาญในขั้น เหยียบพสุธา อีกมากมาย ข้าที่เพิ่งฝึกสำเร็จขั้นที่ 1 ยังอีกยาวไกลนัก... อย่างน้อยเวลานี้ข้าก็สลักเคล็ดวิชาทั้งหมดลงในความทรงจำไปแล้ว ไว้ค่อย ๆ เรียนรู้ไปตามลำดับขั้นให้มั่นคงน่าจะดีกว่า...”

เค่อหยงไห่ ถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ...
“เจ้าจดจำเคล็ดวิชา วายุทะยานเหยียบเมฆา ในตำราทั้งหมด ได้แล้วงั้นหรือ?!”

เด็กหนุ่ม พยักหน้าเบา ๆ อันที่จริง เหยาซาน จดจำทุกตัวอักษรในตำราได้ตั้งแต่วันแรก ๆ แล้ว เพียงแต่การจดจำกับความเข้าใจ ย่อมแตกต่างกันมาก คงต้องใช้เวลาเรียนรู้ไปตามลำดับ... ก่อนที่ เหยาซาน จะทอดสายตามองไปยังหอวายุบนยอดเขา...
“คงถึงเวลาแล้ว... ที่ข้าจะย้ายไปเรียนรู้ หอธาตุอื่น...”

“!!!!!!!!!!” เค่อหยงไห่ ใบหน้าบิดเบี้ยวไปในทันที
ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับ เฟิงอี้จุน จากหออัคคี ที่ได้ยินคำนี้

.................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว