อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 190 ความสามารถที่ไม่อาจเปิดเผย

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 190 ความสามารถที่ไม่อาจเปิดเผย

“นี่มันหมายความว่ายังไง?! เจ้าต้องกระเสือกกระสนหนีตายสิ ถึงจะถูกต้องสิ!!” เย่ต้าเฟิง เค้นเสียงขึ้นเมื่อเห็นท่าทีแปลกประหลาดไปของ ซุน ที่หยุดฝีเท้าลง ทั้งยังไร้ร่องรอยแห่งความหวาดกลัว...

ชายหนุ่มสวบกอดอก เชิดหน้าสูงขึ้นน้อย ๆ
“หนี?! ทำไมข้าต้องหนี เพราะไม่ว่ายังไงเจ้าก็ไม่อาจลงมือสังหารข้าได้อยู่แล้ว...”

“!!!!!!!!!” ดวงตาของชายชราแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

กลุ่มมังกรทองจนถึงเวลานี้ ด้วยประสบการณ์และความโชกโชนในภารกิจ จึงมิได้แสดงเจตนาออกมาว่าต้องการตัวของ ซุน เป็นพิเศษ หาไม่แล้วอาจทำให้ขบวนศิษย์หลักออกตัวปกป้อง ซุน จนทำให้ภารกิจลำบากยิ่งขึ้น... ดังนั้นหากเป็นตามสถานการณ์ปกติ จะต้องเข้าใจว่ากลุ่มยอดฝีมือที่โจมตีเหล่านี้นั้น น่าจะเพ่งเล็งไปยังสัตว์อสูรพาหนะหรือทรัพย์สินของกลุ่มศิษย์หลักในขบวนเสียมากกว่า...

ทว่าเมื่อ ซุน โพล่งออกมาตรง ๆ เช่นนี้ จึงสร้างความประหลาดใจให้กับ เย่ต้าเฟิง อยู่ไม่น้อย...
“นี่เจ้า... รู้ดีอยู่แล้วว่าตนเองเป็นเป้าหมายงั้นสินะ แต่ก็ยังกล้าใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อดึงข้าออกมา”

ซุน ไม่กล่าวตอบใด ๆ มีเพียงรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นประดับใบหน้า... ยิ่งสร้างความงุนงงให้กับชายชราเป็นล้นพ้น!! หาก ซุน มีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มองอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงผู้เยาว์ชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นที่ 6 เท่านั้น ช่องว่างในความแข็งแกร่งของทั้งสองคนก็น่าจะมากยิ่งกว่าฟ้ากับเหว ต่อให้มีปาฏิหาริย์ใด ๆ เกิดขึ้น ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงในเรื่องนี้ได้

เย่ต้าเฟิง ไม่มีเสียงหัวเราะดังออกมาอีกแล้ว เผยใบหน้าเคร่งขรึม พยายามขบคิดวิเคราะห์
“เด็กน้อย... ต่อให้เจ้ายังมี ร่มโลหะพิรุณ หลงเหลืออยู่ แต่สิ่งนั้นจะทรงอานุภาพก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมากที่รายล้อม และไม่รู้จักสิ่งนั้นดีพอ... ตัวข้าเพียงลำพัง ย่อมสามารถหาทางรับมือกับร่มนั่นได้ คิดยังไงเจ้าก็ไม่เหลือหนทางที่จะหนีไปจากเงื้อมมือข้าได้สักนิด...”

ทว่ากลับกลายเป็น ซุน ที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่สนใจในคำพูดเหล่านั้นของชายชรา หยิบเอากระบี่แยกสมุทรมาถือไว้ในมือ พร้อมกับกระบี่ทองไร้เอกลักษณ์ ที่อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งกระบี่ หมุนวนอยู่รอบ ๆ กายดุจผู้พิทักษ์นาย...

“บอกข้าได้หรือไม่... ข้าเจ้ากับ เกาถิง ใครแข็งแกร่งกว่ากัน?!”

ชายชรา ขมวดคิ้วขึ้นทันที...
“ข้าและ เกาถิง ต่างเป็นหัวหน้าหน่วยลับระดับสูง... เราทั้งสองแข็งแกร่งกว่า ฉุยป๋อ และ หวางเย่หลิง แต่ไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าระหว่างข้าและ เกาถิง ใครแข็งแกร่งกว่ากัน...”

“งั้นหรอกหรือ... เมื่อหลายวันก่อนข้ายังเป็นเพียงชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นที่ 1 ในตอนนั้น พลังของข้าเทียบเคียงกับ เกาถิง ไม่ได้เลยแม้สักนิดเดียว จึงต้องดึงให้ผู้อื่นมาเสี่ยงอันตรายร่วมกันกับข้า กว่าที่จะกำจัด เกาถิง ได้สำเร็จ

ในวันนี้ข้าจะใช้เจ้าเป็นตัวทดสอบ ว่าระดับพลังที่เพิ่มพูนขึ้นของข้า จะรับมือกับเจ้าได้เท่าใดกัน!!” ชายหนุ่ม ราวกับสวมหัวใจพยัคฆ์ ตวัดกระบี่พุ่งเข้าเสือกแทงตรงไปยังชายชราด้วยความห้าวหาญ ระเบิดพลานุภาพสยบทั้งหมดของตนออกมา

เงากระบี่จากกระบี่แยกสมุทร ที่ถูกโอบล้อมด้วยจิตวิญญาณแห่งกระบี่สีทอง มองดูแล้วน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก... แต่ถึงกระนั้นในสายตาของ เย่ต้าเฟิง ก็ยังนับว่าไม่ได้อยู่ในสายตา ชายชราแม้ร่างกายจะดูอ่อนแอเป็นผลจากวิชามารที่ฝึก ทว่าในด้านลมปราณกลับกล้าแกร่งอย่างถึงที่สุด ระเบิดระลอกคลื่นลมปราณออกมา แผ่อำนาจที่สยบเงากระบี่ในพริบตา

“ช่างโง่เขลา!!”

ไม้เท้าในมือของ ชายแก่ มองดูคล้ายเป็นสิ่งช่วยค้ำจุนยามเดินเหิน แต่แท้ที่จริงมันคืออาวุธอักขระชิ้นหนึ่งที่แข็งแกร่งมาก เมื่อถูกตวัดฟาดออกไปในความว่างเปล่ายังเกิดเป็นคลื่นพวยพุ่ง ทะเลทรายโดยรอบยังถูกพัดกระจายเป็นวงกว้าง...

เงากระบี่ของ ซุน แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มิต่างกระจกที่พยายามกระแทกเหล็กกล้า... ชายหนุ่ม ถอยกรูดเป็นทางยาวเท้าจมลงบนพื้นทรายที่ร้อนระอุ ลมปราณปั่นป่วนจนในปากขมปร่าไปด้วยเลือดสด

ทว่า... แม้จะพ่ายแพ้ในการปะทะ แต่มันกลับทำให้ ซุน รู้สึกเนื้อเต้นจิตใจฮึกเหิม เนื่องด้วยหากเป็นตนเองในหลายวันก่อน พลังนี้คงเพียงพอจะทำให้ตนนั้นบาดเจ็บสาหัส หรืออาจถึงขั้นตกตายไปแล้ว!! ครั้งนี้ ซุน เพียงแค่ลมปราณปั่นป่วนเท่านั้นเอง ยังสามารถสู้ต่อไปได้

เย่ต้าเฟิง ก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ตนนั้นแม้จะยังไม่ลงมือเต็มที่ แต่ก็มากพอจะจัดการกับชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นกลางได้อย่างชะงักงัน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแทบไม่ได้รับบาดเจ็บเลยในการปะทะนี้ บ่งบอกว่าพลังฝีมือของ ซุน ในเวลานี้ ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นต้นแล้ว

“ได้ยินว่าเจ้าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนใหม่ ที่ชนะศึกประลองในเมืองหลวง ดูท่าว่าชัยชนะครั้งนั้น จะมิใช่เพียงแค่เรื่องบังเอิญงั้นสินะ แต่ถึงกระนั้น...โอกาสชนะของเจ้าก็แค่เปลี่ยนจากหนึ่งในหมื่น เป็นหนึ่งในพันเท่านั้น!!”

เย่ต้าเฟิง ระเบิดคลื่นพลังอีกระลอก ปัดกวาดทุกอย่างแทบจะราพณาสูร ครานี้แม้ ซุน จะสามารถใช้เพลงกระบี่เข้าหักล้างได้บางส่วน แต่ก็ยังเหลือพลังมากพอจะกระแทกให้ร่นถอยไปอีกไกลโข ทว่าก็ยังมิอาจสร้างความเสียหายกับ ซุน ได้มากเท่าที่ควร แววตาของ ซุน ยังมิได้บ่งบอกถึงการยอมแพ้สักนิดเดียว

เย่ต้าเฟิง ไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด ชายชราไม่กล้าที่จะลงมือหนักมากไปกว่านี้อีกแล้ว หาก ซุน บาดเจ็บสาหัสก็ยังพอว่า แต่หากพลาดถึงขั้นตกตายไป เย่ต้าเฟิง คงไม่อาจแบกรับความผิดพลาดของภารกิจครั้งนี้ได้แน่นอน จึงกัดฟันหยิบเอาปลอกคอสีดำออกมา หมายใช้วิชามารควบคุมทาสกับ ซุน เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป...

“เจ้าบังคับข้าเองนะ!! อีกไม่นานเจ้าจะไม่เหลือตัวเลือก แม้แต่หนทางตายของตนเอง!! ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าวางแผนการอะไรไว้ ถึงได้ชักนำข้าออกมาเผชิญหน้าเพียงลำพังเช่นนี้ แต่ต่อให้เจ้าตระเตรียมแผนการอะไรเอาไว้ ความต่างชั้นของพวกเราก็ไม่มีวันถูกลบล้าง ตราบเท่าที่เจ้าเผชิญหน้ากับข้าเพียงลำพัง เจ้าไม่มีโอกาสชนะอย่างแน่นอน!!”

ไอทมิฬเริ่มแผ่ล้นออกมาจากร่างของชายชรา มองเห็นเป็นกลุ่มหมอกสีดำที่น่าขนลุกอย่างยิ่ง วิชามารที่ เย่ต้าเฟิง ฝึกฝนแม้จะน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก แต่ก็มีผลร้ายย้อนกลับไปยังชราจนทำให้สภาพร่างกายผอมแห้งและดูขี้โรค

ซุน ปาดโลหิตที่มุมปาก ก่อนจะแสยะยิ้มขึ้นอีกครั้ง...
“นั่นสินะ... ข้าเพียงลำพัง ในเวลานี้ยังไม่อาจเอาชนะเจ้าได้จริง ๆ นั้นแหละ ทว่าข้าก็ยังไม่ได้บอกสักคำว่าข้าพาเจ้าออกมาไกลถึงจุดนี้ เพื่อที่จะต่อสู้เพียงลำพังกับเจ้า!! ที่ข้าต้องลำบากแยกตัวออกมาจนถึงตรงนี้ นั่นก็เพราะไม่อาจเปิดเผยความสามารถของตัวตน ต่อหน้าคนอื่นได้ต่างหาก!!”

กล่าวจบ ซุน ก็โบกสะบัดมืออีกครั้ง เผยร่างของชายวัยกลางคนร่างหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า แน่นอนว่าการที่สามารถถูกเก็บไว้ในแหวนมิติได้นั้น แปลว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ย่อมไม่มีลมหายใจหลงเหลืออยู่แล้ว เป็นเพียงศพร่างหนึ่ง ที่ผ่านการหลอมระดับ 2 เป็นที่เรียบร้อย

ระดับ 1 ไม่เน่าไม่เปื่อย... ระดับ 2 มีโลหิตหมุนเวียน!! ศพระดับที่ 2 ถูกขึ้นหลอมขึ้นจากโลหิตหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก เมื่อสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ภายในร่างของศพจึงมีโลหิตที่สามารถหมุนเวียนได้ สภาพที่ขาวซีดของศพจึงเลือนหายไป มีความเปล่งปลั่งของเส้นโลหิตน้อยใหญ่ไหลเวียน จนมองดูคร่าว ๆ ราวกับเป็นร่างที่หลับสนิท ร่างหนึ่งเท่านั้น...

“!!!!!!!!!!” เย่ต้าเฟิง เบิกตากว้างตื่นตะลึง ด้วยประสบการณ์และความโชกโชน ถึงแม้ว่าศพร่างนั้นจะดูราวกับมีชีวิตมากเพียงใด ทว่ากลิ่นอายแห่งความตายที่ปกคลุมก็มิอาจปิดบังได้ ทั้งยังรู้ได้ทันทีว่าศพตนนี้ ผ่านการหลอมมาด้วยศาสตร์แห่งความตายโบราณ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่มืดดำยิ่งกว่าวิชามารในการควบคุมทาสของตนเองเสียอีก

“หุ่นเชิดศพ!!”

แม้ว่า เย่ต้าเฟิง จะอึ้งงันไปไม่น้อย เพราะศาสตร์หลอมศพนี้ เป็นหนึ่งในวิชาลับของ ผู้เฒ่าวิญญาณ ยอดฝีมือระดับแกนนำ!! ดังนั้นการที่ได้มาเห็นศพหลอมต่อหน้าต่อตา ก็อดไม่ได้ที่จะกริ่งเกรง เมื่อนึกถึงความน่ากลัวของ ผู้เฒ่าวิญญาณ คนนั้น

แต่ศพหลอมที่อยู่ตรงหน้า ก็มิได้มีความน่าหวาดหวั่นอะไรนัก อย่างไรเสียศาสตร์หลอมศพ หากมิใช่ศพหลอมในระดับที่สูงมาก ๆ ก็ไม่นับว่าน่ากลัว ยิ่งเป็นศพระดับ 2 แม้จะหลอมออกมาได้ดีเพียงใด ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งเกินไปกว่าชนชั้นลมปราณสีคราม

อีกทั้งหุ่นเชิดซากศพนั้น จะถูกควบคุมโดยไร้ซึ่งสติปัญญา ทำได้เพียงแค่รับคำสั่งง่าย ๆ ของผู้เป็นนายเท่านั้น ไม่มีแม้แต่วรยุทธใด ๆ จะแสดงออกมาได้ ใช้เพียงสัญชาตญาณดิบเถื่อน และความแข็งแกร่งขั้นพื้นฐานที่มีติดตัวเข้าต่อสู้เท่านั้นเอง ฉะนั้นศพนี้ต่อหน้า เย่ต้าเฟิง จึงมิต่างกับขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง...

“น่าขันยิ่งนัก... นี่น่ะหรือความสามารถที่ไม่อาจเปิดเผยผู้ใดเห็นได้ ที่แท้มันก็แค่ศพหุ่นเชิดระดับต่ำ แต่ตน ดะ...เดียว” ยังไม่ทันที่ เย่ต้าเฟิง จะกล่าวจบประโยค ข้างกายของ ซุน ก็มีศพหลอมระดับ 2 ทั้งหญิง ทั้งชาย อีก 8 ตน ก็ปรากฏออกมา!!

ซุน ในเวลานี้ ใช้เงินทองและทรัพยากรที่มีทั้งหมด ไปกับการสร้างศพหลอมระดับ 2 และได้มาซึ่งศพที่สมบูรณ์แบบเพียงแค่ 10 ตนเท่านั้น... ซึ่งกว่าที่จะได้มาถึง 10 ตน ซุน ก็พลาดท่าล้มเหลว จนสูญเสียศพหลอมระดับที่ 1 และทรัพยากรไปอย่างมหาศาล นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ ซุน ตระหนี่ถี่เหนี่ยวอย่างถึงที่สุด รู้สึกได้ว่าต่อให้ตนมั่งคั่งเพียงใด ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ...

เวลานี้ ซุน นำศพหลอม 9 ตน ออกมาเบื้องหน้าแผ่ซ่านกลิ่นอายแห่งความตายที่ตลบอบอวล... จากนั้น ซุน ก็บริกรรมอาคามหาไสยเวทย์ ดวงวิญญาณยอดฝีมือจากตระกูลเกา 9 ตนก็ปรากฏร่างออกมา หลายตนในอดีตเป็นถึงชนชั้นลมปราณสีส้มขั้นต้น และอีกหลายตนก็เป็นชนชั้นลมปราณสีเหลือขั้นสูง ยามนี้ทั้งหมดคุกเข่าลงตรงหน้าของ ซุน เฝ้ารอคำสั่ง...

ชายหนุ่ม เผยแววตาดุดันราวกับเจ้าชีวิต
วาดแขนออกไปเพียงครั้งพร้อมออกคำสั่ง...

“วิญญาณบริวารแห่งข้า... จงสิงสู่ศพหุ่นเชิดเหล่านี้!!”

ดวงตาของวิญญาณยอดฝีมือทั้ง 9 เปล่งประกายเจิดจ้าขึ้น ก่อนจะแตกสลายกลายเป็นอณูวิญญาณขนาดเล็ก แทรกซึมเข้าไปในร่างของศพระดับ 2 เหล่านั้น... ไม่นานดวงตาของศพทั้ง 9 ตนก็เบิกโพรงมีประกายขึ้นมา ถูกวิญญาณยอดฝีมือทั้ง 9 สิงสถิต ผ่านอาคมมหาไสยเวท์ที่มี ซุน เป็นสื่อกลาง...

มิเพียงเท่านั้น... ศพร่างที่ 10 ในเวลานี้ ได้ปรากฏข้างกายของ ซุน ขึ้นมาแล้วเช่นเดียวกัน... ศพนี้เป็นศพที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ที่สุด หล่อเหล่าที่สุด และถูกหลอมขึ้นอย่างประณีตมากที่สุด จนใกล้จะขึ้นเป็นระดับ 3 อยู่รอมร่อแล้ว...

ร่างศพของ เกาทงหลิน อดีตอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของทวีป...

และทันทีที่ศพนี้ได้ปรากฏ เสียงหัวเราะที่สั่นคลอนชั้นบรรยากาศโดยรอบทั้งหมด ก็ก้องกังวานขึ้น แม้ว่า เย่ต้าเฟิง จะไม่ได้ยินเสียงหรือมองเห็นดวงวิญญาณได้ ก็ยังขนลุกชูชันไปทั้งร่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ สัมผัสได้ถึงวิกฤตบางอย่างขึ้นมา...

ทันใดนั้น ศพของ เกาทงหลิน ก็ได้แผ่พลานุภาพสยบฟ้าดินออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น ทั้งแววตาที่ปรากฏ ยังแฝงไว้ด้วยความโชกโชนบางอย่าง ที่ไม่สมควรบังเกิดขึ้นได้ในร่างของชายหนุ่มที่วัยเพียง 20 ปีก่อนจะตาย...

ซุน ถอนหายใจยาวพรืดหนึ่ง พร้อมเอ่ยเนิบนาบขึ้น...

“เฒ่าชีเปลือย... บอกไว้ก่อนนะว่า ข้ายอมให้ท่านวิ่งเล่นได้แค่ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น...”

.............................................

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว