สมรภูมิด้านทิศเหนือ...
หากกล่าวว่าสมรภูมิด้านทิศตะวันตกเป็นไปอย่างสูสี จนยากจะชี้ชัดผลลัพธ์การต่อสู้ในเวลาสั้น ๆ ทว่าด้านทิศเหนือแห่งนี้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนับจากเริ่มต้นการปะทะจนมาถึงยามนี้เพิ่งจะผ่านมาเพียงไม่นาน แต่ความแตกต่างกลับแสดงออกมาอย่างรวดเร็ว...
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงการปะทะมากพอจะทำให้ในลมพายุในละแวกนี้เงียบสงบชั่วคราว เนื่องจากพลังมหาศาลที่แผ่ขยายกลายเป็นเงาร่างเซียนทองคำขนาดใหญ่ มากพอจะผลักขุนเขา สยบพายุ... ความแข็งแกร่งดุดันของ กังจื่อหราน ทำให้สมาชิกพรรคเซียนประทานคนอื่น ๆ ที่ติดตามมาไม่ต้องลำบากลงมือ
กว่าครึ่งของยอดฝีมือกลุ่มมังกรทอง นอนทอดร่างไร้วิญญาณ... ซือปาหลง หนึ่งในแกนนำร่างอ้วนท้วม สำลักโลหิตนับครั้งไม่ถ้วน หน้ากากอสูรขาว แตกละเอียดจนทำให้เผยตัวตนออกมาตั้งแต่แรกแล้ว...
“บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ! ทำไมข้าต้องโชคร้ายเช่นนี้!!” ซือปาหลง ก่นด่าตนเองที่เลือกเส้นทางผิด ทำให้ต้องมาพบเจอสัตว์ประหลาดเฉกเช่น กังจื่อหราน ยอดฝีมือชนชั้นจักรพรรดิ... ซึ่งแท้จริงแล้ว ซือปาหลง ก็ไม่ได้อ่อนแอเลย เป็นถึงชนชั้นราชันย์ระดับสูงสุด ลมปราณสีส้มขั้นที่ 6 แต่เมื่อได้มาประจันหน้ากับ กังจื่อหราน ก็เรียกได้ว่าสิ้นไร้หนทางจะประมือ
ร่างเซียนทองคำขนาดใหญ่ที่เป็นร่างจำแลงนี้ มีพลังอำนาจมากเกินไป เพียงแค่รัศมีที่เรืองรองออกมา ยังมากพอจะทำให้ฝ่ายศัตรูต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง สะท้อนความแข็งแกร่งของ กังจื่อหราน ที่ดุดันห้าวหาญได้เป็นอย่างดี...
อย่างไรเสียภารกิจครั้งนี้ คือการช่วยเหลือ เหยาหมิง ศิษย์พี่ที่ กังจื่อหราน เคารพเลื่อมใสมาโดยตลอดซึ่งทั้งคู่ได้เติบโตมาพร้อมกัน จนเปรียบเสมือนพี่ชายของตนเอง ดังนั้นการลงมือของ กังจื่อหราน จึงไร้ความปราณีใด ๆ กับศัตรู...
ซือปาหลง เดิมทีมีความสามารถในการต่อสู้ในด้านการโจมตีที่ทรงพลัง ร่างอ้วนท้วมที่เห็นเป็นการฝึกฝนทักษะเฉพาะ เปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นคล้ายลูกทรงกลมและกลิ้งกระแทกเข้าใส่ศัตรูด้วยพลังทำลายมหาศาล มีลมปราณคุ้มกั้นยามที่ม้วนกลิ้งที่คมอาวุธก็ไม่อาจทำลายหรือหยุดยั้งได้ ว่ากันว่าเป็นการโจมตีที่สามารถทำลายขุนเขาได้ด้วยซ้ำ...
หากแต่เมื่อเปรียบกับ กังจื่อหราน แล้วมันช่างไร้ค่า... การโจมตีม้วนกลิ้งที่รุนแรง กลับถูกหยุดไว้ด้วยร่างจำแลงเซียนทองคำขนาดใหญ่ อีกทั้งยังถูกโจมตีถลุงอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อไม่อาจหมุนตัวปราณคุ้มกันจึงลดทอนไปมาก จนไม่อาจปกป้องหมัดที่ทรงพลังของ กังจื่อหราน ได้...
ตูม!!
กำปั้นของ กังจื่อหราน ทะลวงร่างที่อ้วนท้วมจนยุบผิดรูป กระดูกซี่โครงแตกหักเกือบทั้งหมด สำลักเอาโลหิตรวมไปถึงเศษอวัยวะภายในบางส่วนเจือปนออกมา... ซือปาหลง ทรุดร่างลงโดยพลัน กระทั่งลมหายใจยังมิอาจสูดเข้าไปได้...
“ขะ...ข้ายอมแพ้แล้ว ไว้ชีวิตด้วย” ซือปาหลง โขกศีรษะคำนับอย่างไม่อาย ไม่มีศักดิ์ศรีใด ๆ หลงเหลือ ขอเพียงให้ตนได้มีชีวิตรอด
กังจื่อหราน ทอดสายตาลงต่ำก่อนจะแค่นเสียงแผ่วเบา...
“เซียนยืนหยัด สวรรค์ล่มจม!!”
ทันใดนั้นดวงตาของร่างจำแลงเซียนประทานที่ด้านหลัง ก็เปล่งแสงวาบออกมา จากร่างเซียนที่คล้ายมนุษย์ยักษ์สีทอง บัดนี้ได้ดึงเอาแขนอีกสองข้างให้ปรากฏเพิ่มขึ้น กลายเป็นเซียนทองคำสี่แขนที่น่าเกรงขาม จากนั้นจึงกดประทับฝ่ามือทั้งสี่ลงมายังร่างที่คุกเข่าคำนับของ ซือปาหลง อย่างไร้ปราณี
ตูม!!
ซือปาหลง กระดูกแหลกละเอียดไปทั้งร่าง บาดเจ็บสาหัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า จวบจนขาดใจตายไปอย่างทุกข์ทรมาน กลายเป็นหนึ่งในแกนนำที่ตายอย่างน่าอนาจไปอีกตน... หลังจากนั้น กังจื่อหราน ก็ลงมือสังหารหมู่กองกำลังส่วนที่เหลือของกลุ่มมังกรทองด้วยความดุดัน ทำเอายอดฝีมือพรรคเซียนประสานที่ติดตามมาด้วย อดไม่ได้ที่จะเผยแววตาศรัทธาเลื่อมใส เนื่องด้วยสมาชิกเหล่านั้นเกือบทั้งหมดเป็นสมาชิกในทวีปพยัคฆ์ขาว จึงไม่เคยเห็นผู้นำพรรคอย่าง กังจื่อหราน ที่ประจำอยู่ในทวีปเต่าทมิฬ แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตามาก่อน...
“พวกเจ้าทั้งหมด ตามไปสบทบ ราชันย์ยาจก ที่สมรภูมิฝั่งทิศตะวันตก... ข้าจะบุกเข้าไปในฐานลับเพียงลำพังล่วงหน้า...” หลังออกคำสั่ง กังจื่อหราน ก็ห้อทะยานตรงไปที่ฐานลับศัตรูในทันที...
“พี่ใหญ่... ข้ามาช่วยท่านแล้ว!!”
…………………………………
ถ้ำซอกหุบเขา ฐานลับกลุ่มมังกรทอง...
เวลานี้กองทัพหุ่นเชิดศพ ใช้จำนวนที่มากกว่าทั้งยังไม่หวั่นเกรงความเจ็บปวดและความตาย พุ่งเข้าเผชิญหน้ายอดฝีมือด้านในของฝ่ายศัตรู... ไอแห่งความตายคละคลุ้งตลบอบอวล แน่นอนว่ากองทัพศพหุ่นเชิดที่พื้นฐานร่างกายไม่แกร่งกล้ามาก ฉะนั้นย่อมถูกทำลายไปไม่น้อย แต่เมื่อแลกมากับชีวิตของศัตรูได้ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะซากศพและวิญญาณเหล่านี้จะถูกเก็บเกี่ยวภายหลัง เพื่อกลายมาเป็นกองทัพศพหุ่นเชิดรุ่นต่อ ๆ ไปตามวัฏจักร...
ลู่เหรินฮ่าว ยืนตระหง่านน่าเกรงขาม แผ่รัศมีจักรพรรดิออกมาอย่างท่วมท้น ไม่ว่ากำลังฝ่ายตนจะสูญเสียมากเท่าใดสีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน ราวกับมิได้เห็นลูกสมุนเหล่านั้นอยู่ในสายตามาตั้งแต่แรกแล้ว... สิ่งที่ ลู่เหรินฮ่าว ไม่อาจละสายตาได้ คือใบหน้าของชายหนุ่มหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยคลื่นพลังที่แปลกประหลาด ซึ่ง ลู่เหรินฮ่าว ไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดอายุเกือบสองร้อยปีที่ท่องยุทธภพ...
“ศพหุ่นเชิดที่ถูกดวงวิญญาณอาฆาตเข้าสิงสถิต ทำให้ควบคุมสามัญสำนึกที่ว่างเปล่างั้นสินะ... ช่างเข้าใจคิดดีนี่ วิธีการนี้แม้เฒ่าวิญญาณจะพยายามศึกษา แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จ... จากเหตุผลที่มีพลังวิญญาณและอาคมไม่กล้าแกร่งมากพอจะทำเช่นนี้...
แต่เจ้ากลับทำมันได้สำเร็จ นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?!” ลู่เหรินฮ่าว เอ่ยถามขึ้น
เฒ่าชีเปลือย หัวเราะเสียงเย็น...
“ข้าก็คือวิญญาณบิดาที่ตายไปแล้วของเจ้า!! ข้ามาเพื่อลากลูกทรพีอย่างเจ้าไปลงนรก!!”
เฒ่าชีเปลือย วาดแขนออกไปตรงหน้า เกิดเป็นตัวอักษรอักขระขนาดเล็ก เรียงร้อยต่อกับราวกับเป็นโซ่ตรวนหลายสิบสาย พุ่งตรงเข้าหา ลู่เหรินฮ่าว เสมือนมีชีวิต...
“บังอาจ!!” ลู่เหรินฮ่าว ไม่แม้แต่จะขยับร่าง เพียงแค่ระเบิดรัศมีลมปราณชนชั้นจักรพรรดิระลอกหนึ่งออกมา โซ่ตรวนอักขระเหล่านั้นก็แตกสลายลงในทันที... ทำเอา เฒ่าชีเปลือย เผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่ง
“ชิ!! พอผนึกตบะส่วนใหญ่ไปแล้ว เวทย์คาถาก็ลดอำนาจลงไปด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้า จะต้องมาถูกสะกดข่ม เพียงเพราะพบเจอคู่ต่อสู้ระดับชนชั้นลมปราณสีส้ม ช่างตกต่ำจนน่าโมโหจริง ๆ เว้ย!!”
เฒ่าชีเปลือยสบถออกมาใบหน้าฉุนเฉียว แต่เมื่อรู้ว่าไม่อาจใช้ตบะพลังวิญญาณของตนในเวลาเล่นงานอีกฝ่ายตรง ๆ ได้แล้ว ก็หันมองไปรอบ ๆ เพื่อพิจารณาสมรภูมิและปัจจัยอื่น ๆ ไม่นานหลักจากมองเห็นซากศพ และดวงวิญญาณของเหล่าศัตรูที่ตาย รอยยิ้มน่าสะพรึงก็ถูกประดับขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง...
ลู่เหรินฮ่าว เองก็รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนเองต้องมัวหมองเช่นกัน ที่ต้องมาเผชิญหน้ากับศพหลอมชั้นต่ำเช่นนี้ แม้จะไม่แน่ชัดว่าดวงวิญญาณใดสิงสถิต แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยอดฝีมือจากแห่งหนใด ก็เชื่อว่าคงไม่เหนือไปกว่า เทพปรมาจารย์ อย่างตนเอง...
“หากเจ้าเก่งอย่างปากว่าจริง ๆ คงไม่ตกตายกลายเป็นผี มาสิงสู่ศพเช่นนี้!!” ลู่เหรินฮ่าว สะบัดมือครั้งหนึ่ง มีดบินจำแลงที่ถูกสร้างจากลมปราณก็พวยพุ่งออกไปสามสาย ฉวัดเฉวียนกรีดผ่าชั้นบรรยากาศ ถึงจะเป็นท่วงท่าที่ดูสามัญเช่นนี้ แต่ยอดฝีมือทั่วยุทธภพ กลับไม่อาจต่อต้านได้!!
“มีดบินแยกนภา”
กระบวนท่าที่ถูกปล่อยออกมานี้ มากพอจะทำลายร่างศพหลอมระดับ 3 ให้แหลกเป็นธุลี ถึงแม้มันจะไม่มากพอในการทำลายดวงวิญญาณของ เฒ่าชีเปลือย แต่หากเป็นดวงวิญญาณอื่น ๆ ถูกมีดบินจำแลงทั้งสามเล่มนี้เข้าเล่นงาน ก็มากพอจะทำลายดวงวิญญาณให้ดับสูญ...
ศพหุ่นเชิดตนอื่น ๆ สัมผัสได้ถึงวิกฤตรุนแรง จึงพากันหลีกหนี... หากแต่ เฒ่าชีเปลือย กลับแสดงสีหน้าไม่ยี่หระ ขับขานเวทย์อาคมที่ยกระดับขึ้นอีกขั้น ซึ่งการใช้เวทย์อาคมเหล่านี้ แม้ว่า เฒ่าชีเปลือย จะมีตบะพลังวิญญาณไม่เพียงพอ แต่ก็ได้ใช้ดวงวิญญาณของศัตรูที่เก็บเกี่ยวมาก่อนหน้านี้ ทำการดูดกลืนและย่อยสลายดวงวิญญาณนั้น เพื่อใช้ทดแทนตบะในส่วนที่ตนขาดพร่องไป...
เฒ่าชีเปลือย ยื่นมือขวาออกไปเบื้องหน้า เหยียดนิ้วทั้งห้าให้กางออก แผ่รัศมีแห่งตบะเพิ่มขึ้นหลายเท่าในชั่วครู่ขณะ ดวงตาสาดประกายพลังอำนาจที่ไม่มีปรากฏในยุทธภพ เนื่องด้วยมันเป็นศาสตร์เวทย์อาคมจากสุริยะแห่งอื่น...
“มหาเวทย์ห้วงมิติ... ประตูแห่งความว่างเปล่า!!”
พริบตาที่มหาเวทย์ถูกเปิดใช้ ก็บังเกิดประตูมิติที่พร่าเลือนผุดขึ้นมาในความว่างเปล่าเบื้องหน้า ดูดกลืนมีดบินแยกนภาทั้งสามเล่ม ให้หายไปในความว่างเปล่าอย่างน่าอัศจรรย์... ทักษะเช่นนี้ไม่ควรเรียกขานว่าเป็นวรยุทธด้วยซ้ำไป เพราะมันเป็นพลังที่ฉีกกฎเกณฑ์แห่งสามัญสำนักไปเกือบจะสมบูรณ์...
ลู่เหรินฮ่าว เผยแววตาแห่งความไม่อยากจะเชื่อออกมา พลังของตนที่ถูกปลดปล่อยออกไป เลือนหายเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ โดยไร้ซึ่งคำอธิบาย “กะ...เกิดอะไรขึ้น?!”
และในชั่วอึดใจต่อมา สายตาของเฒ่าชีเปลือยก็แปรเปลี่ยนไป พร้อมกำมือขวาที่ยื่นออกมาก่อนหน้านี้จนแนบแน่น... ความว่างเปล่าข้างกายของ ลู่เหรินฮ่าว ก็เกิดการบิดเบือนอีกครั้ง จากนั้นมีดบินแยกนภาที่หายไปก่อนหน้านี้ ก็ได้โผล่ออกมาจากความบิดเบือนนั้น ย้อนกลับไปหา ลู่เหรินฮ่าว ในระยะประชิด...
ใบหน้าของ ลู่เหรินฮ่าว ขาวซีดในทันที
“บัดซบ!! นี่มันวิชามารอันใดกัน!!”
มีดบินเหล่านั้น ประหนึ่งว่าถูกตัดขาดการควบคุมไปอย่างสมบูรณ์แล้ว พวยพุ่งเป็นรัศมีที่ตรงดิ่งไม่อาจหักเหได้อีก... จึงทำให้ ลู่เหรินฮ่าว ที่ยังเต็มไปด้วยความสับสบ จำเป็นต้องรีดเค้นปราณคุ้มกันของตนเองออกมา เพื่อป้องกันกระบวนท่าที่ตนเองปล่อยออกไป...
เฒ่าชีเปลือย แสยะยิ้มอีกครั้ง จากนั้นก็สลายดวงวิญญาณเพิ่มอีกหนึ่งดวงเพื่อดูดกลืน แปรเปลี่ยนให้เป็นตบะพลังวิญญาณ ขับขานเวทย์อาคมเพิ่มขึ้นอีกขั้น...
“มหาเวทย์ดารา... ดวงดาวไร้ลมปราณ!!”
ทันทีที่มหาเวทย์ถูกใช้ออกไป ปราณคุ้มกันของ ลู่เหรินฮ่าว ก็พลันสลายไปทั้งหมด!! ราวกับชั้นบรรยากาศโดยรอบ กลายเป็นพื้นที่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของลมปราณทั้งหมด... แน่นอนว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือชนชั้นจักรพรรดิ แต่หากไม่อาจขับขานปราณคุ้มกันออกมาได้ จะต่างอะไรกับการสวมชุดเกราะที่ชำรุด!!
ลู่เหรินฮ่าว ถึงกับใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ แต่เพราะคุ้นชินกับทิศทางการเคลื่อนไหวของ มีดบินที่ตนปล่อยออกไป นั่นจึงทำให้เสี้ยวอึดใจสุดท้ายก่อนที่มีดบินแยกนภาจะเข้าถึง ชายชราก็ได้สะบัดร่างหมุนกายอย่างรวดเร็วกลางอากาศ ใช้การหลบเลี่ยงแทนการป้องกัน แต่ก็ทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ถากผิวหนังสามตำแหน่ง โลหิตสาดกระเซ็นออกมาทันที...
เฒ่าชีเปลือย เบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์...
“ชิ!! ดันพลาดไปเสียได้... ใช้วิญญาณไปตั้งสองดวง ยามนี้เหลืออีกแค่ไม่กี่ดวงเสียด้วยสิ...”
ลู่เหรินฮ่าว ถึงกับหายใจหอบหนัก สัมผัสได้ถึงวิกฤตในชั่วพริบตาเมื่อครู่ เหงื่อเย็น ๆ ถึงกับอาบไหลที่ขมับ ไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกเช่นนี้มาหลายสิบปีแล้ว... ชายชราหันมองอีกฝ่ายด้วยสายที่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่ยากจะคาดเดาตนหนึ่ง...
“นะ...นี่มันอะไรกัน!! เจ้านี่เป็นดวงวิญญาณของผู้ใดกันแน่!!”
เฒ่าชีเปลือย ไม่คิดจะเป็นฝ่ายที่ตั้งรับอีกแล้ว ตะบึงห้อทะยานพร้อมสายตาเด็ดเดี่ยวหมายมั่นที่จะเป็นฝ่ายบุกเองบ้าง!! ทำการสลายดวงวิญญาณเพื่อดูดกลืนไปอีกหนึ่งตน ขับขานมหาเวทย์ที่ทำให้ถ้ำแห่งนี้สะท้านสะเทือน...
“เจ้าลูกทรพี!! จะต้องให้บิดากล่าวอีกกี่ครั้ง... ข้าปีนป่ายขึ้นมาจากขุมนรก ก็เพื่อพาเจ้ากลับไป!!”
…………………………….
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว