อสูรข้ามฟ้า-ตอนที่ 279 ตราพันธะ (2)

โดย  JPTstory

อสูรข้ามฟ้า

ตอนที่ 279 ตราพันธะ (2)

ณ กิจการสาขาพรรคมังกรฟ้า...


“อะไรนะ!! จะไปที่เขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี?!” ผู้จัดการสาขา ลุกพรวดทันทีเมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เข้ามารายงายเจตนารมณ์ของลูกค้า แน่นอนว่าการไปยังเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี ต่อให้เป็นทางกิจการสาขาพรรคมังกรฟ้า ก็ไม่อาจปล่อยให้คนเดินทางไปที่นั่นได้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า จำเป็นต้องตรวจสอบที่มาอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนถึงระดับที่ผู้จัดการสาขายังต้องกุมขมับทุกครั้ง และไม่ค่อยอยากจะให้บริการในส่วนนี้


ผู้จัดการสาขา ถอนหายใจยาว จำเป็นต้องออกหน้าด้วยตนเองทันที... ทว่าเมื่อก้าวออกมาจากเรือนด้านหลัง และมองเห็น เล้งซุน ที่เผยรอยยิ้มให้ตนน้อย ๆ ก็พลันผงะหน้าเปลี่ยนสีในพริบตา “มะ...แมวสวรรค์ ไม่สิ! คะ...คุณชายเล้งซุน”


เล้งซุน เดินเข้ามาหาผู้จัดการสาขาราวกับคนที่มากด้วยความสนิทสนมกัน แต่น่าแปลกที่ใบหน้าของผู้จัดการสาขาได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก... กิตติศัพท์ของ เล้งซุน ค่อนข้างที่จะโด่งดังในหมู่ผู้จัดการสาขาด้วยกัน


เนื่องด้วยบางครั้งก็พาผู้อื่นไปส่งยังที่ต่าง ๆ โดยอาศัยป้ายทองผู้นำพรรค หากแต่ตนกลับแอบเก็บค่าเดินทางเอาไว้เอง หรือบางครั้งก็ยังเอ่ยปากหยิบยืมเงินจากทางสาขาตรง ๆ ทว่าก็ไม่เคยหวนกลับมาใช้คืนเลยสักครั้งเดียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้จัดการสาขาคนใดกล้าที่จะปฏิเสธ หรือแม้แต่เอ่ยปากทวงเงินกับชายหนุ่มผู้นี้ เพราะนอกจากจะไม่ได้คืนแล้ว ดีไม่ดียังถูกขอยืมมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ...


“ท่านผู้อาวุโสฉู่... ข้าอยากจะไปที่เขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี พร้อมกับสองสหายของข้า ช่วยจัดการให้ข้าทีได้หรือไม่?!” เล้งซุน เอ่ยพลางยิ้มร่า...


ผู้จัดการสาขา หางคิ้วพลันกระตุก เผยใบหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันที “เอ่อ... คุณชายเล้งซุน ขอบอกตามตรงว่าเรื่องนี้มันเกินกว่าดุลพินิจและอำนาจของข้า การจะเปิดประตูพาคนเข้าไปยังเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี มีขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยาก ท่านต้องยอมเปิดเผยประวัติของท่านและสหายอย่างละเอียด ก่อนที่ทางเราจะต้องส่งประวัติเหล่านั้นไปให้ทางสมาพันธ์แห่งท้องทะเลได้ทำการประเมิน แล้วต้องรอให้ฝ่ายนั้นตอบรับกลับมาเสียก่อนจึงจะสามารถเดินทางเข้าไปได้


ขั้นตอนทุกสิ่งอย่างนี้ ใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดคือเจ็ดวัน! อย่างที่ทราบกันดีว่าเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีเป็นดังเขตหวงห้ามสำหรับคนในยุทธภพ ดังนั้นจู่ ๆ ท่านจะเดินเข้ามาและขอเข้าไปยังเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีเลยเช่นนี้ ย่อมไม่อาจที่จะทำได้ มันอยู่นอกเหนืออำนาจของข้าน้อยแล้ว...”น้ำเสียงของผู้จัดการสาขา มากไปด้วยความลำบากใจที่สามชายหนุ่มล้วนสัมผัสได้


เล้งซุน ขมวดคิ้วฉับลง จริงอยู่ที่การรออีกเจ็ดวัน หรือการส่งประวัติเข้าไปนั้น ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับตัวเขาและ กังเฉิง... แต่นั่นกลับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับ เล้งหยุนฟง ผู้ที่ถูกตระกูลเล้งขับไล่และตัดขาดจากตระกูลไปแล้ว ดังนั้นต่อให้มีป้ายรับรองที่ เล้งหยางอี้ เคยได้มอบให้ ทว่าทางสมาพันธ์ก็คงเลือกที่จะปฏิเสธการเดินทางเข้าไปของ เล้งหยุนฟง ก่อนจะมีโอกาสได้แสดงป้ายเสียอีก


ทั้งหมดเพื่อตัดปัญหาและโอกาส ที่จะมีความขัดแย้งกับทางตระกูลเล้งโดยไม่จำเป็น... เพราะอย่างไรเสียสมาพันธ์แห่งท้องทะเลและทางตระกูลเล้ง ก็กล่าวได้ว่าเป็นขุมกำลังที่แบ่งแยกกันดูแลคนละส่วน หากแต่อาศัยอยู่รวมกันที่เขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีเท่านั้น...


โอกาสเดียวของ เล้งซุน จึงมีเพียงแค่ต้องไปให้ถึงที่นั่นให้ได้ก่อน และหลังจากนั้นค่อยไปแก้ไขปัญหาเอาดาบหน้า!! ซึ่งเขาก็พอจะมองออกว่าการเจรจาด้วยวิธีปกติ ผู้จัดการสาขาคงไม่คิดที่จะยินยอมให้เขาและพรรคพวกเดินทางไปเป็นแน่... เล้งซุน จึงกวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นว่ากิจการสาขาในเวลานี้ มากไปด้วยผู้คนใช้บริการอย่างคับคั่ง จึงเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ออกมา


“ท่านผู้อาวุโสฉู่... จะว่าไปช่วงนี้ผู้คนก็เดินทางกันค่อนข้างหนาตา ดูท่าผลกำไรที่ได้คงมีเป็นกอบเป็นกำเลยงั้นสินะ หากท่านไม่ให้ข้าใช้ประตูมิติเคลื่อนย้ายเดินทางไปเสียตอนนี้ เกรงว่าข้าก็คงต้องลำบากใจที่จะกล่าวขอหยิบยืมเงินจากสาขาของท่าน สัก 2-3,000 ล้านเหรียญทอง เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปประกอบเรือ และออกเดินทางไปเข้าทางประตูหน้าของโดมยักษ์”


ผู้จัดการสาขาพอได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็เริ่มกระตุกขึ้นมา แอบคิดใจในว่า 2-3,000 ล้าน มากพอจะประกอบเรือได้เป็นกองทัพเลยด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าตนกำลังถูกกดดันอย่างจงใจ... จึงเผยสีหน้าคิดหนักทันที


“อ่อจริงสิ! แค่เงินทุนอย่างเดียวอาจไม่พอ เกรงว่าจะต้องขอยืมคนของสาขาท่านไปอีกสักสิบคนเพื่อช่วยกันประกอบเรือ ยังไงสาขาของท่านก็มีคนตั้งหลายคนนี่นะ ยืมไปสักพักก็คงไม่มากมายอะไร...”


ยิ่งพอได้ยินเช่นนั้น ผู้จัดการสาขาก็ถึงกับเหงื่อแตกซิกหน้าเปลี่ยนสี หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับขมับแทบไม่ทัน เพราะเจ้าหน้าที่ในเวลานี้ก็แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนหรือผลัดเวรกันได้แล้ว หากถูกดึงไปอีกเกรงว่าคงลำบากไปอีกหลายเท่า ครั้นจะปฏิเสธผู้ถือป้ายทองผู้นำพรรคมังกรฟ้าอย่าง เล้งซุน ก็มิอาจทำได้...


“อ่อ... แค่เงินทุน และกำลังคนดูเหมือนจะไม่พอ อาจจะต้องขอยืมพื้นที่บางส่วนของสาขานี้ ในการวางรากฐานของเรือด้วย! เพราะข้าเองก็ไม่รู้จักกับใครที่ไหนอีก จะไปขอหยิบยืมสถานที่ของผู้อื่น ข้านั้นก็มากไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ...”


ผู้จัดการสาขาพอได้ยินเช่นนั้น เขาก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ อีกฝ่ายมากไปด้วยความเกรงใจต่อผู้อื่น หากแต่จิตใจช่างโหดเหี้ยมกับตนยิ่งนัก!! หลังจากยืนตัวสั่นลังเลอยู่อีกสักระยะ ทว่าพอเห็น เล้งซุน ตั้งท่าจะเปิดปากขึ้นมาอีกครั้ง ก็พลันรีบยกมือห้ามปรามไว้ทันที...


“ตะ...ตกลง! ข้าจะส่งพวกท่านไปที่เขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีตอนนี้เลย!! แต่บอกไว้ก่อนนะว่าข้าจะไม่ขอรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น หากว่าพวกท่านไปถึงที่นั่นแล้วแต่ทางสมาพันธ์แห่งท้องทะเลไม่อนุญาตให้ท่านอยู่บนเกาะ... ดีไม่ดีอาจจะถูกไล่ตะเพิดส่งตัวกลับมาทันที หรือแย่กว่านั้นพวกท่านอาจจะถูกขังคุกเพื่อสอบสวนอย่างหนักหน่วง


รู้แบบนี้แล้วยังกล้าที่จะไปกันอีกหรือไม่!!”


เล้งซุน ยิ้มร่าอย่างคนไม่ทุกข์ไม่ร้อน ประสานมือขึ้นอย่างสุภาพ “รบกวนด้วย... ท่านผู้อาวุโสฉู่ ท่านช่างมากไปด้วยน้ำใจสูงล้ำจริง ๆ”


ชายหนุ่มหันไปกวักมือเรียกสหายทั้งสอง ด้วยใบหน้าที่ชื่นบาน... เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ทำได้แต่เพียงหัวเราะแห้ง ๆ ใบหน้าของทั้งสองคนนั้นหดแคบลงไปมาก... เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะแค่ติดตามมายืนนิ่งเฉยโดยไม่กล่าวอะไร ยังรู้สึกเกรงอกเกรงใจผู้จัดการสาขาในยามนี้อย่างถึงที่สุด... ทั้งยังรู้สึกว่า เล้งซุน ช่างเป็นคนที่หน้าหนาหน้าทนยิ่งนัก สามารถกดดันผู้อื่นประหนึ่งแล่เนื้อเถือหนัง ได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว...


การใช้ประตูเคลื่อนย้ายไปยังเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี ค่อนข้างที่จะพิเศษกว่าการไปยังทวีปอื่น ๆ อยู่มาก เพราะว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ของกิจการสาขาพรรคมังกรฟ้า ประจำการอยู่ที่แห่งนั้น มีเพียงทหารหาญของสมาพันธ์แห่งท้องทะเล รับหน้าที่ดูแลประตูมิติเคลื่อนย้ายทั้งหมดตามข้อตกลงระหว่างขุมกำลัง...


ทั้งการเดินทางไปที่นั่น ก็ยังใช้พลังงานสำหรับเปิดประตูมิติในปริมาณมหาศาลด้วยเช่นเดียวกัน จากเหตุผลที่ต้องฝ่าความปรวนแปรของพื้นที่พิเศษทะลวงเข้าไป ผู้จัดการสาขาจึงขอเวลาอีกหนึ่งชั่วยามในการจัดเตรียม...


ระหว่างเฝ้ารอนั้น เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง มองเห็นว่า เล้งซุน เต็มไปด้วยความนิ่งขรึมสายตาก็มากไปด้วยความเลื่อนลอย ออกอาการไม่สบายใจครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด... นั่นจึงทำให้สหายทั้งสองคลายใจลงไปมาก พอจะมองออกว่า เล้งซุน เองก็คงจะเสียใจที่บีบคั้นผู้จัดการสาขามากถึงเพียงนั้น...


กังเฉิง ตบไหล่เบา ๆ “อย่าคิดมากเลย มันถือเป็นความจำเป็นที่มิอาจหลีกเลี่ยง...”


เล้งซุน พอได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ยิ่งย้ำแย่ลงอีกระดับ พยักหน้าตอบรับเบา ๆ กังเฉิง ยังมองเห็นมือของ เล้งซุน ที่กำแนบแน่นและสั่นไหว กิริยาชัดเจนว่ามากไปด้วยความเจ็บปวดใจ และเพียงไม่นาน เล้งซุน ก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความปลดปลง...


“นั่นสินะ หากจะไม่ให้พวกเราแบกรับความเสี่ยงเลยมันก็คงไม่ได้ เพราะว่านี่คือการฝึกฝนอย่างหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยัง... รู้สึกเจ็บใจอยู่ดีที่ อาเมนดูเอล ไม่อาจติดตามมาคุ้มกันพวกเราได้ มิเช่นนั้นข้าก็คงสามารถเดินกร่างในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี ได้อย่างอิสระไปแล้ว...”


กังเฉิง พอได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าเหยเกโดยพลัน แม้แต่ เล้งหยุนฟง ก็ยังต้องสำลักลมหายใจจนใบหน้าบิดเบี้ยว “นะ...นี่เจ้า!! มิได้รู้สึกผิดเรื่องที่กดดันผู้จัดการสาขามากเกินไปหรอกหรือ?!”


เล้งซุน เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคน ตาปริบ ๆ เนตรใสแจ๋ว แม่มริมฝีปากจนเป็นเส้นด้วยความงุนงง... “พูดเรื่องอะไรของพวกเจ้า?! ข้าแค่เจ็บใจที่ อาเมนดูเอล มันยังต้องอยู่ถอนคำสาปจนไม่ได้ติดตามมา... มิเช่นนั้นข้าคงตะเวนไล่เก็บเกี่ยวทรัพยากรในสงคราม ได้อย่างไม่ต้องไว้หน้าผู้ใดและเผ่าพันธุ์ใดไปแล้ว...”


กังเฉิง และ เล้งหยุนฟง หันมองหน้ากันพลางกุมขมับ ชัดเจนว่าพวกเขาประเมินความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของ เล้งซุน ผิดไปเสียถนัดเลย... จากนั้นคนทั้งสามก็เริ่มหารือพูดคุยกันอย่างจริงจัง เพื่อนัดแนะสิ่งที่ต้องทำหลังจากเดินทางไปถึงที่นั้น อย่างน้อยก็ต้องหาวิธีทำให้ไม่ต้องถูกส่งตัวกลับมาในทันที...


เล้งหยุนฟง แม้จะเคยอยู่ที่เขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีมาก่อน หากแต่เขาก็ก้าวออกจากตระกูลเล้งมาตั้งแต่อายุเพียงแค่ 12 ปี ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปกว่า 9 ปีแล้ว ที่เขาไม่เคยได้กลับมาเหยียบเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี ทำให้ข้อมูลที่สามารถอธิบายอ้างอิงได้ จึงค่อนข้างมีจำกัด...


เล้งซุน หลังจากขบคิดวางแผนสักระยะ ก็เผยรอยยิ้มมืดดำออกมาในทันที... และเมื่อเขาได้บอกแผนการทั้งหมดออกมา ก็ทำเอาสองสหายอ้าปากค้างไปพร้อมกัน เล้งหยุนฟง ยังถึงกับสูดลมหายใจถี่กระชั้นดังเฮือก ๆ


“จะ...เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ว่าจะเอาเช่นนี้?!”


เล้งซุน หัวเราะเสียงดัง หึหึ ในลำคอ...

“เอาน่า... ก็ยังดีกว่าถูกส่งตัวกลับทันทีนั่นแหละ!”


สุดท้ายสหายทั้งสอง ก็ได้แต่จนตรอกไม่อาจขบคิดวิธีการที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว จึงหมายวัดใจกับแผนการของ เล้งซุน เพียงอย่างเดียวด้วยสีหน้ากึ่งกลัวกึ่งกล้า... ไม่นานจากนั้น ผู้จัดการสาขาก็ให้สัญญาณพร้อมแล้ว สำหรับการเคลื่อนย้ายนำส่งไปยังมหาสมุทรกิเลนอัสนี


และแน่นอนว่า ผู้จัดการสาขา ก็ไม่ได้แจ้งไปยังปลายทาง!! เพราะเกรงว่าตนเองนั้นจะถูกตำหนิกลับมา จึงหมายมั่นปล่อยให้ เล้งซุน ไปเผชิญด่านหน้ากองทหารหาญในมหาสมุทรกิเลนอัสนีเพื่อหาทางแก้ต่างเอาเอง ถือเป็นการแก้เผ็ดเอาคืนไปในตัว...


การนำของห้วงมิติในการเข้าไปในเขตพิเศษนี้ มากไปด้วยความรุนแรงของการสะท้อน วินาทีที่หายเข้าไปในห้วงมิติเคลื่อนย้าย ชายหนุ่มทั้งสามคนรู้สึกราวกับร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทั้งยังรับสัมผัสได้ถึงคลื่นอัสนีแห่งการตรวจสอบระลอกหนึ่งที่ไหลผ่านร่างในชั่วขณะ ก่อนที่ความพร่าเลือนของมิติสีดำรอบด้านจะสว่างเจิดจ้าขึ้น และปรากฏตัวอีกครั้งยังสถานที่ซึ่งแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้...


ทว่าในเวลานั้น... เล้งซุน เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ที่ลืมตาขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ก็ต้องพบกับภาพเหตุการณ์ที่ทวนยาวหลายสิบเล่มชี้ตรงมายังร่างของพวกเขาทั้งสามคนที่ยืนหลังชนกันจนเป็นก้อนเดียว มีทหารหาญจำนวนมากยืนโอบล้อมพวกเขาในทุกทิศทาง ทั้งยังมากไปด้วยปราณดุร้ายและสายตาดุดันจ้องเขม็งมอง...


“พวกเจ้าเป็นใคร!! เหตุใดสมาพันฯ จึงไม่ได้รับการติดต่อเข้ามา ก่อนพวกเจ้าจะเคลื่อนย้ายผ่านประตูมิติมายังที่นี่... ชัดเจนว่าพวกเจ้าอยู่ในสถานะที่ลักลอบเข้ามาในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีอย่างนั้นสินะ!!”


เสียงคำรามของชายร่างกำยำผู้หนึ่ง สวมเกราะของทหารหาญมองดูแล้วเสมือนเป็นผู้นำนายกองสักตำแหน่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารหลายสิบคนรอบด้าน ที่กำชี้ปลายทวนห่างจากพวกของ เล้งซุน สามคนไม่ถึงหนึ่งคืบ...


เล้งซุน นิ่งค้างไปเช่นกัน เพราะมันค่อนข้างที่จะกะทันหันมากเกินไปหน่อย จึงเอียงคอไปทาง เล้งหยุนฟง เล็กน้อย เพื่อสอบถามให้แน่ชัดในสถานการณ์... “สหายเล้ง นี่พวกเราเข้ามาอยู่ในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีแล้วใช่หรือไม่?! บรรยากาศรอบด้านมันไม่ค่อยแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เท่าไหร่ จึงอยากถามให้แน่ชัด...”


เล้งหยุนฟง หันมองเหล่าทหารหาญรอบด้าน ก็พลันพยักหน้าเบา ๆ “ใช่แล้ว... เครื่องแบบของทหารหาญเหล่านี้ คือเครื่องแบบของสมาพันธ์แห่งท้องทะเล ที่จะสวมใส่เฉพาะกองทหารที่ประจำการอยู่ภายในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีเท่านั้น เป็นเครื่องแบบเช่นเดียวกับเมื่อ 9 ปีก่อน ดังนั้นข้าย่อมจดจำได้ดี...”


เล้งซุน มาได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็ฉายประกายเจิดจรัสขึ้นในชั่วพริบตา ก่อนที่จะแสยะยิ้มออกมาท่ามกลางคมหอกปลายทวน เขายกมือขวาขึ้นช้า ๆ ก่อน ท่อนแขนบนตั้งฉากกับลำตัว ท่อนแขนล่างทำมุมได้องศา ยืดอกตั้งหน้าเชิดตรง มือขวาทำวันทยหัตถ์!


“ขออภัยที่พวกเราเดินทางมาด้วยความเร่งร้อน จึงมิได้แจ้งเข้ามาก่อนล่วงหน้า ได้ยินว่าที่เขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี กำลังขาดแคลนกำลังทหารสำหรับการรบ ดังนั้นพวกเราสามคนจึงมาเพื่อ ‘เกณฑ์ทหาร’ ขอรับ!!”


เสียงของ เล้งซุน แน่นหนักดวงตาฉายแววคมกล้า มากไปด้วยความมุ่งมั่น... ทำเอาเหล่าทหารหาญทั้งหมดรอบด้านถึงกับอึ้งค้างไป แม้แต่ผู้นำนายกองร่างกำยำ ก็ยังดวงตาเบิกกว้างมากไปด้วยความตกตะลึง


เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง หัวเราะแห้ง ๆ

ก่อนจะแสดงท่าทีเลียนแบบ เล้งซุน...


....................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว