ซุน ลงไปนอนกับพื้นด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นชัยชนะที่ได้มาด้วยความยากลำบาก หากแต่มันก็คือความก้าวหน้าและการพัฒนาอย่างหนึ่ง... การใช้อาคมผสานลมปราณนั้นทำได้หลายรูปแบบ ซุน ได้ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนมาอย่างต่อเนื่อง และการทรงร่างดวงวิญญาณจำนวนมากในคราเดียวก็ถือเป็นหนึ่งในทักษะลับที่อันตราย และทรงพลังมาก เขาเองก็ยังไม่อาจทำได้อย่างสมบูรณ์
“ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยมองเสียมไม้เป็นอาวุธเพื่อใช้งานอย่างจริงจัง เพราะรู้สึกว่ามันน่ากลัวเกินไป ทั้งยังมีโอกาสที่คนอื่นจะรู้เรื่องที่เราครอบครองมรดกวัตถุสีรุ้งอีกด้วย ตัวเราไม่มีคนให้คำปรึกษาจึงเกรงว่าพลังของเสียมไม้จะย้อมกลับมาเล่นงานตนเอง...
แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับ เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ทำให้รู้ว่าทั้งสองได้รับการชี้แนะ จากหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่มีภูมิความรู้กว้างขวางที่สุดในยุทธภพอย่างผู้อำนวยการ เนี่ยคุน ในการใช้งานมรดกวัตถุสีรุ้ง สองคนนั้นช่วยชี้แนะเราอีกทอดหนึ่งตอนที่มอบ เขี้ยวหมูตัน มาให้
นั่นจึงทำให้เราเข้าใจในการดึงพลังของเสียมไม้ออกมาได้มากกว่าก่อนหน้านี้ สามารถเข้าถึงพลังพฤกษาที่แอบซ่อนอยู่ของเจ้านี่ได้... จนแล้วจนรอดไม่แน่ว่าเสียมไม้นี้ อาจจะกลายเป็นศาสตราประจำกายที่สมบูรณ์ให้กับเราในอนาคตก็เป็นได้...” ซุน เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกเสียมไม้ขึ้นมาเชยชม ด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าครั้งอดีต
หลังจากเสียมไม้กลับคืนสภาพเป็นรัดเกล้า ซุน ก็ไหว้วานให้ โม่เหยา และเหล่าทหารเงา ช่วยกันเก็บรวมรวบซากศพยอดฝีมือทั้งหมดมาให้เขา อีกทั้งยังให้ จูเยี่ย รวบรวมอณูวิญญาณที่กระจัดกระจายให้มารวมกันทั้งหมด เรียกได้ว่าค่าตอบแทนที่ได้รับจากการลงมือนั้นสูงล้ำเป็นอย่างมาก
ซุน กระดกสุราฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะรีบปรับลมปราณฟื้นฟูให้กลับคืนมาโดยเร็ว... สายตาของ ซุน ทอดมองไปยังทิศทางของเหล่าสหายทั้งสามคนที่หนีไป ก่อนที่บนท้องฟ้าจากที่ไกล ๆ จะปรากฏเส้นแสงสีม่วงที่วาบผ่านดุจดังแสงดาวตก
ดวงตาของ ซุน เบิกกว้างทันที เพราะเขานั้นเคยพบเห็นลักษณะของเส้นแสงเช่นนี้มาแล้ว ในช่วงก่อนที่จะมาถึงยังสถาบันเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์... “แสงนั่น! มังกรเกล็ดสีม่วงของ เล้งหมิงเช่อ งั้นหรือ!!”
เส้นแสงดังกล่าวมิได้ตรงมายัง ซุน หากแต่มุ่งไปยังทิศทางของประตูฝั่งทิศใต้ใกล้กับม่านพลัง ซึ่งชัดเจนมากว่าเป็นการมุ่งหน้าไปยังกลุ่มของ เล้งหยุนฟง... ซุน แผ่ซ่านความเดือดดาลออกมาในทันที กัดฟันแน่นขึ้นอย่างอดไม่ได้
จากนั้น ซุน ก็เรียกเอาอสรพิษน้อยเฟยเสอ ออกมา...
“เฟยเสอ... ช่วยพาข้าแอบเข้าไปที่ใต้ทะเลสาบ”
อสรพิษน้อยผงกศีรษะตอบรับ ก่อนที่จะใช้ปลายหางรัดพันไปยังร่างของ ซุน และพุ่งดำดิ่งลงไปในทะเลสาบแห่งนี้ ความเร็วนั้นสูงล้ำเกินจะกล่าว สัญชาตญาณของอสรพิษทะเลและจิตวิญญาณแห่งนาคราชที่แฝงเร้น ระเบิดออกมาอย่างท่วมท้น
ซุน เองก็ใช้โอกาสนี้รีบพื้นฟูพลังด้วยความเร่งด่วน...
............................................................
กลุ่มคนทั้งสามห้อทะยานมาบนผิวน้ำผ่านมากว่าครึ่งทางของทะเลสาบแล้ว จนมองเห็นม่านพลังสีดำและประตูทิศใต้อยู่รำไร ยามที่รู้ว่าศัตรูคือ เล้งหมิงเช่อ ทั้งตัวของ เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ก็เผยความเคร่งขรึมจริงจังออกมา...
และแล้วแสงสีม่วงก็ได้ตัดผ่านท้องฟ้ามาจากที่ห่างไกล... จิตสังหารที่รุนแรงจนแทบจะย้อมแผ่นฟ้า ทำเอาคนทั้งสามถึงกับหนังศีรษะด้านชาขึ้นมา ก่อนจะมองเห็นลำแสงของเปลวเพลิงสีฟ้าที่บีบอัดพวยพุ่งตรงมาเป็นเส้นยาว อำนาจทำลายล้างเทียบเคียงอุกกาบาต...
เล้งหยุนฟง ระเบิดพลังแห่งศาสตรา ปกคลุมเรือนกายด้วยภูษาเหล็กไหลนิลกาฬทันที ก่อนจะพุ่งเข้าไปรับเอาลำแสงเปลวเพลิงเส้นนั้น โดยใช้เปลวเพลิงต้านเปลวเพลิง... การปะทะครั้งนี้มากพอจะก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้อง เศษเสี้ยวเปลวเพลิงสีฟ้าครามกระจัดกระจายออกไปบนผิวน้ำของทะเลสาบ ด้วยความร้อนแรงของมันแม้กระทั่งน้ำของทะเลสาบยังมิอาจดับความร้อนเหล่านี้ได้ กลายเป็นเปลวเพลิงที่อาบย้อมไปบนผิวน้ำ หมอกควันคละคลุ้งออกมาไม่ขาดระยะ
ดวงตาข้างหนึ่งของ เล้งหมิงเช่อ ปวดตุบ ๆ ขึ้นมาในทันที เมื่อมองเห็นเงาร่างของน้องชายผู้ที่เคยพรากเอาดวงตาข้างนี้ของตนไป ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดน่าสังเวชในตอนที่ต้องพ่ายแพ้ในมิติแห่งป่าวงกต ได้ย้อนกลับมาทิ่มแทงจิตใจของเขาอีกครั้ง
“เล้ง... หยุน... ฟง!!” เสียงคำรามที่แผดดังเน้นย้ำทีละคำนี้ เขย่าคลอนชั้นบรรยากาศโดยรอบทั้งหมด ไอดุร้ายป่าเถื่อนที่ไร้ขอบเขตแผ่ขยายออกมาไม่หยุดหย่อน
ก่อนที่ เล้งหมิงเช่อ จะควบคุมมังกรเกล็ดสีม่วง พุ่งดิ่งลงมายังด้านล่าง เสียงคำรามของมังกรระดับสูงตนนี้ ยังราวกับมีสายฟ้าสีม่วงที่กระจายเป็นเส้นออกมาจากปากของมัน เห็นได้ชัดว่าเพียงแค่พลังในการสู้รบของมังกรเกล็ดสีม่วง อาจจะเทียบได้กับชนชั้นราชันย์แล้ว ไม่แปลกเลยที่ความเร็วของมันจะทำให้ ฟู่เหว่ยหลุน ก่อนหน้านี้ไม่อาจหาทางหลบหนีกลับเข้าไปในสถาบันฯได้
เล้งหมิงเช่อ ชำเลืองมองไปยัง ฟู่เหว่ยหลุน ที่ยังรอดชีวิตอยู่ ก็ถึงกับกัดฟันดังกรอดออกมา... “เจ้าขยะพวกนั้นมีกันเป็นโขยงหลายร้อยคน ยังไม่สามารถสังหารคนบาดเจ็บผู้หนึ่งได้ ช่างสิ้นเปลืองเบี้ยเหรียญที่จ้างวานยิ่งนัก แบบนี้จะไปคาดหวังให้พวกมันฝ่าทะลวงเข้าไปในสถาบันฯได้เยี่ยงไรกัน!! หากข้าปลีกตัวกลับมาจากแนวหน้าไม่ทัน ป่านนี้ศัตรูคงหนีรอดกลับไปได้หมดแล้ว! จบภารกิจครั้งนี้เมื่อไหร่ ข้าจะสังหารพวกมันทิ้งเสียให้หมด”
เล้งหยุนฟง รู้จัก มังกรเกล็ดสีม่วง ตนนี้เป็นอย่างดี เพราะมันหนึ่งในสัตว์อสูรพาหนะระดับสูงที่ตระกูลเล้งฝ่ายหยางมีไว้ครอบครองมาหลายร้อยปีแล้ว ความแข็งแกร่งและความปราดเปรียวของมันสูงล้ำจนน่ากลัว ยิ่งเมื่อจับคู่ร่วมกับ เล้งหมิงเช่อ ด้วยแล้วล่ะก็ คงมิต่างยอดอาชาคู่เทพขุนพล...
เล้งหยุนฟง จึงไม่ลังเลที่จะระเบิดพลังในการสู้รบสูงสุดออก ขับขานเรียก เทพปักษา จากเปลวเพลิงให้ปรากฏร่าง บินพวยพุ่งขึ้นไปประหัตประหารกับศัตรูบนท้องฟ้า ส่วนเขานั้นปักหลักโจมตีระยะไกลด้วยอักษรเพลิงอยู่ด้านล่าง ถือเป็นกลยุทธรุกรับสมบูรณ์ในแบบฉบับของ เล้งหยุนฟง...
“กังเฉิง รีบพาผู้อาวุโสฟู่กลับไป ข้าจะต้าน เล้งหมิงเช่อ เอาไว้ให้เอง!!”
กังเฉิง ไม่มีทางเลือก เพราะในตอนนี้สภาพของ ฟู่เหว่ยหลุน บาดเจ็บจนเกินกว่าจะปกป้องตนเองได้ ชายหนุ่มจึงแบกร่างของ ฟู่เหว่ยหลุน ก่อนจะระเบิดความเร็วห่อทะยาน จนปรากฏเงาร่างนิมิตมายาของขุนพลเทพทับซ้อนขึ้น...
เล้งหมิงเช่อ มีสัมผัสที่เฉียบคมเป็นอย่างมาก เพียงแค่กวาดตาประเมินก็จดจำ กังเฉิง ได้ในทันที... “ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!! ผู้ที่โชควาสนาหล่นทับให้ครอบครองมรดกวัตถุสีรุ้ง ไม่ว่ามรกดนั้นจะถูกเก็บไว้โดยสถาบันฯ หรืออยู่ที่ตัวเจ้า ทว่าข้าจะไม่มีทางปล่อยให้ใครหนีรอดกลับเข้าไปด้านใน!!”
เล้งหมิงเช่อ ชักกระบี่เขี้ยวมังกรดำศาสตราประจำกายออกมา ตวัดเพียงครั้งก็ผ่าแยก ร่างของเทพปักษากลางเวหา มังกรเกล็ดสีม่วงราวกับอ่านใจผู้เป็นนายได้ ระเบิดพลังสายฟ้าสีม่วงออกมาจากปากของมัน กวาดทำลายร่างของ เทพปักษา ให้แตกกระจายกลายเศษเสี้ยวละอองเพลิง
เมื่อภูติอสูรเพลิงของเขาถูกทำลาย เล้งหยุนฟง ก็ใบหน้าขาวซีดพร้อมกับมีเลือดสดสายหนึ่งไหลออกมาจากมุมปากทันที... แม้ว่าในแง่พรสวรรค์การต่อสู้เขาจะเหลือล้ำกว่าพี่ชาย หากแต่ความแตกต่างในพื้นฐานลมปราณของเขาและพี่ชายมีมากเกินไป... ระยะห่างของช่วงอายุเกือบสิบปี คือขอบเขตต้นทุนการฝึกฝนที่ เล้งหมิงเช่อ มีมากกว่าผู้เป็นน้องชาย...
เล้งหมิงเช่อ ยกชูกระบี่เขี้ยวมังกรดำขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะมองเห็นมาปลายกระบี่นั้นมีกลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีฟ้าครามหนาแน่นถูกบีบอัดรวมกัน จนมองเห็นเส้นแสงสีฟ้าที่ถูกดึงดูดเข้ามาด้วยความร้อนแรง อีกทั้งจิตสังหารของ เล้งหมิงเช่อ ก็ยังโชติช่วงยิ่งกว่าเปลวเพลิงโดยรอบเสียอีก...
“ตาย!!”
เล้งหมิงเช่อ ตวัดฟันฉับลงไปในความว่างเปล่า บังเกิดคลื่นสยบฟ้าดินสีฟ้าครามพวยพุ่งออกมาจากปลายกระบี่ คลื่นนี้แผดเผาได้กระทั่งชั้นบรรยากาศ ฉีกกระชากความว่างเปล่าโดยรอบจนพร่าเลือน แม้แต่ทะเลสาบเบื้องล่างยังบังเกิดคลื่นน้ำที่ม้วนตลบกระจายออกไปรอบทิศทาง...
กังเฉิง และ ฟู่เหว่ยหลุน สัมผัสได้ถึงวิกฤตที่รุนแรง...
เล้งหยุนฟง คิดที่จะเข้ามาช่วย แต่ก็ถูกสกัดกั้นไว้ด้วยพลังสายฟ้าสีม่วงของปากของมังกรที่คำรามออกมา รุนแรงมากพอจะผลักดันให้ เล้งหยุนฟง ต้องถอยร่นไปอีกหลายก้าวใหญ่ จนมิอาจเข้ามาช่วย กังเฉิง ได้ทันอีกแล้ว...
นั่นจึงทำให้ เล้งหมิงเช่อ เผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา มั่นใจมากว่ากระบวนท่านี้ คงดับสังหารศัตรูได้อย่างไม่ยากเย็น จวบจนกระทั่ง! มองเห็นทวนเทพทมิฬสีดำสนิทที่ กังเฉิง ตัดสินใจหยิบออกมาเพื่อใช้แก้วิกฤต
เสี้ยวอึดใจที่ เล้งหมิงเช่อ มองเห็นทวนเล่มนี้
ร่างก็สั่นเยือกไปทั้งตัว จากสัญชาตญาณ...
“นะ...นั่นมัน!”
กังเฉิง กัดฟันแน่นก่อนจะเสือกแทงปลายทวนเทพทมิฬเข้าปะทะ พร้อมกับระเบิดอำนาจของเขี้ยวหมูตัน ใช้การผ่ามิติตัดแยกคลื่นกระบี่สยบฟ้าดินของ เล้งหมิงเช่อ ให้ขาดสะบั้นออกเป็นสองทิศทางก่อนจะพุ่งหายลงไปในทะเลสาบ เสียง ตูม! ที่ดังตามมาพร้อมกับการระเบิดของปริมาณน้ำมหาศาล ราวกับว่าบริเวณนี้เกิดละอองฝนอยู่หลายชั่วอึดใจ
เล้งหมิงเช่อ มองเซ่อตาค้างไปในทันที... เขามิได้โง่เขลา ย่อมมองออกมาพลังฝีมือของ กังเฉิง ไม่มีทางรอดจากกระบวนท่าสังหารนี้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทำลายคลื่นกระบี่สยบฟ้าดินของตนได้นั้น เกิดจากพลังอำนาจอีกสายหนึ่งที่แตกต่างออกไป และพอพิจารณาที่ปลายทวนเทพทมิฬก็ค่อย ๆ กระจ่างแจ้ง...
“เขี้ยวหมูตัน! มหาขุมทรัพย์จากตราวงกตลำดับที่ 3 เป็น เขี้ยวคู่หมูตัน จริง ๆ อย่างที่ท่านปู่คาดการณ์ไว้เลย และเจ้าเด็กนี่ก็เป็นผู้ครอบครองมัน!!” จากใบหน้าที่ตื่นตะลึง ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมืดดำ จากนั้น เล้งหมิงเช่อ ก็หัวเราะเสียงยาวออกมาในท้ายที่สุด
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! สวรรค์ช่างเป็นใจให้ข้ายิ่งนัก!! ไม่คิดว่าเจ้านี่คือผู้ครอบครองมรดกวัตถุสีรุ้ง และยังโง่งมจนก้าวออกมาด้านนอกม่านพลังด้วยตนเอง หากข้าจบการต่อสู้นี้ลงได้ ก็มิเท่ากับว่าชนะสงครามครั้งนี้เลยหรอกหรือ!!” เล้งหมิงเช่อ จิตใจฮึกเหิมถึงขีดสุด สัมผัสได้ว่านี่คือโอกาสและโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ของเขา
แต่ในจังหวะนั้น ก็ราวกับมีเสียงที่ดังกระซิบที่ขึ้นข้างหู...
“ข้าไม่มีทางยอมให้เล่นงาน กังเฉิง ได้แน่นอนท่านพี่”
เล้งหมิงเช่อ เบิกตากว้างตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะรีบหันควับมองมา และต้องพบเจอกับ เล้งหยุนฟง ที่บัดนี้ยืนอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่เอื้อมมือ... ทั้งที่ตัวของ เล้งหมิงเช่อ ยังอยู่บนหลังของมังกรเกล็ดสีม่วง สูงจากผิวทะเลสาบเกือบสองร้อยจั้ง ไม่มีทางที่ เล้งหยุนฟง จะสามารถบินขึ้นมา และประชิดกายเขาด้วยความเร็วเช่นนี้
“บัดซบ!!” เล้งหมิงเช่อ แทงกระบี่เสียบร่างของน้องชายเขาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะพบว่าร่างนั้นค่อย ๆ สลายหายไปต่อหน้าต่อตา
“ท่านพี่... ข้าอยู่ทางนี้” ซุ่มเสียงแว่วดังอีกครั้งยังด้านหลัง ก่อน เล้งหมิงเช่อ จะพบว่ามีเงาร่างของ เล้งหยุนฟง อีกสองคนที่ยืนบนหลังของมังกรเกล็ดสีม่วง
“พี่ชายทางนี้...”
“ท่านพี่ข้าอยู่นี่...”
“ท่านพี่”
คราวนี้เกิดเสียงดังออกมาจากสี่ทิศแปดด้าน ก่อน เล้งหมิงเช่อ จะพบเจอเงาร่างของ เล้งหยุนฟง ที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ จำนวนมากถึง 7-8 ร่าง ทำให้เขานั้นมองเซ่อด้วยสีหน้าโง่งม ความสับสนพลันถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง เพราะเงาร่างที่ปรากฏนั้นชัดเจนจนเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นภาพมายา หรืออาการหลอนประสาท...
“นี่มันอะไรกัน!!”
ณ ผิวน้ำทะเลสาบด้านล่าง... เล้งหยุนฟง ใบหน้าขาวซีดขึ้นมาในทันที จากลมปราณที่ถูกดูดกลืนหายไปเป็นจำนวนมาก หลังจากการที่เขาตัดสินใจดึงพลังปลอกแขนจิ้งจอกมายา ออกมาใช้งาน ซึ่งภาพมายาบนท้องฟ้าจะมีเพียงแค่ เล้งหมิงเช่อ เท่านั้นที่เห็นได้ ทำให้ทางด้าน กังเฉิง รู้สึกงุนงงกับท่าทีแปลกประหลาดของ เล้งหมิงเช่อ ที่จู่ ๆ ก็เลิ่กลั่กและหยุดการโจมตี...
เล้งหยุนฟง รีบหันมาตวาดเสียงดัง...
“กังเฉิง รีบหนีไปเร็วเข้า!! ข้าถ่วงเวลาไว้ได้ไม่นานนัก!!”
กังเฉิง ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่ เพราะปลอกแขนจิ้งจอกมายานั้น ถูกซ่อนไว้ใต้ภูษาเหล็กไหลนิลกาฬ เขาจึงไม่อาจมองเห็นได้... แต่สิ่งที่ กังเฉิง รู้สึกได้ก็คือ ทวนเทพทมิฬ มีอาการสั่นไหวรุนแรง ราวกับพบเจอพลังอำนาจที่เทียบเทียม...
.................................................
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว