อาเมนดูเอล ในเวลานี้รู้สึกเหมือนมีเส้นสายฟ้าจำนวนนับไปถ้วนฟาดผ่าเข้ามาที่กลางหัวจนสมองด้านช้าไปชั่วขณะ... ยิ่งพอเขาได้ชำเลืองมองมายัง เล้งซุน ที่ในเวลานี้กำลังส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้กับเขา ใบหน้าก็ยิ่งมืดคล้ำลงไปในอีกระดับ
ความสับสนในระดับที่ก้ำกึ่งเกินจะยอมรับ ราวกับมวลคลื่นขนาดใหญ่ที่ซัดโถมเข้ามาภายในจิตใจ จนศีรษะหมุนเคว้งตั้งตัวไม่ทัน หากบอกว่านี่เป็นเพียงความฝัน เขายังพร้อมที่จะตบหน้าตนเองแรง ๆ ให้ตื่นขึ้นมาในบัดดล
สายตาของ อาเมนดูเอล มองตรงไปยังผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะใช้กระแสเสียงลมปราณถ่ายทอดวาจาตรงไปยัง กุ่ยเยี่ยซา เบา ๆ “อะ...อาจารย์ ท่านทำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?! เจ้าเด็กนี่เนี่ยนะ คือบิดาข้ามาจุติใหม่!! เรื่องเช่นนั้นจะให้ข้าเชื่อได้ยังไงกัน!!”
“หึหึ... จริงแท้แน่นอน เพราะในตอนที่ เล้งซาน จุติใหม่ในครรภ์ของ เล้งซูหนี่ว์ ข้าเองก็เป็นหนึ่งในสักขีพยานในเวลานั้นด้วย... เรื่องการจุติใหม่ แม้จะเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝันดุจดั่งตำนานปรัมปรา หากแต่ถ้าเข้าใจถึงวิถีแห่งวัฏสังสาร มีผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยเหลือเกื้อหนุน และมีความมุ่งมั่นที่เหนือกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ยอมแบกรับความพิโรธของสวรรค์ มันก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้...”
กุ่ยเยี่ยซา กล่าวผ่านกระแสลมปราณตอบกลับไป ใบหน้ายังเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเพลิดเพลิน ในการรับชมท่าทีบ้าคลั่งของ อาเมนดูเอล เมื่อทราบถึงความจริงเรื่องนี้...
เล้งซุน แม้จะไม่ได้ยินกระแสเสียงเหล่านั้น แต่เขาก็พอจะคาดเดาออก จากสีหน้าอันสุดแสนจะอัปลักษณ์ของ อาเมนดูเอล ในเวลานี้... มือที่คร่ากุมลำคอของ เล้งซุน อ่อนยวบยาบลงทันตา อีกทั้งยังรู้สึกได้ว่ามันสั่นเทาน้อย ๆ ด้วยซ้ำ
เล้งซุน เมื่อสะบัดหลุดได้ ก็กระแอมไอเบา ๆ เขาสะบัดคอเล็กน้อยใบหน้าเชิดหยิ่งด้วยความองอาจ ยื่นมือไปตบไหล่ของ อาเมนดูเอล 2-3 ครั้ง เผยแววตาให้กำลังกับอีกฝ่าย... “พยายามเข้า ข้ารอฟังคำเรียกขานจากเจ้าอยู่... หากลำบากใจจนเกินไปในการเรียกขานว่าบิดา จะเรียกว่า ‘ท่านเตี่ย’ ข้าก็ยินดี...”
อาเมนดูเอล พอยิ่งได้ยินเช่นนั้น เขาก็สำลักลมหายใจด้วยใบหน้าที่มืดดำ ถลึงตามองมายัง เล้งซุน พร้อมกับเส้นโลหิตที่ปูดบวมไปทั้งใบหน้า ริมฝีปากสั่นเทาจนมองเห็นได้ชัดเจน
“ตะ... ตะ... เตี่ย บ้านเจ้าน่ะสิ!!”
อาเมนดูเอล รู้สึกเหมือนรอบด้านหมุนตลบจนยากจะทรงตัว เขาเผยความไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุดออกมา กัดฟันแน่นดังกรอด พร้อมจับคว้าลำคอของ เล้งซุน อีกครั้ง!! ดวงตาแดงก่ำเขม็งมอง เขานึกขึ้นได้ถึงทางออกเพียงอย่างเดียวในเวลานี้
“จะ...เจ้ามีมันอยู่สินะ!! สิ่งนั้นน่ะ เอามันออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“พะ...พูดเรื่องอะไรของเจ้า” เล้งซุน รู้สึกว่าเวลานี้ อาเมนดูเอล คงจะมุมจนถึงขีดสุดแล้ว ทำเอาเขาตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ทันเลยสักนิด
“ก็สุราแห่งแม่น้ำยมโลกอะไรนั่นยังไงล่ะ สุราที่ทำให้ความทรงจำหายไปนั่น!!” อาเมนดูเอล ตวาดเสียงด้วยความร้อนรน... ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงหยิบเอาเต้าสุราดังกล่าวนั้นออกมา อาเมนดูเอล จึงรีบคลายมือออก คว้าแย่งสุราจากมือของ เล้งซุน ก่อนจะกระดกรวดเดียวจนหมดทั้งน้ำเต้า
“อ๊ากกกก!!” หลังคำรามเสียงคล้ายคนเสียสติ สมองก็มีเสียงดังอึงอน จิตวิญญาณกระเจิดกระเจิง ก่อนที่ประตูมิติสีดำก็พลันเปิดออกมา ชั่ววินาทีนั้น อาเมนดูเอล รีบกระโจนด้วยความเร็ว โดดหายวับไปโดยไม่สนคำทัดทานใด ๆ
ทำเอา เล้งซุน และ กุ่ยเยี่ยซา ที่ยืนอยู่ตรงนั้น มองเซ่อไปตามกัน ๆ “มะ...มันถึงขั้นแสร้งเป็นบ้าเลยงั้นหรือ?!” เล้งซุน ยืนค้างอยู่เช่นนั้น ดูเหมือนเขาจะกลั่นแกล้งแรงเกินไปนิด เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้มากนัก
กุ่ยเยี่ยซา เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความแหนงหน่าย... “เจ้านั่นมันคงไม่ได้ลืมไปนะว่า ตอนนี้ดวงวิญญาณของมันสิงสถิตอยู่ในร่างศพหุ่นเชิด สุราลบล้างความทรงจำอะไรนั่นมันจะไปมีผลกับศพหุ่นเชิดได้อย่างไรกัน?!”
ไม่กี่ชั่วลมหายใจต่อมา... ประตูมิติสีดำพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง อาเมนดูเอล ที่เวลานี้ใบหน้าผุดผ่องยองใย ก้าวยาว ๆ ออกมาจากห้วงความว่างเปล่าดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของ เล้งซุน และ กุ่ยเยี่ยซา จนงุนงงไปตาม ๆ กัน
อาเมนดูเอล หันมองมายัง เล้งซุน ด้วยรอยยิ้ม
เขาเดินดิ่งตรงเข้ามาด้วยความดีใจตื่นเต้น
“น้องชาย... นี่เจ้ากลับมาแล้วหรือ?! เจ้าแยกตัวเดินทางเพียงลำพังเสียหลายเดือน ตัวข้านั้นกำลังนึกเป็นห่วงเจ้าอยู่พอดีเลย...” ท่าทีของ อาเมนดูเอล เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังฝ่าเท้า เสียงอ่อนหวานที่เรียกขาน เล้งซุน เป็นน้องชายเสียเต็มปากเต็มคำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบจะชักสีหน้าในทุก ๆ ครั้ง
ทำเอาทั้ง เล้งซุน และ กุ่ยเยี่ยซา
ยิ่งมากไปด้วยอึ้งงันสับสน
“เอ่อ, จะ...เจ้ายังปกติดีอยู่หรือไม่?! เรื่องที่พวกเราพูดคุยกันก่อนหน้านี้......”
“ห๋า!! เรื่องก่อนหน้านี้อะไร?! ข้าเพิ่งจะมาถึงนี่ไงไม่เห็นหรือ!!” ขณะที่กล่าวนั้น เล้งซุน สัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงตาของ อาเมนดูเอล มากพอจะทำให้ เล้งซุน ขนลุกจนพองจนไม่กล้าที่จะพูดต่อ
และนั่นจึงทำให้ เล้งซุน เริ่มตระหนักเข้าใจมากยิ่งขึ้น เขามองออกแล้วถึงเส้นสนกลในภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของ อาเมนดูเอล ผู้นี้...
อาเมนดูเอล อาศัยความเสแสร้งแกล้งหลงลืมเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ยินก่อนหน้านี้ จากการดื่มสุราลบความทรงจำ การที่เขาหายตัวไปเมื่อครู่นั้น ก็เปรียบเสมือนการไปชุบตัวเสียใหม่... และในเวลานี้เขาได้ปักใจที่จะยอมรับ เล้งซุน ในฐานะน้องชาย มากกว่าจะให้ยอมรับเรื่องที่ชาติภพก่อน เล้งซุน นั้นเคยเป็นบิดา!!
รอยยิ้มที่ปรากฏของ อาเมนดูเอล ในเวลานี้นั้น มาพร้อมกับหน้าที่แดงปลั่งและเส้นเลือดบนขมับที่ปูดบวม ไอคุกคามที่แผ่ซ่านขยายออกมาไม่รู้จบก็ประหนึ่งว่าเป็นการบีบบังคับให้ เล้งซุน รีบ ๆ ยอมรับสถานะน้องชายที่เขาหยิบยื่นให้ไปเสีย อย่าได้พยายามกล่าวขานเรื่อง ‘บิดา’ ก่อนหน้านี้ออกมาอีก!!
กุ่ยเยี่ยซา บัดนี้หัวร่อจนอณูวิญญาณสะท้านสะเทือน แม้แต่เขาผู้เป็นอาจารย์ ก็ยังคิดไม่ถึงว่า อาเมนดูเอล จะมาไม้นี้... หากแต่ก็ถือว่าเป็นทางออกสายกลาง ที่พอจะยอมรับได้มากที่สุด!! เล้งซุน เองก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนทำอะไรไม่ได้ ตัวเขาเองก็กลัวว่าหากกดดัน อาเมนดูเอล มากจนเกินไป ก็อาจจะทำให้เขากลายเป็นไปบ้าเสียจริง ๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่เลือกใช้วิธีบ้าบอเช่นนี้ออกมา
เล้งซุน กลืนน้ำลายฝืดลำคอ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับไปตามกระแสน้ำเชี่ยว “ชะ...ใช่ ๆ พี่ชาย ข้าเองก็ดีใจที่กลับมาเจอท่านเช่นกัน...”
นั่นค่อยทำให้ อาเมนดูเอล หัวเราะออกมาได้อีกครั้ง เขาตบไหล่ชายหนุ่มเบา ๆ ไป 2-3 ที... “ดีมาก ๆ แม้พวกเรามิได้คลานตามกันมา หากแต่พวกเราพี่น้องก็พึ่งพาอาศัยกันมาหลายปี ความแน่นแฟ้นกลมเกลียวเหนือผู้ใดจะเปรียบ เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าก็อย่างได้คิดเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น อะไรมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้ว ๆ กันไป เข้าใจหรือไม่?!”
เสียงกำชับที่แน่นย้ำทีละคำ สะท้อนอารมณ์ยึดมั่นถือมั่นถึงเพียงนี้ เล้งซุน จึงไม่กล้าคิดเล็กคิดน้อยอีกต่อไป... อย่างไรเสีย ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะให้คนอย่างเฒ่าชีเปลือยแปลงโฉม มาเรียกเขาว่าบิดาอยู่แล้ว เพียงแค่อยากจะกลั่นแกล้งเอาคืนกับตลอดหลายปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้เห็นชัดเจนแล้วว่า ท่าทีของ อาเมนดูเอล หลังจากนี้ ก็คงไม่กล้าที่จะมากดขี่ข่มเหงตัวเขาได้อีก เพราะดูเหมือนว่า อาเมนดูเอล จะหวาดกลัวที่สุด คือการที่ตนนั้นต้องเรียกขาน เล้งซุน ว่า ‘ท่านเตี่ย’
สำหรับ เล้งซุน ก็ถือว่าน่าพึงพอใจเป็นที่สุด
กุ่ยเยี่ยซา ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะกลั้นขำเอาไว้ได้ พอเห็นทุกอย่างจบลงได้ดี ก็เดินเข้ามาตบไหล่คนทั้งสอง... “เอาเถอะ ถึงยังไงอดีตมันก็เป็นเพียงอดีต... เวลานี้เจ้าก็คือ เล้งซุน ทั้งร่างกายและวิญญาณเจ้าก็ยังเป็น เล้งซุน สิ่งที่เจ้ายังแบกรับเอาไว้ มีเพียงแค่เจตนารมณ์และความคาดหวังของ เล้งซาน เท่านั้น
ข้าเองในฐานะผู้ที่เสมือนเป็นพี่ชายคนหนึ่งของ เล้งซาน ก็รู้สึกดีใจที่พวกเจ้าสองคน เลือกจะยอมรับและก้าวข้ามเรื่องราวทั้งหมดเพื่อไปต่อ... พวกเจ้าไม่อาจกลับไปเปลี่ยนแปลงอดีตได้ มีเพียงปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น ที่อยู่ในกำมือของพวกเจ้า...”
ทั้ง อาเมนดูเอล และ เล้งซุน ประสานมือเคารพ กุ่ยเยี่ยซา ด้วยความสุภาพ...
“เล้งซุน... ดูเหมือนว่านอกจาก ราชันย์หงสาเพลิงแล้ว เจ้าก็ยังได้พบเจอกับ ราชันย์มังกรทมิฬ ด้วยงั้นสินะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ... “ข้าได้รับลมหายใจแห่งราชันย์ รวมไปถึงเคล็ดวิชาเปลวเพลิงเก้าสุริยันมา เป็นโชควาสนาจาก ราชันย์มังกรทมิฬ... อีกทั้งก่อนจะเข้าไปยังเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี ราชันย์มังกรทมิฬ ยังรับปากอีกด้วยว่า ยินดีจะมอบลมหายใจแห่งราชันย์ให้กับ กังเฉิง และ เล้งหยุนฟง...”
“ยอดเยี่ยมมาก... ไม่คิดเลยว่า มังกรน้อยเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน บัดนี้จะกลายเป็นราชันย์แห่งท้องฟ้าไปเสียแล้ว อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเจ้านั่นจริง ๆ ข้าเฝ้าภาวนาว่าสักวัน เจ้านั่นจะกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สามารถปกป้องสุริยะ 4 ดวงดาวแห่งนี้...” กุ่ยเยี่ยซา เอ่ยปากออกมาด้วยสีหน้าคาดหวัง
เล้งซุน เวลานี้ เขาพอจะมองออกแล้วถึงอนาคตในภายภาคหน้า ว่าสักวัน เทพเทวะ ที่เป็นภัยพิบัติระดับสูงสุดของสุริยะ 4 ดวงดาว จะต้องปรากฏตัวออกมา... หากแต่ความเข้าใจใน เทพเทวะ สำหรับเขาในเวลานี้ ก็เรียกได้ว่าผิวเผินเป็นอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป
“เทพเทวะ แข็งแกร่งมากเลยอย่างนั้นหรือ?! ทุกคนถึงได้หวาดกลัวกันเป็นอย่างมาก บอกตามตรงว่าตัวข้าในเวลานี้ ยังไม่สามารถจินตนาการผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ราชันย์มังกรทมิฬ ออกมาได้เลย...”
กุ่ยเยี่ยซา ได้ยินเช่นนั้นก็เผยรอยยิ้ม... “แข็งแกร่งสิ! เทพเทวะ คือผู้ไร้เทียมทานอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า เขาจะมีเวลามากพอในการกลับไปยังจุดสูงสุดของตนเองในอดีตหรือไม่เท่านั้น... หากเมื่อใดที่ เทพเทวะ หวนคืนสู่บัลลังก์แห่งสุริยะได้สำเร็จ นั่นก็เท่ากับว่าพวกเรา ไม่มีหนทางชนะใด ๆ หลงเหลืออีกแล้ว...”
ขณะที่กล่าว กุ่ยเยี่ยซา ก็มองตรงไปยัง อาเมนดูเอล ด้วยความล้ำลึก... “ณ ตอนนี้ค่อนข้างที่จะแน่ชัดอย่างถึงที่สุดแล้ว ว่า เทพเทวะ จะเป็นหนึ่งในบุตรที่เกิดจาก อาธีน่า... เพราะฉะนั้น ดูเอล แม้แต่ตัวเจ้าเอง ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเป็น เทพเทวะ ได้เช่นเดียวกัน...”
“!!!!!!!!!!” อาเมนดูเอล เผยสีหน้าตื่นตะลึง
“ข้างั้นหรือ?!”
“ถูกต้อง... หากแต่ตามการวิเคราะห์ของข้า โอกาสที่จะเป็นเจ้ายังถือว่ามีน้อยมาก เพราะหากเจ้าเป็น เทพเทวะ ที่กลับมาจุติใหม่จริง ๆ เจ้าคงไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ต่อพี่น้องฝาแฝดของตนเอง จนถูกทำลายกายหยาบ และต้องคำสาปแห่งวิญญาณเช่นนี้ อย่างน้อย ๆ อาธีน่า คงไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน...
ดังนั้นความเป็นไปได้สูงสุดของผู้ที่จะเป็น เทพเทวะ ในร่างจุติใหม่ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในพี่น้องฝาแฝดอีกสองคนของเจ้า... เกรงว่าคงถึงเวลาแล้วกระมัง ที่เจ้าจะต้องเอ่ยปากเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดของเจ้า ให้พวกเราได้รับรู้...” กุ่ยเยี่ยซา และ เล้งซุน ในเวลานี้ ต่างมองตรงมายัง อาเมนดูเอล ที่กำลังนิ่งขรึม...
.................................................
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว