ดวงวิญญาณเหล่ายอดฝีมือใต้ดินที่ตายไป เมื่อถูกปลุกขึ้นมาด้วยอาคมไสยเวทย์ของ ซุน ต่างก็พากันส่งเสียงร้องระงมดังจากความเจ็บปวด... มู่เจี้ยน ฉีลู่ชิง และ เหม่ยลี่ แม้จะไม่อาจมองเห็นหรือได้ยิน เพราะไม่เคยฝึกฝนพลังวิญญาณมาก่อน หากแต่ทั้งสามก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปรเปลี่ยนไป เส้นขนทั่วสรรพางค์กายชูชันขึ้นอย่างมิทราบสาเหตุ ทั้งยังรู้สึกถึงความหนาวเย็นท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ ตอกย้ำว่านั่นมิใช่การคิดไปเอง...
สิ่งเดียวที่ทั้งสาวคนอธิบายได้ นั่นคือ ซุน กำลังทำเรื่องบางอย่างอยู่...
เด็กหนุ่ม แม้จะร้างลาจากการใช้ไสยเวทย์มากว่า 2 ปีแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยลืมเลือนสิ่งใดที่เคยได้เรียนรู้ ถือเป็นความอัจฉริยะภาพอย่างหนึ่ง เพียงหวนนึกถึงบทคาถาและอาคม สิ่งเหล่านั้นก็พลันหลั่งไหลออกมาจากห้วงความทรงจำ สามารถบริกรรมผ่านริมฝีปากได้ไม่ติดขัด...
เหงื่อที่อาบขมับบ่งบอกว่า ซุน ใช้พลังตบะไปไม่น้อยกับกระบวนการเหล่านี้ มิต่างจากการใช่ร่างสถิตซ้ำไปซ้ำมาในเวลาอันสั้น... ภายใต้การตัดสินใจที่แน่วแน่ว่าจะสร้างกองทัพวิญญาณ มันคือเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ จำต้องสร้างรากฐานที่มั่นคง มิเช่นนั้น ซุน ก็อาจถูกวิญญาณที่หลุดจากการควบคุม ย้อนกลับเข้ามาเล่นงานตนเองได้...
การสร้างวิญญาณอารักษ์อย่าง จูเยี่ย ขึ้นมา ถือเป็นการลดทอนความเสี่ยงที่จะสะท้อนย้อนกลับ เปรียบเสมือนปราการด่านแรก... หากแต่ ซุน ก็จำต้องไว้วางใจในวิญญาณอารักษ์ที่ตนเลือกสรรมากพอสมควร ด้วยความที่ ซุน ก็เพิ่งเห็นความโหดร้ายของการถูกทรยศหักหลังมาเมื่อไม่นานนี้ ตอกย้ำให้ต้องคัดสรรดวงวิญญาณอารักษ์อย่างถ้วนถี่...
แม้จะเป็นดวงวิญญาณเสมอเหมือน ทว่าดวงวิญญาณของ จูเยี่ย กลับดูมีพลังมากกว่าวิญญาณดวงอื่นอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นเป็นผลจากตบะของ ซุน ที่ถ่ายทอดให้ ทั้งวิญญาณของ จูเยี่ย ยังไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยไสยเวทย์อาคม ให้ต้องทนทุกข์ทรมานในทุก ๆ ครั้งที่ ซุน ร่ายมนต์สะกด...
สายตาของ จูเยี่ย จดจ้องเหล่าดวงวิญญาณอาฆาตกลุ่มนั้น ด้วยความเย็นชา... จวบจนกระทั่งไปสะดุดเข้ากับดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ซึ่งก็คือดวงวิญญาณของ เมิ่งหยวน สหายผู้ทรยศ อันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ จูเยี่ย ต้องตกตาย!!
ดวงตาของอดีตมือปราบ แข็งกร้าวขึ้นในพริบตา... แน่นอนว่า ซุน เองก็สัมผัสได้เช่นกันถึงความเคียดแค้นที่แม้ตายไปแล้วก็ไม่อาจลบล้าง เด็กหนุ่มยักมุมปากขึ้นเพราะนี่ถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะแสดงแสนยานุภาพให้เหล่าวิญญาณอาฆาตต้องเกรงกลัวต่อ วิญญาณอารักษ์...
“นี่ เฒ่าชีเปลือย... ข้าเหนื่อยมามากแล้ว ทั้งยังสูญเสียตบะไปจนเกือบจะหมดสิ้น ตัวเจ้าที่เป็นผู้แนะนำให้ข้าสร้างกองทัพวิญญาณ ไม่คิดจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ข้าบ้างงั้นหรือ?!” ซุน กระหยิ่มยิ้มย่อง หันมองไปยังวิญญาณเฒ่าชรา
เฒ่าชีเปลือย ใบหน้าหักงอเล็กน้อย อยู่ร่วมกันมา 2 ปี แม้ไม่กล่าวตรง ๆ ก็พอจะคาดเดาเจตนา...
“เหอะ... สุดท้ายก็ไม่พ้นมือข้า!!”
เฒ่าชีเปลือย กางฝ่ามือข้างขวา รีดเค้นเศษเสี้ยวตบะของตนเอง สร้างเป็นขดเชือกสีแดงม้วนหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยลวดลายสลักอาคม ก่อนจะหยิบตวัดเหวี่ยงออกไปดุจแส้สะบัด ฟาดเข้ากับวิญญาณอาฆาตดวงหนึ่งที่เป็นคราวซวยอยู่ใกล้มือ
“อ๊ากกกก!!” วิญญาณดวงนั้น ส่งเสียงกรีดร้องทุรนทุรายยิ่งกว่า ไสยเวทย์ที่ ซุน ใช้สะกดเสียอีก... เหล่าวิญญาณอาฆาตดวงอื่น ๆ ที่เห็นเช่นนั้นก็ล้วนแสดงสีหน้าหวาดกลัว ครั้นจะหลบหนีก็ไม่อาจทำได้ จากอำนาจสะกดของไสยเวทย์
“สิ่งนี้เรียกว่า บ่วงทรทัณฑ์ ถือเป็นศาสตราวิญญาณชิ้นหนึ่งที่สร้างขึ้นจากตบะของข้า สามารถใช้กำราบดวงวิญญาณได้ชะงักงันยิ่งนัก!! ทุกการฟาดจะเทียบเท่าการลงทัณฑ์จากขุมนรก ยิ่งตวัดฟาดเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์ทรมานทบทวี ไม่อาจต่อต้าน...
ถือเป็นของขวัญจากข้า ที่เจ้าได้เป็นวิญญาณอารักษ์...”
เฒ่าชีเปลือย โยนบ่วงทรทัณฑ์ให้กับ จูเยี่ย...
ในตอนนั้นเอง สายตาคมกริบของ จูเยี่ย เขม็งมองไปยัง เมิ่งหยวน ที่แสดงสีหน้าหวาดกลัว... ไม่มีความลังเลใด ๆ ให้ต้องนึกถึง จูเยี่ย จับปลายเชือกสีแดงตวัดฟาดไปยัง เมิ่งหยวน สุดแรงด้วยใจมาดร้าย!!
“อ๊ากกกก!!” เสียงโหยหวนของ เมิ่งหยวน ก้องดังขึ้น... แต่กลับไม่ช่วยอะไรให้ จูเยี่ย รู้สึกเวทนา เชือกสีแดงยังคงถูกฟาดตวัดอย่างต่อเนื่อง ปลายเชือกไม่เคยหยุดนิ่ง เมิ่งหยวน รู้สึกราวกับถูกดึงกระชากผิวหนังให้หลุดออกมาตามการฟาดตวัด ทั้งที่ตนเองเป็นดวงวิญญาณเท่านั้น
“จูเยี่ย ยกโทษให้ข้าด้วย!!” เมิ่งหยวน กล่าวพลางสั่นสะท้าน ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ไหนเลยที่มันจะคาดคิด ว่าแม้ตกตายไปแล้ว ยังต้องมารับความทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้...
จูเยี่ย ใช้หลังฝ่ามือฟาดไปที่ใบหน้าของ เมิ่งหยวน อย่างรุนแรง จนมองเห็นอณูวิญญาณบางส่วนกระจัดกระจาย ทั้งสองที่เป็นดวงวิญญาณย่อมเล่นงานกันและกันได้ แต่เพราะชนชั้นของดวงวิญญาณที่แตกต่าง ไม่มีทางที่ เมิ่งหยวน จะสามารถตอบโต้ จูเยี่ย...
“คนสับปลับ ใจทรยศเยี่ยงเจ้า... แม้เป็นวิญญาณก็ไม่สมควรได้รับการให้อภัย!!” จูเยี่ย แสดงบารมีแห่ง วิญญาณอารักษ์ ฟาดตวัดบ่วงทรทัณฑ์เข้าใส่ดวงวิญญาณของ เมิ่งหยวน จนอณูวิญญาณเริ่มจะแตกกระจาย ทุกข์ทรมานจนไม่อาจคงรูปร่าง เสียงกรีดร้องโหยหวนก้องดังสะเทือนแผ่นดิน
เหล่าวิญญาณดวงอื่น ๆ ที่เห็นภาพเช่นนั้น ก็ล้วนสั่นกลัวใบหน้าบิดเบี้ยว ซึ่งการเป็นดวงวิญญาณเช่นนี้ ย่อมแตกต่างไปจากยามมีชีวิต... หากยังมีกายร่างเมื่อถูกทรมานมากเข้าก็ยังเลือกปลิดชีพตนเองหลีกหนีความเจ็บปวดลงได้ แต่ในสภาพวิญญาณย่อมมิอาจเลือกหนทางที่จะแตกสลายไปด้วยตนเองได้ ถูกพันธนาการสะกดไว้ด้วยไสยเวทย์ของ ซุน!!
สุดท้ายดวงวิญญาณของ เมิ่งหยวน ก็ต้องแตกสลายดับดิ้นลงด้วยความเจ็บปวดจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย ถูกลบล้างด้วยวิธีการนอกเหนือกฎเกณฑ์ จึงไม่อาจเวียนว่ายในห้วงวัฏสงสารได้อีกต่อไป...
วิญญาณอาฆาตดวงอื่น ๆ ถูกสลักไว้ด้วยความหวาดกลัว... สายตาของ จูเยี่ย เหลือบมองมายังดวงวิญญาณอีกกว่า 20 ดวงตรงหน้า นัยน์ตาไม่มีความเห็นใจใด ๆ เล็ดลอดออกมา...
“หากใครขัดขืนคำสั่ง จะเป็นดั่ง เมิ่งหยวน!! แต่หากใครยอมจำนน รับใช้นายเหนือ ซุน เพียง 50 ปี ก็จะได้รับการปลดปล่อยดวงวิญญาณให้เป็นอิสระ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า จงเลือก!!”
เสียงของ จูเยี่ย ก้องดังดุจฟ้าร้อง พร้อมเสียงตวัดเชือกสีแดงไปมาในอากาศฟังดูน่าขนลุก... เหล่าวิญญาณอาฆาตสั่นสะท้านขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ ก้มหมอบคลาน ยอมจำนน 50 ปี แม้จะดูว่าเนิ่นนาน แต่ยังมีโอกาสถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ ดีกว่าต้องทุกข์ทรมานจนดับสูญสลาย...
ซุน เห็นเช่นนั้น ยังอดมิได้ที่จะยกย่อง ดูเหมือนว่า จูเยี่ย จะมีความสามารถด้านการเป็นผู้นำอยู่ไม่น้อย คงฝากฝังความรับผิดชอบได้ตามที่ตั้งใจ... ด้าน เฒ่าชีเปลือย เองก็แสยะยิ้มพึงพอใจเช่นกัน คงเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมทำให้ จูเยี่ย ลงมือได้เด็ดขาดยิ่งกว่า ซุน เสียอีก...
แผ่นโลหะสะกดวิญญาณ จากแร่โลหะคงกระพันชั้นพิเศษที่ ซุน สร้างขึ้น มีอำนาจมากกว่าที่คาดไว้ สมกับที่เป็นสื่อแห่งวิญญาณระดับสูงสุดดังที่ เฒ่าชีเปลือย ได้เอ่ยชม ทั้งที่ได้สะกดวิญญาณของ จูเยี่ย เข้าไปภายในนี้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่ามันเพิ่งจะถูกเติมเต็มเพียงแค่กระผีกเดียว...
“เฒ่าชีเปลือย เจ้าพอจะประเมินขอบเขตของแผ่นสะกดวิญญาณนี้ได้หรือไม่?!” ซุน เอ่ยถาม เพราะประสบการณ์ของ ซุน เคยแต่ใช้สื่อแห่งวิญญาณหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งดวงวิญญาณเท่านั้น ไม่เคยคิดว่า สื่อแห่งวิญญาณระดับสูงจะสามารถสะกดวิญญาณได้มากกว่าหนึ่งดวง...
เฒ่าชีเปลือย ลูบเครายาวของตนเบา ๆ พลางครุ่นคิด...
“แผ่นโลหะนั่น คงสะกดวิญญาณสามัญได้ราว 2-3 หมื่นดวงโดยประมาณกระมัง...”
“!!!!!!!!!!” ซุน เบิกตาโพลงในบัดดล
“อะไรนะ!! มากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!!”
“อืม... เจ้าสามารถสะกดวิญญาณทั้งกองทัพได้เลย ด้วยแผ่นโลหะชิ้นนั้น แต่อาคมที่เจ้าใช้ข้าว่ามันยังอ่อนเกินไปหน่อย มันเหมาะกับการสะกดวิญญาณเพียงหนึ่งดวงเท่านั้น ส่งมาให้ข้าจัดการเองจะดีกว่า...” เฒ่าชีเปลือย กระดิกนิ้วเบา ๆ แผ่นป้ายสะกดวิญญาณก็ลอยจากมือของ ซุน มาอยู่ในมือตน...
“เจ้าคิดจะสร้าง วิญญาณอารักษ์ กี่ดวง?! ข้าจะได้จัดการแบ่งแยกชนชั้นในการสะกด มิให้ปะปนกับพวกดวงวิญญาณทหารเลว ที่เป็นวิญญาณอาฆาต...” เฒ่าชีเปลือย เอ่ยถามเน้นย้ำ
ซุน แสดงสีหน้าครุ่นคิดหนัก...
“เผื่อเหลือเผื่อขาด ข้าอยากได้วิญญาณอารักษ์สัก 10 ดวงวิญญาณ เพื่อแบ่งหน้าที่เสมือนหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพวิญญาณให้เหมาะสม...”
“เข้าใจแล้ว...” เฒ่าชีเปลือย เค้นเสียงขึ้น ก่อนจะรีดเค้นอาคมจนมีอักขระจำนวนมหาศาล ผุดขึ้นในอากาศรอบรัศมี สร้างความตกตะลึงให้กับ ซุน อย่างยิ่ง เมื่อเปรียบกับอาคมและไสยเวทย์ที่ ซุน ได้เคยเรียนรู้มานั้น คาดว่าคงมีไม่ถึง 1 ใน 1,000 ส่วน ของที่ เฒ่าชีเปลือย แตกฉานรู้แจ้ง...
ก่อนที่วิญญาณชราจะทำการบีบอัดอาคมเหล่านั้น สลักลงไปในแผ่นสะกดวิญญาณ... อักขระต่าง ๆ ในป้ายโลหะ เปล่งรัศมีเรืองรองเจิดจรัสขึ้น จากนั้นเหล่าดวงวิญญาณอาฆาตทั้งหมด พลันถูกดูดเข้ามาภายในแผ่นสะกดวิญญาณ หลงเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณของ จูเยี่ย เท่านั้น...
“ที่เหลือ เจ้าก็หัดเรียนรู้การใช้งานเอง ข้าคร้านจะอธิบาย...” เฒ่าชีเปลือย โยนแผ่นป้ายให้ ซุน ประหนึ่งไม่ค่าอันใด แต่ ซุน รู้ดีว่าในตอนนี้ แผ่นสะกดวิญญาณ มีพลังไม่ด้อยไปกว่าศาสตราระดับสูง เป็นการบ่งชี้ความสามารถที่เกือบจะไร้ขอบเขตของ เฒ่าชีเปลือย...
สายตาของ ซุน ที่จดจ้อง เฒ่าชีเปลือย อดไม่ได้ที่จะชื่นชม เพียงแค่มิกล่าวออกมาเท่านั้น... ซุน มองเห็นแผ่นสะกดวิญญาณนี้ ถูกสลักอักขระขนาดเล็ก 10 ตัวอักษร โอบล้อมอักขระขนาดใหญ่ 1 ตัวอักษร เปรียบเสมือนวิญญาณอารักษ์ทั้ง 10 ตน ที่ควบคุมกองทัพวิญญาณขนาดใหญ่...
ในตอนนี้มีอักษรเพียงหนึ่งตัว ที่มีประกายแสงขึ้นมา
คาดว่าคงเป็นตัวแทนของ จูเยี่ย วิญญาณอารักษ์ตนที่หนึ่ง
“นายท่าน หากมีสิ่งใด ก็ขอให้เรียกใช้ได้ทันที...” จูเยี่ย กล่าวพลางประสาน ยอมรับ ซุน ให้เป็นนายเหนือตน...
เด็กหนุ่ม ประสานมือตอบรับ...
“เรื่องพันธสัญญาของเรา ท่านจูเยี่ย โปรดวางใจ เมื่อไปถึงเมืองหลวง ข้าจะเร่งตามหาตระกูลจูของท่านในทันที... แม้ข้าในตอนนี้ยังมิได้ร่ำรวยล้นฟ้า และมีชื่อเสียงมากมาย แต่ภายภาคหน้าข้าจะต้องขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่าเดิมให้จงได้...”
จูเยี่ย เผยรอยยิ้มตอบรับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอณูวิญญาณ เลือนหายเข้าไปในแผ่นสะกดวิญญาณ... ซุน มองแผ่นป้ายพลางถอนหายใจยาว แม้จะยอมรับว่านี่เป็นหนึ่งในเส้นทางการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเส้นทางที่น่าสะพรึงกลัว และโหดร้ายอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าภายภาคหน้า ซุน จะต้องสะกดกองทัพดวงวิญญาณอีกมากมายเพียงใด...
หลังจบเรื่องดวงวิญญาณทั้งหมด ซุน ก็หันกลับมายังบุคคลทั้ง 3 ที่เวลานี้กำลังมอง ซุน ด้วยสายที่แปลกประหลาด ทั้งยังมีเสียงซุบซิบเล็ดรอดออกมาด้วย... เด็กหนุ่ม เกาศีรษะเบา ๆ ท่าทีเขินอาย ไม่แปลกใจอะไรนัก ในเมื่อทั้งสามมองไม่เห็นดวงวิญญาณอย่างที่ ซุน ได้เห็น ก็ย่อมเข้าใจว่า ซุน เหมือนคนวิปลาสเป็นธรรมดา...
“ออกเดินทางกันต่อเถอะ... อีกไม่ไกลก็จะถึงหัวเมืองฝั่งตะวันออกแล้วมิใช่หรือ?!” ซุน กล่าวโพล่งขึ้น เปลี่ยนบรรยากาศที่ทั้งสามคนจ้องมอง...
ทั้งสามแสดงท่าทีเอิกเกริกเล็กน้อย พยายามกลับเกลื่อนท่าทีและสีหน้า ก่อนทั้ง 4 คน จะเดินทางฝ่าทะเลทรายต่อไปโดยไร้พาหนะ ใช้เวลาอีกร่วมสองชั่วยาม กว่าที่จะถึงหัวเมืองฝั่งตะวันออกตามที่มุ่งหมาย...
.........................................
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว