“เหมือนจริง ๆ นั่นแหละ… ทั้งรูปร่าง ใบหน้า สีผม ทุกอย่าง กระทั่งรอยยิ้มใสซื่อไร้เดียงสา”
“เขายังอยู่ไหม?”
“ไม่อยู่แล้ว เหลือแค่ลูกหลานไม่ได้เรื่องของเขา… ที่คอยผลัดเวียนกันสวมมงกุฎ”
“ช่างเถิด อดีตมีไว้ขับขาน มันอาจมีความหมายกับข้า แต่หาได้มีความหมายต่อเจ้าอีก”
เสียงปะทะของโลหะยังไม่ทันจาง เสียงม้าสะบัดบังเหียนก็ดังแทรกขึ้น
คาราวานที่เคลื่อนผ่านถนนเริ่มหยุดชะงัก บางคนรีบคว้ามือเด็กหลบเข้าข้างทาง พ่อค้าแม่ค้าหยุดขายแล้วหันมองต้นเสียงอย่างตื่นตระหนก เสียงกระซิบดังเป็นระลอก ก่อนจะบานปลายกลายเป็นความโกลาหลเล็ก ๆ
ผู้คนเริ่มแตกกลุ่ม ถอยห่างจากวงต่อสู้ บางคนดึงผ้าคลุมขึ้นปิดหน้า บางคนรีบตวัดเชือกล่ามสัตว์พาหนะให้แน่นขึ้น ริมทางไกลออกไป หนูน้อยสองคนชะเง้อมองจากหลังเกวียน สีหน้าสลับกันระหว่างตื่นตระหนกกับอยากรู้อยากเห็น
ทุกอย่างรอบข้างดูช้าลง สวนทางกับชายปริศนาที่ขยับฉับพลัน เบี่ยงหลบคมหอกของมาลิกที่พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง โลหะคมกล้าเฉียดผ่านหน้ากาก กรีดเป็นรอยบาดลึกเกือบแตะผิวแก้ม แต่ผู้สวมยังพลิกตัวหลบได้ ก่อนตั้งกายขึ้นช้า ๆ
แผลเก่าบริเวณแก้มซ้ายที่พาดยาวไปจนถึงตอหูแปลบขึ้นมา ความเจ็บปวดแล่นขึ้นศีรษะ จนลมหายใจสะดุด หรี่ตาลง จับจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ละวาง
แสงสุดท้ายของวันสะท้อนสีผมแดงเพลิงอย่างชัดเจน ดวงตาสีมรกตนิ่งลึก เยียบเย็น ท่วงท่าการจับหอกไม่เพียงมั่นคง แต่ยังน่าครั่นคร้าม ไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มมากฝีมือ หรือยอดทหารเอกที่มีอยู่ดาษดื่น ความรู้สึกลึก ๆ สัมผัสได้ถึงร่องรอยของวีรชนในตำนานเก่า ผู้เคยสั่นสะท้านผืนพิภพ
ชื่อหนึ่งแล่นวาบขึ้นมาในห้วงคิด
‘ลูเซียง เลอ กร็องต์’
ดวงตาหลังหน้ากากเบิกกว้างไม่รู้ตัว นิ้วมือที่จับกริชสั่นระริกไม่เป็นจังหวะ อารมณ์หลั่งทะลักเหนือการควบคุม เสียงในลำคอแหบแห้ง คล้ายถูกทุบด้วยความทรงจำหนักหน่วง
“...เป็นไปไม่ได้”
เสียงนั้นแหบต่ำ ขุ่นมัว ดังลอดผ่านไรฟันที่กัดแน่น กล้ามเนื้อทั่วร่างตึงเครียด เงาสั่นของอารมณ์แล่นผ่านดวงตาจนวูบไหว พร่ามัวไปด้วยแรงโทสะที่สั่งสมลึกในอก
“หอกนั่น… ดวงตานั่น… สีผมนั่น…”
แต่ละคำแทบหลุดออกมาพร้อมลมหายใจ ทุกส่วนบนร่างของคนตรงหน้า ไม่ใช่แค่คล้าย แต่เป็นคนเดียวกับที่เขาเคยจดจ้องเมื่อนานมาแล้ว
“ลูเซียง…”
คนปริศนาคำรามต่ำในลำคอ สองเท้าถีบยันพื้น พุ่งตัวเข้าไป ทิ้งทุกท่วงท่าอวดโอ่ที่เคยมี เข้าจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง หนักหน่วง แต่ยังแฝงไว้ด้วยความเฉียบคม ภายใต้ประสบการณ์อันยาวนาน
คมกริชเหวี่ยงฟาดอย่างไร้ปรานี เสียงโลหะหวดฝ่าอากาศวูบวาบ ขณะที่หอกสะบัดรับแทบจะในจังหวะเดียวกัน ปลายหอกกระทบใบมีดเกิดเสียงสะท้านสะเทือน
มืออีกข้างของมาลิกกระชับยัสมินแนบอกไม่ต่างจากอวัยวะหนึ่ง ส้นเท้าเสียดไถดินเมื่อผละถอยครึ่งก้าว พลิกข้อมือแกร่ง เบนปลายหอกขึ้นรับการโจมตีจากด้านข้าง แทงสวนกลับอย่างเฉียบพลัน ไม่มีจังหวะขาดเกิน ดุจหอกในมือคือส่วนหนึ่งของร่างกาย
เสียงเหล็กปะทะกันต่อเนื่อง ฝุ่นตลบขึ้นตามแรงปะทะ องครักษ์หนุ่มทั้งปัด ผลัก และแทงสวนในจังหวะเดียวกัน ทุกกระบวนท่าช่างประณีตดั่งบทบรรเลง เหมือนอีกฝ่ายที่รุกใส่กำลังถูกควบคุมให้เต้นรำไปรอบ ๆ ตัวเขา
ใบหน้าของมาลิกที่สะท้อนในดวงตาของคนปริศนา ยังคงเรียบเย็น เฉยชา จนดูเหมือนไม่รับรู้ว่าเบื้องหน้าคือศัตรูผู้หมายชีวิต
หากเบื้องหลังความนิ่งนั้น หาได้ว่างเปล่าไม่
สายตาคอยแต่จะลอบมองเด็กสาวในอ้อมแขน ลมหายใจของนางเริ่มพร่าบาง บาดแผลลึกทำให้เสียเลือดไม่น้อย ในหัวเต็มไปด้วยความกังวล วิงวอนต่อทวยเทพให้เมตตา เฝ้าคิดหาทางหลีกหนีจากการต่อสู้ที่ไร้ความหมาย
…และนั่นคือสิ่งที่จุดไฟให้ชายปริศนาเดือดพล่านยิ่งขึ้น
สายตาคู่นั้น… สายตาที่ไม่แม้แต่จะมองเห็นเขาในฐานะ ‘ศัตรู’ คือสิ่งเดียวกันกับที่เขาเคยเผชิญ บนสนามรบที่เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณ ทหารไมอานับไม่ถ้วนล้มตาย ทับถมกันกับทหารกล้าแห่งลูนาเรีย
ปฐมกษัตริย์ผู้นั้นเคยทำสิ่งเดียวกัน ช้อนร่างของใครบางคนไว้ในอ้อมแขน แล้วมองผ่านเขาไปราวกับไม่มีตัวตน ไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่อะไรเลย เหมือนเป็นเพียงก้อนกรวด หรือต้นหญ้าที่ไร้ความหมาย… ก่อนจะฟาดคมอาวุธลงบนใบหน้า ฉีกจากแก้มถึงกกหูซ้าย ใบหูขาดหายไปพร้อมเกียรติและศักดิ์ศรีที่ไม่อาจทวงคืน
เสียงฟันฟาดดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกริชอีกเล่มชักออกจากใต้ผ้าคลุม
ชายปริศนาเงื้อกริชในมือทั้งสอง วาดคมมีดเฉียงลงเป็นครึ่งวง ฟันแทงสลับซ้ายขวา ทั้งสูงต่ำไม่หยุดชะงัก พลันตีโอบจากด้านข้าง ก่อนตวัดข้ามศีรษะดุจพายุคลั่ง หมายกระชากสายตานั้นให้หันมาจับเขาแต่เพียงผู้เดียว
…แต่ไม่เป็นผล
ดวงตาหลังหน้ากากลุกวาบ มือที่กุมด้ามกริชแน่นจนเส้นเลือดปูดนูน เสียงคำรามของคำว่า ‘ลูเซียง’ ถูกกลืนซ้ำซ้อน รัวเร็ว และบิดเบี้ยว จนแทบไม่เป็นภาษา เหมือนความแค้นพลุ่งพล่านจนอัดแน่นเกินกว่าจะระบาย
มาลิกย่อตัวต่ำ หลบปลายกริชที่หวดเฉียดลำคอ เหวี่ยงปลายหอกตวัดผ่านแนวกรามของชายปริศนาเฉียดฉิว ฉวยโอกาสพริบตาพุ่งเข้าถีบเต็มใบหน้าอย่างเต็มแรง จนฝ่ายตรงข้ามผงะหงาย กลิ้งไปตามแรงปะทะ
“หลีกทางข้า ก่อนที่ข้าจะหมดความเมตตาต่อเจ้า” องครักษ์หนุ่มกร้าว ความขุ่นแค้นแทรกในน้ำเสียง
แม้เพียงครึ่งนาทีของการต่อสู้ เขาก็เห็นได้ชัดเจน อีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา ร้ายกาจเกินคาดด้วยซ้ำ แต่ยังไม่ใช่คู่มือของเขา หากไม่มียัสมินในอ้อมแขน การต่อสู้คงจบอย่างง่ายดาย
คนปริศนาเชิดหน้าขึ้น แววตาหลังหน้ากากยังไม่ยอมจำนน เปลวเพลิงแห่งความแค้นยังคงส่องวาบ หมายแลกชีวิตกับชื่อที่เขาคำราม แต่ก่อนความคิดจะดำเนินไปถึงไหน เสียงเคลื่อนไหวจากด้านข้างก็เรียกสติกลับมา
ริมกำแพงเตี้ยไม่ไกล ทหารยามสองคนเพิ่งวิ่งมาถึง หยุดยืนอยู่ปลายสายตา มองหน้ากันอย่างลังเล แล้วยกแตรทองเหลืองขึ้น เตรียมส่งสัญญาณ
เพียงแวบเดียว โดยไม่มีการเตือน ก่อนเสียงร้องของมาลิกส่งไปถึง มีดขว้างสองเล่มถูกปลดจากร่องสายรัด พุ่งออกจากมือ เสียบคอทั้งคู่แทบจะพร้อมกัน โดยไม่คิดหันมองสองร่างเคราะห์ร้ายที่ทรุดลง ดวงตาวาวโรจน์ใต้หน้ากากยังจับจ้องไปยังเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว
เด็กหนุ่มผมแดง… ‘บุตรของพระเป็นเจ้า’
“ฝ่าบาท… จำข้าไม่ได้หรืออย่างไร…? เสียงข้าไม่คุ้นหูท่านบ้างเลยหรือ?”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว