Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)-บทที่ 83 : สีหน้าภายใต้หน้ากาก

โดย  Luluca

Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)

บทที่ 83 : สีหน้าภายใต้หน้ากาก

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่กึกก้องไปทั่วจัตุรัส บางสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดพลันบังเกิด

ร่างเล็กของมือสังหารผู้บันดาลชัยโอนเอนไปด้านหนึ่ง ก่อนล้มลงกระแทกพื้นหินกระด้างอย่างไร้เรี่ยวแรง สิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นชัด คือปลายลูกธนูที่ปักคาอยู่บนร่างของนาง

เสียงโห่ร้องเมื่อครู่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบงัน สายตานับร้อยจับจ้องร่างที่นอนนิ่ง หลายคนตกตะลึง บางคนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ขณะที่สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความสับสนและสงสัย ราวกับพวกเขายังคงคาดหวังให้ร่างที่ล้มลงนั้นขยับตัวขึ้นมาอีกครั้ง

ความเงียบหนักอึ้งค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยเสียงอื้ออึงของเหล่าฝูงชน

อัศวินนายหนึ่งก้าวออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะและความเคียดแค้น เขาคว้าดาบแน่น ก่อนกระโจนเข้าหามือสังหารสาวที่ยังนอนแน่นิ่ง

“....แกต้องชดใช้!”

ยังไม่ทันที่ปลายดาบจะฟาดลงยังร่างไร้ทางสู้ กริชในมือของเฟโรสเสียบทะลุลำคอเขาในพริบตานั้น กระชากกริชออกอย่างเลือดเย็น เหวี่ยงร่างนั้นออกให้พ้นสายตา ตวัดดาบชี้สะกดยังเหล่าอัศวินที่เหลือ เป็นสัญญาณว่าเขาจะไม่ปรานีใครก็ตามที่ก้าวเข้ามา

ไม่เสียเวลานานกว่าชั่วอึดใจ ชายหนุ่มมือสังหารรีบเข้าประคองร่างของคู่หูตัวน้อย ดวงตาคมกริบกวาดมองบาดแผลอย่างรวดเร็ว ลูกธนูเสียบทะลุหลังออกชายโครง… หัวใจของเขาเต้นรัวแรง จ้องมองอย่างเคร่งเครียด สองมือหักก้านธนู

พลัน เสียงกรีดลมดังแหวกอากาศมาแต่ไกล เสียงเดียวกับศรเพชฌฆาตดอกนี้

เฟโรสสะบัดกายหลบวูบ ปล่อยให้ศรดอกแรกพุ่งเฉียดไหล่ ยกดาบขึ้นฟัน สะบัดเปลี่ยนวิถีของศรดอกที่สองจนเบี่ยงออก พุ่งเข้าเสียบร่างของอัศวินเคราะห์ร้าย

ท่ามกลางฝูงชนที่เริ่มสับสนกับสถานการณ์ หญิงสาวคนหนึ่งหวีดร้องออกมา เฟโรสกวาดตามองรอบตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาวาวโรจน์คะเนถึงตำแหน่งของผู้ยิง …ไกลออกไปบนเนินผาของแผ่นดินใหญ่ ระยะทางกว่าพันเมตร

ยังไม่ทันประเมินต่อ สะกดสายตาเห็นลำแสงสีน้ำเงินกำลังพุ่งตรงมาอีก

ทันใดนั้นเสียงดัง ปัง พร้อมควันหนาแน่นพวยพุ่งออกมาท่วมท้น บดบังทัศนวิสัยของทุกคนในชั่วพริบตา พร้อมกับใครคนหนึ่งพรวดเข้ามา

“เจ้าคาดไม่ถึงแน่นอน ว่าพลาธิการอย่างข้าจะทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย”

เสียงหยอกล้อผิดสถานการณ์นั้นแสนคุ้นเคย โทมัสยิ้มกว้างเผยฟันเรียงตัวแน่น

เฟโรสไม่ได้ตอบทันที เขาโอบอุ้มไอชาขึ้นแนบอก แขนข้างหนึ่งรองรับบาดแผลที่ชายโครงของนางแน่น ดวงตาใต้หน้ากากเหลือบมองชายหนุ่มผู้มาพร้อมม่านควัน

“เจ้านี่มันน่าทึ่งกว่าที่คิดซะอีก”

เขากล่าวชมเชยเสียงเรียบ แต่พลาธิการหนุ่มรู้ดีว่าในน้ำเสียงนั้น แฝงไว้ด้วยบางอย่างที่ตึงเครียดจนแทบสะกดไว้ไม่อยู่… หลังหน้ากาก มือสังหารหนุ่มนั้นกัดฟันแน่น ความรู้สึกหนักอึ้งทวีขึ้นทุกวินาทีที่เลือดของไอชาเปื้อนเสื้อเขา

ใต้หมอกควันและเสียงโหวกเหวกทั้งจากชาวเมืองและเหล่าอัศวิน เท้าสองคู่ก้าวฉับ ๆ อย่างรวดเร็วโดยมีโทมัสนำหน้า

“เฮ้ ทางนี้!” โทมัสบ่ายหน้า ขณะเร่งก้าวไปข้างหน้า

“เจ้าหลงทิศแล้ว” เฟโรสกล่าวทัก

“ข้าไม่ได้หลง แต่เจ้าจะไปทางนั้นไม่ได้”

“ข้าไม่มีเวลามาล้อเล่นกับเจ้า”

“ถ้ากลับไปที่ป้อมเอลล์ พวกเจ้าตายแน่”

แววตาที่แสดงบนช่องมองของหน้ากากฉายชัดถึงความสงสัย

เฟโรสจ้องเพียงอึดใจก่อนตัดสินใจเชื่อในคำพูดนั้น เร่งรีบเคลื่อนตัวตามกันไปอย่างไม่รอช้าท่ามกลางควันหนาทึบ จนเมื่อออกพ้นม่านควัน จึงลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?” มือสังหารหนุ่มถาม น้ำเสียงผสมผสานระหว่างความสงสัยและความหวั่นใจ

“บางทีเราน่าจะถูกแทงข้างหลัง”

คำตอบนั้นทำเอาชายหนุ่มกระชากหน้ากากออกทันที คิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตาตาสะท้อนความงุนงงและปฏิเสธ ทวนถามเสียงต่ำ ทั้งฉงนและไม่อยากเชื่อ

“ถูกแทงข้างหลัง? เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเราถูกทรยศ?”

“ไม่รู้สิ แต่ข้าเห็นกองทหารของไมอายืนเรียงแถวหน้าสะพานบูล็องต์”

โทมัสกล่าวเสียงเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“แถมบนเชิงเทินก็มีอัศวินไมอาเต็มไปหมด ไม่พอ อีกฝั่งบนผานั่น คนที่ยิงพวกเจ้าด้วยศรอาคมก็คือฌอง ข้าเห็นเต็มสองตา”

เฟโรสจ้องมองโทมัส ดวงตาสั่นไหว เขาอยากปฏิเสธ แต่ทุกอย่างที่ได้ยินมีเหตุผล มีน้ำหนัก ทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว ตะโกนย้ำว่าเป็นเรื่องจริง นึกสลัดความคิดนั้นทิ้ง แต่สัมผัสแผ่วเบาที่เสื้อของเขาทำให้ต้องก้มลงมอง

“ขะ… ข้า… หิ- หิว น้ำ…”

เสียงแผ่วเบาหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากซีดเซียว ดวงตาที่เคยส่องประกายของไอชา บัดนี้หม่นลงจนแทบไร้แสง ร่างเล็กในอ้อมแขนสั่นเทา แผ่วเบาราวกับเปลวเทียนที่พร้อมจะดับลงได้ทุกเมื่อ

หัวใจของเฟโรสบีบรัด ความกังวลพุ่งทะยานขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ กวาดตามองรอบตัวอย่างกระวนกระวาย ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยเงาของความสิ้นหวัง แต่ก่อนที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองสติแตกไปมากกว่านี้ โทมัสได้ยื่นถุงน้ำให้ แล้วตบบ่าเตือนสติ

ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามไป เฟโรสกระชับร่างของไอชาแน่น เท้าทั้งสองก้าวพุ่งไปข้างหน้า ภายใต้ความกระวนกระวายที่ก่อตัวขึ้นทุกวินาที เสียงฝีเท้าหนักแน่นก้องไปตามกำแพงหินของตรอก ทุกก้าวที่วิ่ง เลือดของเด็กสาวยิ่งไหลซึมลงเสื้อของเขา

จนมาถึงหัวมุมตรอกแคบมือสังหารหนุ่มจึงหยุดเท้า

“เจ้ากำลังจะพาข้าไปไหน?”

“หนีขึ้นเรือกลับเรซาเรีย” โทมัสตอบเรียบ ๆ โดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย

เฟโรสถึงกับหยุดชะงัก เสียงของเขาแข็งกร้าวขึ้นทันที

“เจ้าจะบ้าเหรอ!? ไอชาต้องการหมอ!!”

สองมือของมือสังหารหนุ่มอุ้มร่างน้อย ๆ แนบอกแน่น บ่ายหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง จำได้ว่าทางนั้นมีสถานพยาบาลอยู่ แต่เพียงแค่ก้าวแรก หนุ่มผมบลอนด์กลับขยับเข้ามาขวาง ถลึงตาและกระชากเสียงใส่อย่างดุเดือด

“เจ้าสิบ้า!! จะเป็นโรงหมอ หรือหอบำบัดก็เถอะ ถ้าเจ้าไปที่นั่นก็ไม่ต่างจากยื่นคอไปวางบนกิโยติน!”

“เจ้าบอกให้ข้ากลับเรซาเรีย… ทั้งที่ไอชาไม่มีทางทนจนไปถึงเรซาเรียได้!!” เฟโรสกัดฟันแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ ความสิ้นหวัง และแรงกดดันที่ปะทุขึ้นพร้อมกัน “เจ้ากำลังจะปล่อยให้นางตาย!!!”

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไงเล่า!!?” โทมัสตะโกนกลับ

“เจ้าแค่หุบปากซะ!! แล้วไสหัวไป!!”

“เจ้าควรยอมรับซะที ภารกิจล้มเหลวแล้ว! ทางเดียวคือเราต้องไปจากที่นี่!”

“หุบปากซะ!! อย่ามาขวางทางข้า!”

“ไม่เอาน่าเพื่อน!”

เสียงนั้นพยายามสงบศึก แต่มีเพียงความโกรธของมือสังหารหนุ่มที่เดือดพล่านอยู่เต็มอก

“เจ้าไม่ใช่เพื่อนข้า ไสหัวไปก่อนที่ข้าจะบั่นคอเจ้า!!!



ยามเมื่อฟ้ากลืนกินแสงสุดท้ายของวัน เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วผืนนภา

สายลมกระโชกแรง พัดใบไม้แห้งกระจัดกระจายทั่วท้องถนน เปลี่ยนโลกทั้งใบให้เงียบเหงาจนน่าหวาดหวั่น ขณะที่เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายจากฟ้าสีหม่น แผ่ความชื้นเยียบเย็นไปทั่วผืนหินที่วางตัวเบียดเสียด ประหนึ่งเหล่าทวยเทพกำลังร่ำไห้ให้บางสิ่ง

น้ำฝนเย็นเฉียบไหลรินไปตามร่องหินน้อยใหญ่ หยดน้ำรวมตัวเป็นสาย บ้างหล่อเลี้ยงตามทางลาด บ้างไหลซึมระหว่างช่องแตกของผิวหินที่ถูกกัดกร่อนตามกาลเวลา เป็นเหมือนความคิดที่แตกกระจัดกระจายของผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางพายุอารมณ์

บนถนนทอดยาวเลียบหน้าผาสูงชันของเกาะใหญ่ ไม่ไกลจากป้อมปราการเอลล์นัก มาร์กีแห่งไวน์แอตเชิดหน้าขึ้นช้า ๆ ลดคันศรลงอย่างเงียบงัน ดวงตาสีน้ำเงินของเขาที่เคยทอประกายด้วยอำนาจจากมณี บัดนี้หรี่ลง จับจ้องมองลึกไปยังเมืองท่าที่เงียบสงบ ปล่อยให้น้ำฝนไหลรินผ่านใบหน้าเย็นชืด

“ไฉนท่านจึงหยุดมือเสียเล่า” เสียงหวานสูงดังขึ้นจากใครบางคนที่ยืนเคียงข้าง นางลดกล้องส่องทางไกลลง แล้วเหลือบมองบุรุษข้างกาย “น้ำฝนไหลรินเข้าตาท่านหรืออย่างไร?”

ขุนนางหนุ่มนิ่งเงียบแทนคำตอบ ขณะหญิงสาวผู้นั้นมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะในลำคอ

“ข้าเห็นแล้ว มาร์กีแห่งไวน์แอตช่างอ่อนแอยิ่ง เพียงลูกแกะอ่อนระโหยสองตัวยังมิกล้าลงมือ”

เมื่อเห็นผู้สูงศักดิ์มิคิดเปิดปากนางจึงลากเสียงในลำคอ ชำเลืองมองอีกครั้ง ประสานมือไว้หลังบั้นเอว เอียงใบหน้าเล็กน้อยอย่างแสร้งใคร่ครวญ แล้วหมุนตัวเดินออกพร้อมทิ้งถ้อยคำหนักหน่วงลงกลางสายฝน

“ข้ามองเห็นภาพนั้น ชัดเจนที่สุด ท่านจะถูกพิพากษาโดยลูกแกะสีนิล… อย่างสาสมใจข้านัก สาสมยิ่งกับความไร้พลังของท่าน ข้าจะรอชมจุดจบของนักรบใจเสาะเช่นท่าน เมื่อวันนั้นมาถึง”

น้ำเสียงบอกเล่านั้นสดใสกังวาน แฝงด้วยความเยือกเย็น นางค่อย ๆ พูดทีละน้อย เว้นจังหวะ และย้ำถ้อยคำอย่างเจตนา เหมือนกำลังเพลิดเพลินที่ได้เหยียบย่ำ กระทืบซ้ำลงบนความภาคภูมิ และเกียรติของเขา

ขอบกรามของขุนนางหนุ่มขบแน่นจนเห็นเป็นสันนูน ดวงตาทอประกายส่องแสงสว่าง จ้องมองแผ่นหลังของบุรุษสองคนที่วิ่งไปตามถนน ยกคันศรขึ้นฉับพลัน น้าวสายยิงศรสังหารพุ่งไปกลางสายฝน



รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว