Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)-บทที่ 37 : ป้อมปราการคานาอัน

โดย  Luluca

Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)

บทที่ 37 : ป้อมปราการคานาอัน

“เฟโรสบอกข้าว่าท่านมาจากลูนาเรีย” ไอชาเอ่ยถาม พลางหยิบมะกอกดำใส่ปากเคี้ยวส่งเสียง กรุบกรุบ สบตากับญานิน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบขนมปังแผ่นแบนมาวางบนจาน

“ข้าเดินทางไกลมาถึงที่นี่ จนตอนนี้แทบลืมกลิ่นสายลมของลูนาเรียไปเสียแล้ว หากนับเวลาชีวิตบนผืนทราย คงราวสิบปีได้กระมัง”

หญิงสาวตอบช้า ๆ น้ำเสียงเนิบเปล่งผ่านภาษาฟาริสสำเนียงชั้นสูง ระหว่างเลือกหยิบผักต้มในจานใส่ปาก ท่าทางคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องราวอย่างไร

“ท่านมือสังหารคงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับข้าอยู่บ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย”

“เฟโรสบอกข้าแค่นั้น ท่านช่วยเล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟังได้ไหม”

ญานินนิ่งเงียบชั่วขณะ สายตาย้ายมามองโซเอ้ที่หั่นเนื้อแพะอย่างแคล่วคล่อง ก่อนจะส่งจานใส่เนื้อชิ้นพอคำให้ไอชา

“ข้าไม่ใช่น้องสาวตัวน้อยของเจ้า หยุดทำอย่างนี้ซะ”

“แต่เจ้าเป็นเพื่อนของข้า แล้วข้าก็อยากดูแลเจ้าด้วย”

โซเอ้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มซุกซน รู้ดีว่าไอชาอาจเงียบ ๆ หรือพูดจาห้วน ๆ จนดูเหมือนรำคาญใจอยู่ตลอด แต่แท้จริงแล้วนั่นคือวิธีแสดงความจริงใจของนาง

“เจ้าผอมลง”

“เจ้าคิดไปเอง”

“ข้าดูออก เจ้าผอมลงแน่ ๆ ดังนั้นเจ้าต้องกินเยอะ ๆ นะ”

ว่าแล้วโซเอ้จึงเพิ่มข้าวหมกเนื้อให้อีก เพื่อย้ำให้แน่ใจว่าสหายรักของนางจะได้รับอาหารเพียงพอ ขณะที่ไอชาหน้ายุ่ง มองข้าวที่ถูกตักใส่จานของตน

ทั้งหมดอยู่ในสายตาของญานิน นางมองภาพความสนุกสนานและความอบอุ่นตรงหน้า ประเมินบางอย่างในใจ ท่ามกลางเสียงช้อนโลหะกระทบจานกระเบื้องที่ดังสลับกับคำพูดของทั้งคู่ ว่าแล้วจึงตัดสินใจเล่าถึงเรื่องราวของตน

“ข้ารับคำสั่งมาจากแกรนด์มาสเตอร์แห่งลูนาเรีย ให้เดินทางมาที่นี่เพื่อแฝงตัว และเฝ้ารอโอกาสบางอย่าง”

เพียงแค่เกริ่นนำ ไอชาและโซเอ้ก็ตาโตขึ้นทันที คำถามหลากหลายปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ ญานินยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วจึงกล่าวต่อ

“เริ่มจากการสร้างประวัติปลอม ข้าคือคุณหนูจากตระกูลชายขอบของวนาวาสี ผู้หลงใหลในการเผชิญโลกกว้าง จนตัดสินใจหนีออกจากบ้าน”

นางเล่าไปพลางมองสองสาวที่กำลังจับจ้องตาไม่กะพริบ ปากของไอชาเคี้ยวเนื้อแพะตุ้ย ๆ สีหน้าเหมือนเด็กล้อมวงฟังนิทานอย่างเพลินใจ

“ข้าพูดจริงนะ นี่เป็นบทบาทที่ข้าแสดงได้ดีทีเดียวเชียว”

“ท่านเป็นคุณหนูจริงไหม? ข้าหมายถึงก่อนที่ท่านจะมาที่นี่” โซเอ้ถามอย่างอดสงสัยไม่ได้

ญานินหัวเราะเบา ๆ พร้อมตอบกลั้วรอยยิ้ม

“ข้าเป็นสายลับของภาคีมือสังหารแห่งลูนาเรีย อาจไม่ได้มีชาติตระกูลเป็นที่รู้จัก แต่ชีวิตของข้าสุขสบายไม่ต่างจากคุณหนู”

โซเอ้พยักหน้าช้า ๆ ก่อนบอกอีกฝ่าย

“ท่านเล่าต่อเถอะ”

หญิงสาวผมดำยาวสลวยเอนหลังกับพนักพิง จากนั้นจึงเล่าต่อขณะรอยยิ้มยังประดับบนดวงหน้า

“เมื่อข้ามาถึงที่นี่ จุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่คือการเป็นนักเรียน ข้าใช้เวลาหลายปี จนได้ทำงานในวังของชีคแห่งฮาซาน จากผู้ช่วยเสมียน ไต่เต้าจนได้เลื่อนขั้นเป็นเสมียน ได้ตำแหน่งเพิ่มคือผู้ช่วยนักการบัญชี”

นางเอ่ยพลางทอดสายตาออกไปไกล เหมือนกำลังทบทวนความทรงจำ แม้ว่าไอชาและโซเอ้จะนึกภาพไม่ออกว่าเสมียนและนักการบัญชีมีหน้าที่อะไรบ้าง แต่ความสนใจยังคงไม่ลดลง

“พวกเขาชื่นชอบข้าและยินดีในงานที่ข้าทำ ส่วนข้าเองก็เริ่มสนุกกับการทำงานเช่นกัน จนหลายครั้งที่ข้าเกือบลืมหน้าที่ของตนไปเสียแล้ว”

ญานินเว้นจังหวะ รอยยิ้มบางจางลง ขณะที่แววตาฉายแววครุ่นคิด

“กระทั่งวันหนึ่ง... ท่านชีคซึ่งโปรดปรานข้ามานาน ได้ขอให้ข้าเป็นนางสนมของเขา”

คำพูดนั้นทำเอาสองสาวที่นั่งฟังเลิกคิ้วขึ้นแทบพร้อมกัน

“ท่านตอบตกลงทันที” โซเอ้โพล่งขึ้น

“ท่านต้องปฏิเสธแน่” ไอชาว่า

คำคาดเดาที่ต่างกันสุดขั้วจากทั้งสอง ทำเอาญานินหลุดหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นแตะแก้วน้ำชา ยิ้มเอ็นดู ดวงตาสวยกวาดมองทั้งคู่ที่คงอยากได้คำตอบเต็มแก่ ทิ้งจังหวะครู่หนึ่งจึงว่า

“ข้าเป็นสายลับมากประสบการณ์ บาร์บารีเปรียบดั่งประภาคารที่ส่องแสง ชี้นำข้าในยามมืดมน… เป็นเช่นนั้นเสมอมา”

คำตอบแฝงความนัยทำเอาสองสาวที่นั่งฟังอยู่หน้ายุ่ง



“ดังที่ข้าเล่ามาก่อนหน้า ข้าทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ชีคแห่งฮาซานมาหลายปี แต่ไม่นานมานี้ เขาตรอมใจจนล้มป่วย... เหตุจากบุตรสาวของเขา”

สายตาของนางมองต่ำลงยังจานอาหารที่ว่างเปล่า

ญานินเล่าว่า บุตรสาวคนโตและคนเล็กของชีคแห่งฮาซานได้หายตัวไป หลังแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง วันหนึ่งชาวเมืองให้เบาะแสว่า พวกนางถูกอัศวินชาวไมอาฉุดคร่าไปกระทำย่ำยี กรุ้มรุมสังหารอย่างโหดเหี้ยม และนำร่างไร้วิญญาณไปกลบฝังไว้ใกล้ค่ายทหารของไมอา ข่าวร้ายนั้นเป็นเหตุให้ชีคแห่งฮาซานล้มป่วยลงอย่างหนัก ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างเหม่อลอย ไม่สนใจสิ่งใดอีก

“คุณหนูทั้งคู่เป็นเด็กดี พวกนางซุกซน เล่นสนุกไปตามประสา ไม่ควรต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้นเลย”

เมื่อสิ้นสุดคำพูด บรรยากาศสนุกสนานในห้องพลันเงียบลงทันที ชั่วแวบหนึ่ง ไอชาลอบสังเกตเพลิงแค้นลุกไหม้อยู่ในดวงตาของสตรีชนเผ่าอสรพิษ



“ไม่นานมานี้ ข้าได้รับคำสั่งโดยตรงจากแกรนด์มาสเตอร์ ให้ช่วยเหลือแกะทะเลทรายแห่งฮาซานที่ถูกทหารไมอาบุกโจมตี”

เสียงของญานินที่เปล่งออกมานั้นเรียบเย็น ทว่าแววตาของนางยังฉายความเจ็บปวดที่ยากจะลบเลือน

“ข้าแฝงตัวเข้าช่วยเหลือพวกเขาตามคำสั่ง แต่กลับพลาดท่าถูกคมอาวุธ และบาดแผลนั้นกลายเป็นหลักฐานที่ทำให้ข้าถูกจับได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้ สถานะของข้าที่ปิดซ่อนมานานนับสิบปีจึงถูกเปิดโปง… วันนั้น ข้าหนีเอาชีวิตรอด และได้รับความช่วยเหลือจากพวกท่าน”

หลังคำพูดสุดท้ายของนาง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันยาวนาน นานพอที่แต่ละคนจะจมลึกลงไปในความคิดของตน

กระทั่งเสียงหวานดังขึ้น ทำลายความเงียบงันอันน่าอึดอัด

“ข้าเล่าเรื่องของตนจนหมดสิ้น ทีนี้ท่านคงบอกข้าได้แล้ว ว่าเหตุใดความโศกเศร้าจึงประทับบนดวงตางามของท่านไม่เลือนหาย”

ญานินกล่าวถามชัดเจน ตรงไปตรงมา ทิ้งสายตายังยอดมือสังหารตัวน้อยเพื่อขอคำตอบ

“ความเจ็บปวดอันใดหรือที่ครอบงำหัวใจของท่าน?”

แม้ถูกสายตาพุ่งเข้าหา แต่คำถามที่ได้ยินคล้ายกำลังล่องลอยในอากาศ ไอชามองสบตาอีกฝ่าย ก่อนหลุบสายตาลง นิ่งอยู่นาน เหมือนสมุดความทรงจำที่ปิดไว้มานานถูกเปิดออก เกิดเป็นเสียงในอดีตผุดขึ้นในความคิด



“ข้าไม่ได้อยากเป็นมือสังหาร ข้าเจ็บปวดเสมอยามเอาชีวิตใครก็ตาม…”



ไอชาหรี่ตาลงมองต่ำ รอยยิ้มอันแสนอ่อนล้าที่ระบายลงบนดวงหน้าของนาง ช่างไม่คุ้นตาโซเอ้เสียเลย

“บางทีแล้ว สิ่งที่ทำให้ข้าเจ็บปวดที่สุด คงเป็นประภาคารที่ท่านกล่าวถึง”



รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว