ไม่ว่าใคร หากได้เห็นเงิน ได้รับมาโดยไม่ต้องทำอะไรย่อมยินดีทั้งสิ้น ฉู่หานเซิงรับเงินจำนวนนั้นไป หลังจากที่สนทนาตามมารยาทกับลู่จือเหยาครู่หนึ่ง เพียงแต่มุมมองที่มีต่อลู่จือเหยาก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามไปด้วยเช่นกัน
ภายในห้อง ลู่หย่วนเจิงมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะฟังเย่เหลียนหรงพูดกลบเกลื่อนให้เรื่องเบาบางลงว่าต้องการยืมเงินจากเขาจำนวนหนึ่ง
“ต้องการเท่าใด?” ลู่หย่วนเจิงถามเสียงต่ำ
เย่เหลียนหรงกำมือขวา ใช้เล็บข่วนฝ่ามือไม่หยุดด้วยความประหม่า คำถามของลู่หย่วนเจิงทำให้ เย่เหลียนหรงเกิดความหวัง นางยิ้มประจบประแจง พูดจำนวน “หนึ่งหมื่นตำลึง” ออกมาอย่างอึกอัก ทำให้ ลู่หย่วนเจิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล
“หนึ่งหมื่น?” ลู่หย่วนเจิงขมวดคิ้วมุ่น คิดไม่ถึงว่าพอเย่เหลียนหรงเอ่ยปากก็ขอเงินจำนวนมากเช่นนี้ “เจ้าจะเอาไปทำอะไร?”
เย่เหลียนหรงรู้อยู่แล้วว่าลู่หย่วนเจิงต้องถามหาเหตุผล จึงคิดหาข้ออ้างจำนวนมากก่อนที่จะมาถึง นางเดินอ้อมไปด้านหลังลู่หย่วนเจิง ใช้สองมือแตะบ่าและเริ่มนวดเฟ้นเบา ๆ น่าเสียดายที่ลู่หย่วนเจิงมิได้ใจอ่อนเพราะการเอาใจของนาง
“นายท่าน หากมิใช่เรื่องจำเป็นจริง ๆ ข้าคงไม่มาขอร้องท่านหรอกเจ้าค่ะ ขอบอกความจริงท่านก็แล้วกัน ข้ามิได้ใช้เงินจำนวนนี้ แต่นำไปมอบให้พี่ใหญ่ของข้าต่างหาก”
“เขาทำอะไรถึงต้องใช้เงินจำนวนมากขนาดนั้น?!” เย่เหลียนหรงไม่พูดถึงเย่เฉิงหนานก็ยังพอทำเนา แต่พอเอ่ยถึง ลู่หย่วนเจิงก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เขารู้แก่ใจดีว่าเย่เฉิงหนานเป็นคนเช่นไร เย่เฉิงหนานซึ่งยามปกติเอ้อระเหยลอยชาย ทว่าบัดนี้ยังมีปัญญาทำงานในกรมขุนนางได้ เป็นเพราะได้เย่จื้อหัวรวมถึงรัชทายาทช่วยไว้ทั้งสิ้น หากเงินจำนวนนี้ตกถึงมือเขา เช่นนั้นก็เท่ากับเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ มิอาจได้กลับคืนมาอีก
เย่เหลียนหรงซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังร่างสั่นสะท้านเพราะเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันของลู่หย่วนเจิง นางกระตุ้นความกล้า กล่าวกับลู่หย่วนเจิงต่อไป “เขาลงทุนทำการค้ากับผู้อื่นจนขาดทุนและติดหนี้ เรื่องนี้เขาหมดหนทางแล้วจริง ๆ มิเช่นนั้นคงไม่มีหาท่านหรอกเจ้าค่ะ”
หากว่าตามเหตุผล นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เหลียนหรงเอ่ยปากขอเงินจากตน ลู่หย่วนเจิงไม่มีเหตุผลที่จะไม่มอบให้ แต่จนใจที่จำนวนมากเกินไป อีกทั้งยังเกี่ยวพันถึงเย่เฉิงหนาน ทำให้ลู่หย่วนเจิงไม่อยากมอบเงินให้พวกเขาทันที ลู่หย่วนเจิงไม่ต้องการฟังเหตุผลใด ๆ จากเย่เหลียนหรงอีก เขายกมือยับยั้งมิให้นางพูดต่อไป “ข้าขอลองคิดดูก่อน เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
ครั้นเย่เหลียนหรงเห็นความหวังจึงรีบผงกศีรษะให้เขาอย่างหน้าชื่นตาบานและเดินออกจากห้อง ลู่หย่วนเจิงมองแผ่นหลังเย่เหลียนหรง ใช้ความคิดอยู่นาน จากนั้นจึงลุกขึ้นด้วยใบหน้าบึ้งตึงและออกจากห้องไป
ลู่หย่วนเจิงรู้สึกว่าภายในห้องค่อนข้างอึดอัดจึงคิดออกมาสูดอากาศ เดินก้มหน้ามุ่งไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าภายในจวนตามลำพัง
“ท่านพ่อ”
เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ลู่หย่วนเจิงยกศีรษะมอง เมื่องลู่จือเหยาเดินถึงตรงหน้า เขาจึงผงกศีรษะเบา ๆ
“ท่านพ่อ ไยท่านมีสีหน้าไม่สู้ดีถึงเพียงนี้ล่ะเจ้าคะ? ไม่สบายใช่หรือไม่?” ลู่จือเหยาปรากฏตัวที่นี่มิใช่เรื่องบังเอิญ นางซ่อนตัวอยู่ในที่ลับมาตลอด เมื่อเห็นลู่หย่วนเจิงออกมาจึงเดินเข้ามา ลู่จือเหยารู้แก่ใจดีว่าเหตุใดเขาถึงอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ แต่ก็ยังถามลู่หย่วนเจิงด้วยความห่วงใย ทำให้ลู่หย่วนเจิงหาเหตุผลเพื่อคลายความไม่สบายใจได้เสียที
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องห่วง” ลู่หย่วนเจิงตบศีรษะลู่จือเหยา ถามขึ้นมาว่า “มีเวลาว่างหรือไม่? เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่?”
“สิ่งที่ลูกมีก็คือเวลาที่มากล้นเจ้าค่ะ!” ลู่จือเหยาคล้องแขนลู่หย่วนเจิงพลางเดินอยู่เคียงข้าง เมื่อได้ยินลู่หย่วนเจิงสอบถามเรื่องของนางกับหลินอี้หนานอย่างอ้อม ๆ ก็ยิ้มด้วยความเอียงอาย กล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้ท่านจะให้ลูกกล่าวเช่นไรดี หากร้อนใจถึงเพียงนั้นจริง ไม่สู้พวกเราลองไปเยี่ยมน้องหญิงกันดีกว่า วันอภิเษกสมรสของน้องหญิงกับองค์ชายเจ็ดใกล้มากขึ้นทุกที ขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าราชวงศ์ไปแล้ว ต่างจากลูกนะเจ้าคะ”
“เฮ้อ หากเจ้าไม่เอ่ยถึงฉิงเอ๋อร์ก็ดีอยู่หรอก พอเอ่ยถึงนางขึ้นมา…” ลู่หย่วนเจิงมองลู่จือเหยาด้วยสีหน้าบ่งบอกว่ามีความในใจหนักอึ้ง จากนั้นจึงเอ่ยความกังวลของตนออกมาด้วยความลังเล “องค์ชายเจ็ดมีสถานะและอำนาจสูงส่ง รูปโฉมของน้องสาวเจ้ายามนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้ากลัวจริง ๆ นะ”
“ท่านพ่อ ต่อให้น้องหญิงมิได้งดงามเช่นกาลก่อน แต่ข้าคิดว่าองค์ชายเจ็ดยังมิกล้าทำเช่นไรกับน้องหญิงอยู่ดี ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรีของท่านนะเจ้าคะ” ลู่จือเหยาประจบลู่หย่วนเจิงโดยปราศจากพิรุธ ทำให้เขาฟังแล้วเกิดความสบายใจ “นอกจากนี้ฝ่ายแม่รองหาใช่ตระกูลธรรมดาทั่วไปเช่นกัน น้องหญิงมีบุพการีเช่นนี้ ยังมีผู้ใดกล้ารังแกนางอีกล่ะเจ้าคะ?”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ก็แล้วกัน” ลู่หย่วนเจิงไม่ต้องการเอ่ยถึงเรื่องของเย่เหลียนหรงกับลู่จือฉิงมากนัก ลู่จือเหยาเห็นแล้วก็ยินดีอยู่ในใจ
ลู่จือเหยาค่อย ๆ ผ่อนฝีเท้า ผินมองใบหน้าบึ้งตึงของลู่หย่วนเจิง ลู่จือเหยาคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเก็บไว้ในใจไม่กล้าพูดมาตลอด ทว่าขณะนี้อัดอั้นจนทรมานเสียเหลือเกิน ดังนั้นจึงอยากพูดให้ท่านฟังดูเจ้าค่ะ”
“อ้อ? เรื่องอะไร ไหนลองพูดให้ฟังทีสิ” ลู่หย่วนเจิงเกิดความสนใจ พาลู่จือเหยาเดินมานั่งที่สวนดอกไม้
“ท่านพ่อ ท่านแม่เสียชีวิตนานขนาดนี้ หลายปีที่ผ่านมาท่านเคยคิดถึงนางหรือไม่เจ้าคะ?”
ลู่จือเหยากล่าวถึงหยางซินย่วนโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า ทำให้สีหน้าซึ่งเพิ่งจะดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อสักครู่ของลู่หย่วนเจิงมืดมนลงไปอีกครา “นี่คือสิ่งที่เจ้าจะพูดเช่นนั้นหรือ?”
“ท่านพ่อ ท่านแม่เสียชีวิตหลังจากคลอดข้าได้ไม่นาน ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่านางมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร ทุกครั้งที่เห็นน้องหญิงกับแม่รองอยู่ด้วยกัน ข้าคิดเสมอว่าหากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่จะดีสักเพียงใด” ลู่จือเหยายิ่งพูดเสียงก็ยิ่งแผ่วเบา ปรากฏประกายน้ำตาให้เห็นรำไร ทำให้ลู่หย่วนเจิงอดหัวใจดิ่งวูบไม่ได้ “ทุกคนต่างพูดกันว่าท่านแม่ตายเพราะข้า แต่ท่านพ่อ เรื่องผ่านมาตั้งหลายปีเช่นนี้ หรือว่าตอนนี้ท่านยังคิดเช่นนี้อยู่เจ้าคะ?”
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ลู่หย่วนเจิงฟังแล้วพอจับเค้าอะไรบางอย่างได้ แววตาวูบไหว จ้องมองลู่จือเหยาโดยไม่วางตา แสดงความหมายให้นางพูดจนจบความ
“สมัยนั้นท่านแม่เป็นฮูหยินใหญ่ หลังจากคลอดข้า ท่านพ่อย่อมส่งสาวใช้จำนวนมากมาปรนนิบัติรับใช้ หรือท่านไม่เคยสงสัยสาเหตุการตายของนางเลยหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าไปได้ยินอะไรมาใช่หรือไม่?” อยู่ดีไม่ว่าดี ไยลู่จือเหยาถึงเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ใจของลู่หย่วนเจิงยังคงเจ็บแปลบเมื่อนึกถึงภาพการเสียชีวิตของหยางซินย่วนสมัยนั้น
“ข้าไม่มีทางพูดจาเพ้อเจ้อก่อนจะมีพยานหลักฐานใด ๆ แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านพ่อ กรุณารออีกสองวัน ลูกจะมอบคำตอบให้ท่านเองเจ้าค่ะ”
ลู่จือเหยาพูดเพียงครึ่งเดียว ทำให้ลู่หย่วนเจิงรู้สึกอึดอัดมาก เนื่องจากไม่รู้ว่าต่อจากนั้นนางจะพูดสิ่งใด เขากวาดสายตามองร่างลู่จือเหยาครู่หนึ่ง หลังจากใช้ความคิด สายตาของลู่หย่วนเจิงก็ค่อย ๆ ทวีความคมกริบ
“เจ้าคงไม่ได้สงสัยแม่รองของเจ้ากระมัง?” ลู่หย่วนเจิงถามด้วยเสียงเย็นชา ครั้นเห็นลู่จือเหยานิ่งเงียบจึงยิ่งมั่นใจการคาดเดาของตนเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ลู่หย่วนเจิงลุกขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แม้ว่ายามปกติแม่รองของเจ้าไม่นับว่าทำดีต่อเจ้ามากนัก แต่เจ้าไม่อาจใช้เรื่องเช่นนี้ใส่ความนางได้!”
“ท่านพ่อ ลูกจะใช้ความจริงมาพิสูจน์ให้ท่านทราบว่าเป็นการใส่ความหรือไม่เจ้าค่ะ” ลู่จือเหยาปราศจากท่าทีกริ่งเกรงเมื่อต้องเผชิญหน้าลู่หย่วนเจิงซึ่งเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อย นางยืนจ้องเขาโดยมิได้ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความมั่นใจ “ต่อให้แม่รองไม่ดีอีกสักเพียงใด แต่นางก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของข้า เป็นคนตระกูลลู่ของพวกเรา ข้าไม่มีวันสงสัยนางโดยไร้มูลเหตุ และยิ่งไม่มีวันใส่ความนางด้วยเจ้าค่ะ หรือต่อให้ข้าใส่ความ แต่หากปราศจากพยานหลักฐาน ท่านพ่อก็ไม่เชื่ออยู่ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“รู้ก็ดี!” ลู่หย่วนเจิงแค่นเสียงเย็นชาพร้อมสะบัดแขนเสื้อจากไป ลู่จือเหยาเห็นว่าตนทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญ จึงไม่ได้ตามไปอย่างรู้กาลเทศะ
ลู่หย่วนเจิงเอาแต่คิดถึงคำพูดของลู่จือเหยา ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด สมัยนั้นเย่เหลียนหรงกับหยางซินย่วนมีความสัมพันธ์ประดุจน้ำกับไฟ หากมิได้ค้นพบสิ่งใด ลู่จือเหยาคงไม่กล้าพูดเรื่องเหล่านั้นกับตนอย่างอุกอาจแน่ แต่ถ้าเป็นดังที่ลู่จือเหยาพูดจริงล่ะก็ เช่นนั้น…
แสงจันทร์เย็นเยียบ อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย ณ สุสานร้าง สายลมหนาวพัดผ่านเป็นระลอก ทำให้ทหารซึ่งซ่อนตัวเพื่อเฝ้าจับตาดูหลุมฝังศพหยางซินย่วนจำนวนหลายนายบ่นอุบด้วยความไม่พอใจ
“พูดเพ้อเจ้ออะไร หากกล้าพูดอีกประโยคเดียว ระวังเถอะ ข้าจะจัดการพวกเจ้า!” หลานรั่วหลินเหลือบมองบุรุษเหล่านั้นพลางพูดกดเสียงต่ำ “ตั้งใจกันหน่อย ยามวิกาลแล้ว ถึงเวลาที่ชนชั้นมุสิกจะลงมือแล้วเช่นกัน”
คนทั้งหลายรอคอยท่ามกลางสายลมหนาวกว่าหนึ่งชั่วยาม ขณะที่แต่ละคนต่างเริ่มง่วงเหงาหาวนอน ใกล้จะทนต่อไปไม่ไหว เสียงฝีเท้าพลันดังแว่วมาจากสถานที่อันห่างไกล
ความพลิกผันทำให้หลานรั่วหลินตาเป็นประกาย เห็นทีลู่จือเหยาคาดเดาไม่ผิดแล้วจริง ๆ!
“เดินเร็วเข้าสิ! มัวยืดยาดอะไรอยู่ได้!” เย่เฉิงหนานเตะก้นคนข้างหน้าพร้อมส่งเสียงด่าทอ “ทำงานเสร็จแล้วจะได้กลับไปนอน!”
“คุณชาย ดึกดื่นค่อนคืนพวกเรามาที่นี่ทำไมหรือขอรับ? ที่นี่วังเวงมาก เห็นแล้วก็น่ากลัว” ชายที่ถูกเตะหันหน้ากลับมาพูดกับเย่เฉิงหนาน มือข้างหนึ่งถือโคมไฟ ส่วนอีกข้างก็นวดเฟ้นก้นของตน
“พูดไร้สาระให้น้อย ๆ หน่อย!” เย่เฉิงหนานมองโดยรอบเพื่อหาหลุมฝังศพของหยางซินย่วน เมื่อพบแล้ว เขาก็ยืนสั่งการให้เหล่าคนที่เขาพามาเริ่มขุดหลุมอยู่ด้านข้าง แม้คนเหล่านั้นไม่ยินยอม แต่จนใจที่ไม่กล้าขัดขืนคำสั่งเย่เฉิงหนาน ทำได้เพียงขอขมาเจ้าของหลุมฝังศพนี้ จากนั้นจึงลงมือตามคำสั่ง
หลังจากสาละวนอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็เห็นโลงศพเสียที เย่เฉิงหนานเดินถือโคมไฟเข้ามาใกล้ เมื่อเปิดฝาโลงออก เย่เฉิงหนานฝ่ากลิ่นเหม็นเน่า อดทนต่ออาการมวนท้อง หรี่ตามองซากโครงกระดูกของหยางซินย่วน
ครั้นเย่เฉิงหนานสำรวจอย่างถ้วนถี่ครู่หนึ่งก็พบความผิดปกติของซากโครงกระดูกหยางซินย่วนเหมือนดั่งที่เย่เหลียนหรงกังวล เขาถ่มน้ำลายลงพื้น โบกมือและบอกบ่าวไพร่เหล่านั้นว่า “ไป ขุดหลุมฝังศพด้านข้างด้วย!”
“คุณชาย จะขุดอีกหรือขอรับ?!” ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา การขุดหลุมฝังศพถือว่าไม่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต หากสร้างความโกรธเคืองแก่เจ้าของหลุมฝังศพทั้งสองหลุมนี้ ถึงเวลามาแก้แค้น แล้วพวกเขาจะทำเช่นไร
“บอกให้เจ้าไปก็ไปสิ! ไยต้องพูดมากขนาดนั้นด้วย!”
เมื่อเย่เฉิงหนานบันดาลโทสะ ทุกคนจึงไม่กล้าส่งเสียงอีกต่อไป ต่างพึมพำวิงวอนพระโพธิสัตว์สวด ภาวนาต่อพระพุทธ เมื่อพวกเขาเปิดหลุมฝังศพด้านข้างเสร็จแล้วก็ได้ยินเสียงของเย่เฉิงหนานอีกครา
“สับเปลี่ยนซากโครงกระดูกสองโลงนี้เสีย พอกลับจวนแล้วจงไปรับเงินจากข้า!”
ครั้นได้ยินว่าได้รับเงิน คนทั้งหลายจึงทำงานอย่างขมีขมันอีกครั้ง แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะลงมือ พลันได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว