Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)-บทที่ 76 : เปรียบได้เพียงฝุ่นละออง

โดย  Luluca

Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)

บทที่ 76 : เปรียบได้เพียงฝุ่นละออง

บทที่ 57 ไม่นึกเลยว่าจะข่มขู่เธอ


ตอนที่ลูกวาฬน้อยกำลังคิดวิเคราะห์อยู่ อีกฝ่ายก็พูดออกมาอีกครั้ง


“อิงอิงน้อย เธอจะให้คนอื่นรู้ถึงการมีตัวตนของฉันไม่ได้นะ เธอก็น่าจะรู้จักโลกมนุษย์ ความอยากรู้อยากเห็นของคนมันอันตรายมากพอที่จะฆ่าเธอได้”


สมองของฉินอิงอิงมีภาพนองเลือดผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ภาพน่ากลัวกระจัดกระจายอยู่ในหัวเต็มไปหมด


ปกติเด็กวัยสามขวบครึ่งเห็นสิ่งนี้แล้วคงตกใจจนร้องไห้ฟูมฟาย แต่วาฬเพชฌฆาตอ้วนที่เห็นเลือดเป็นส่วนหนึ่งของอาหารมาตั้งแต่เด็กเห็นภาพเหล่านี้บ่อยจนเป็นเรื่องปกติแล้ว


เธอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขู่เธออยู่


แต่ไม่นึกเลยว่าจะกล้าขู่เธอด้วย!


ฉินอิงอิงขบฟัน แต่ตอนนี้ฟันซี่ใหญ่ของวาฬเพชฌฆาตกลายเป็นฟันเขี้ยวเล็ก ๆ แล้ว นอกจากเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากการเสียดสี ฟันเล็ก ๆ นี่จะไปกัดใครได้


แต่ฉินอิงอิงรู้สึกได้ว่าเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวเท่ากับก่อนหน้านี้


อีกฝ่ายอ่อนลงแล้ว


ทำไม?


เพราะไม่ได้อยู่บ้านตระกูลฉิน ไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน แต่อยู่ที่โรงพยาบาล


อีกฝ่ายกลัวโรงพยาบาลเหรอ?


ในฐานะเจ้าหญิงตัวน้อยของบ้านตระกูลฉินซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อกับพี่ชาย ถึงอย่างไรฉินอิงอิงก็ไม่เหมาะที่จะอยู่โรงพยาบาลในระยะยาว


เพื่อล้วงข้อมูลให้ได้มากกว่าเดิม ฉินอิงอิงไม่ดื้อรั้นกับอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว


เธอจู่โจมก่อนเอง


“เธอบอกว่าจะรอให้ฉันโตก่อน รอให้ฉันโตไปทำไม?”


อีกฝ่ายปิดปากเงียบกับคำถามนี้ แต่กลับถามคำถามใหม่


“เธอต้องกินให้เยอะหน่อย ถึงจะได้โตเร็วขึ้น”


ฉินอิงอิงมีความสุขทันที


เหมือนว่าจู่ ๆ เธอก็เข้าใจ


ที่จริงปัญหาไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลฉินหรือโรงเรียน แต่ปัญหาอยู่ที่เธอกินไม่อิ่ม


ตอนอยู่สถานรับเลี้ยงเด็ก มีไม่กี่ครั้งที่เธอกินอิ่มเพียงพอจึงไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน


และตอนที่เป็นวาฬเพชฌฆาต เธอก็ยังเด็กอยู่จึงไม่เคยได้ยินเสียงในหัวพวกนี้


ในฐานะวาฬเพชฌฆาต ถึงอย่างไรเธอก็ไม่น่าจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ แต่ในแวบแรกที่เห็นตึกสูงกับรถยนต์เธอกลับรู้จัก น่าจะเป็นเพราะเสียงในสมองจริง ๆ


ดังนั้น… ถ้าฉินอิงอิงอยากพักผ่อนเยอะ ๆ ก็แค่ต้องกินให้น้อยลง


ถ้ากินไม่อิ่ม อีกฝ่ายก็จะอ่อนแอตามไปด้วย!


ถึงกินไม่อิ่มแล้วจะรู้สึกทรมานท้องเอามาก ๆ แต่เทียบกันแล้ว การกินอิ่มแต่นอนไม่หลับมันทรมานมากกว่า


เอาเป็นว่ากินอิ่มสักมื้อและสืบข่าวคราวจากเสียงนั้นบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนวันปกติก็กินอิ่มแค่ครึ่งเดียวแล้วกัน ทางที่ดีคือต้องกินเหมือนตอนที่อยู่สถานเลี้ยงเด็ก อีกฝ่ายจะได้มาระรานเธอไม่ได้


เอาตามนี้ละกัน!


เสียงนั้นเริ่มพูดเตือน “อิงอิงน้อย เธอต้องนอนเองได้แล้วนะ!”


ฉินอิงอิงไม่โกรธแล้ว


เธอรับประกันได้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้ยินประโยคนั้นในสัปดาห์นี้


เธอนอนหลับต่อ


สุดท้ายก็ถูกตือนอย่างไม่ลดละทุก ๆ ห้านาทีและมีเสียงดังมากจนต้องลืมตาขึ้นมา


เมื่อเห็นใบหน้าของพ่อผู้ให้อาหารกับพี่ชายผู้ให้อาหารและอาซ่งอยู่ตรงหน้า ฉินอิงอิงก็ยกมือขึ้นทักทายอย่างมีความสุข


“ไงคะ ทุกคน!”


ฉินอี้หานรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ “อิงอิงน้อย ฝันว่าอะไรอยู่เหรอ?”


ตอนแรกเธอดูเคร่งเครียดมาก ถึงขนาดที่ว่าแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนต้องการกัดใครสักคน สักพักก็ยิ้มมุมปากอย่างมีความสุขด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง


โลกในความฝันของเด็กน้อยมีสีสันมากขนาดนี้เลยเหรอ?


เขาไม่ได้ยินพี่ชายสองคนในบ้านพูดถึงอาการนอนไม่หลับของหลานชายทั้งเจ็ดคนตอนช่วงอายุประมาณสามขวบครึ่งมาก่อนเลย


เด็กเล็กขนาดนี้ กลางวันเล่นอย่างบ้าคลั่ง กลางคืนก็ต้องนอนหลับให้เพียงพอ ไม่งั้นวันต่อมาจะไม่มีพลังงานอย่างแน่นอน ปกติอิงอิงน้อยก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดนี่ หรือว่าตอนนี้เธอจะป่วยซะแล้ว


คนที่เหลือจ้องมองอิงอิงน้อย รอให้เธออ้าปากพูด


ฉินอิงอิงเจ็บตาและง่วงนอน


“อิงอิงฝันถึงคนไม่ดีที่ไม่ยอมให้อิงอิงอยู่กับพ่อกับพี่ชาย อิงอิงโกรธจนอยากกัดเธอเลยค่ะ”


เยี่ยนลี่เฉิงถามไถ่ “ต่อจากนั้นล่ะ? อิงอิงน้อยไล่คนไม่ดีไปได้เหรอ?”


ฉินอิงอิงพยักหน้าพลางหัวเราะคิกคัก “พี่ลี่เฉิงฉลาดจังเลย เดาถูกด้วย”


เยี่ยนลี่เฉิงยิ้มเพราะถูกเธอชม “แน่อยู่แล้ว เพราะอิงอิงน้อยเก่งมากเลย!”


ประโยคนี้ถูกใจลูกวาฬน้อยจนเธอโผเข้าสู่อ้อมกอดของพี่ชายและใช้แก้มถูไถ


ฉินอี้หานชำเลืองมอง ยื่นมือออกไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา จากนั้นก็หอมแก้มของเธอหนึ่งที


“อิงอิงน้อยยังอยากนอนอยู่ไหม?”


ฉินอิงอิงส่ายหน้า “ตอนค่ำค่อยนอนค่ะ”


ฉินอี้หานมองเยี่ยนลี่เฉิง “ตอนบ่ายอาไม่ไปทำงาน ลี่เฉิงก็กลับไปเรียนเถอะ อาจะดูแลอิงอิงน้อยเอง”


เยี่ยนลี่เฉิงลูบจมูก “อาฉิน ผมลาเรียนครึ่งบ่ายแล้วครับ ครูอนุญาตแล้ว”


ฉินอี้หาน “นายต้องเรียน…”


เยี่ยนลี่เฉิงตั้งใจขึ้นมาทันที “อาฉินวางใจเถอะครับ ผมรู้ดีว่าควรทำอะไร”


ซ่งซือหลินที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเข้าก็รู้สึกอิจฉามาก


ทำไมฉินอี้หานถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ ไม่ได้แค่รับเด็กชายวัยสิบขวบมาเลี้ยงโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้ก็รับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักมาเพิ่มอีกคน


เหมือนเขาซะที่ไหน อายุสามสิบแล้วยังอยู่ตัวคนเดียว โดดเดี่ยวแบบนี้


เมื่อเยี่ยนลี่เฉิงพูดแบบนั้น ฉินอี้หานก็ไม่ได้พูดอะไรอีก


เขาแหย่ลูกสาวสุดที่รักอยู่พักหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าลูกสาวไม่มีปัญหาทางจิตใด ๆ เขาก็ให้เยี่ยนลี่เฉิงอุ้มแก้วตาดวงใจออกไปเล่นข้างนอกก่อน


“ซือหลิน ตอนที่อิงอิงน้อยเพิ่งหลับ สมองมีความแปรปรวนรุนแรงไหม?”


เขารู้ว่าเมื่อครู่นี้ซ่งซือหลินเปิดเครื่องอยู่ตลอดเลยตรวจสอบคลื่นในสมองของอิงอิงน้อยได้


ซ่งซือหลินพยักหน้า “เริ่มเป็นปกติแล้ว ช่วงหลัง ๆ ดูภาพรวมแล้วดีมากเลย”


“เด็กที่ยังเล็กแบบนี้นอนฝันร้ายจนถึงขั้นนอนไม่หลับเหรอ?” ซ่งซือหลินลำบากใจซะแล้ว


ฉินอี้หานเคยถามเยี่ยนลี่เฉิง เขาบอกการคาดเดาของเยี่ยนลี่เฉิงให้ซ่งซือหลินได้รู้ จากนั้นคนเป็นหมอก็ส่ายหน้า


“น่าจะไม่ใช่นะ อิงอิงน้อยดูไม่เศร้าเสียใจเลยสักนิด”


ฉินอี้หานหรี่ตาลง “เธออาจยังเด็กอยู่เลยไม่เข้าใจความหมายของความตาย”


ซ่งซือหลินลูบคาง “เป็นไปได้ ฉันเคยได้ยินที่ลี่เฉิงพูดแล้ว ความหมายของอิงอิงน้อยคือพ่อแม่ของเธออาศัยอยู่ในทะเล”


การตายเพราะอุบัติเหตุทางน้ำทำให้อิงอิงน้อยคิดว่าครอบครัวเดิมของเธอมีชีวิตอยู่ในน้ำ


ฉินอิงอิงก็เลยไม่ได้เศร้าเสียใจขนาดนั้น สำหรับเธอ ญาติทางสายเลือดของเธอยังมีชีวิตอยู่ทุกคน


ต่อมาฉินอี้หานกับซ่งซือหลินก็เข้าใจที่เธอบอกว่าญาติของเธอทั้งหมดอาศัยอยู่ในทะเลหมายถึงอะไร พวกเขาไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้อีกต่อไป


แน่นอนว่าต้องหยุดพูดไว้ก่อน


ในตอนนี้ ฉินอี้หานถามคำถามเดิมกับซ่งซือหลินอีกครั้ง


“ผลการตรวจของอิงอิงน้อยไม่มีปัญหาอะไรเลยเหรอ?”


แววตาของเขาลุ่มลึกและแฝงความหมายลึกซึ้งบางอย่าง


ซ่งซือหลินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และเอนหลังพิงเก้าอี้


“หรือนายคิดว่าอิงอิงน้อยมีปัญหา?”


ฉินอี้หานหัวเราะอยากเยือกเย็น “นายกล้าพูดอีกครั้งไหม?”


ซ่งซือหลินรีบร้อนยกมือขอโทษ “ขอล่ะ! ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรละกัน”


ฉินอี้หานจ้องซ่งซือหลินเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่งถึงได้หันหลังเดินไป


ซ่งซือหลิน “...”


ไอ้นี่มันน่ากลัวไม่เปลี่ยน!


เด็กน้อยก็ไม่ได้อุ้ม แถมยังถูกสงสัยในทักษะทางการแพทย์อีก เขาอยากจะเตะฉินอี้หานสักป้าบจริง ๆ


เมื่อก่อนเขาก็สู้ชนะอีกฝ่ายอยู่นะ!


ในตอนที่ซ่งซือหลินทั้งโกรธเคืองทั้งเสียใจ ฉินอิงอิงก็ผลักประตูห้องเข้ามา


“อาซ่ง”


เสียงเล็กของเด็กทั้งนุ่มนิ่มทั้งหวานหู


ซ่งซือหลินรีบร้อนโผเข้าไปเพื่ออุ้มเจ้าเด็กน้อย


“อิงอิงน้อยกลับมาได้ยังไงเอ่ย?”


ฉินอิงอิงหัวเราะคิกคัก “พ่อให้อิงอิงมาถามว่าจะกินข้าวด้วยกันไหม?”


ถ้าได้ไปกินกับฉินอิงอิงก็ต้องไปสิ


“ไปกันเถอะ!”


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว