“ไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อยที่พูดได้แค่ภาษาฟาริส”
“นั่นแหละความผิดของเจ้า”
หลายวันมานี้ ไอชาต้องครุ่นคิดและพยายามอย่างหนัก เพื่อบรรลุภารกิจโหดหินซึ่งกำลังดำเนินอยู่ มันแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ อย่างสิ้นเชิง ตลอดมานางมีหน้าที่ซุ่มซ่อน และลอบสังหารเป้าหมายเพียงหนึ่ง สอง หรือมากที่สุดคือสามคน จากนั้นจึงหลบหนีอย่างรวดเร็วผ่านการสนับสนุนที่ตระเตรียมเอาไว้
หากครั้งนี้แตกต่างออกไป นางต้องแฝงตัวอยู่กับชนชั้นสูง ท่ามกลางสายตาขององครักษ์นับสิบ คอยสืบความลับ และต้องระวังตัวไม่ให้ถูกจับได้
คำถามผุดขึ้นในใจไม่หยุดหย่อนว่าหากภารกิจนี้ล้มเหลวจะโทษใครได้เล่า ในเมื่อนางเป็นเพียงมือสังหารที่ทำได้เพียงคร่าชีวิต ไม่ใช่สายลับผู้เชี่ยวชาญการแฝงตัวและสืบข่าว สิ่งที่ทำอยู่ในเวลานี้ไม่เคยใกล้เคียงความเชี่ยวชาญของนาง ได้เพียงต่อว่าฝ่ายวางแผนที่ทึกทักเอาว่าภารกิจนี้ง่ายดายชะมัด จนถึงกับส่งมือสังหารมาแทน เพียงเพราะขาดแคลนฝ่ายจารชน
มันคงง่ายดายสำหรับเฟโรสที่นางไม่รู้จะหาเรื่องใดมาวิจารณ์เขา แต่ไม่ใช่กับตนเองที่ทำได้เพียงมิติเดียวนั่นคือการประหัตประหาร ดังนั้นสิ่งที่นางทำได้คงเหลือเพียงอ้อนวอนต่อพระเป็นเจ้า ว่าสำเนียงฟาริสของนางจะไม่เผยพิรุธจนแผนพัง
“เจ้าพูดภาษาฟาริสได้ แต่กลับเขียนไม่ได้ และแทบไม่เข้าใจภาษาไกอา ดังนั้นเจ้าน่าจะเป็นชาวฟาริสที่อาศัยอยู่ในแคว้นห่างไกล เราเดาถูกไหม?” คุณหนูผู้เยาว์วัยเริ่มบอกเล่าถึงการคาดคะเนของตน
ไอชารู้ดีว่ามีอยู่สามภาษาหลักที่ผู้คนใช้สื่อสารกัน
‘ภาษาอัล’ เป็นภาษาโบราณที่ใช้มานับแต่บรรพกาล กระทั่งมหาสงครามทำลายอารยธรรมมนุษย์แทบหมดสิ้น ภาษาอัลจึงหายไปจากสังคมมนุษย์ แต่ยังถูกใช้โดยชนเผ่าที่ยืนยงมานับแต่โบราณ เช่น เอลฟ์ นาคี และเงือก
ในช่วงเวลานั้น ‘ภาษาไกอา’ ถือกำเนิดขึ้นพร้อมอารยธรรมมนุษย์ที่เริ่มนับหนึ่ง จึงกลายเป็นภาษาแม่ของมนุษย์และอีกหลายเผ่าพันธุ์ หลังจากนั้น เมื่อมนุษย์สรรค์สร้างอารยธรรม ‘ภาษาฟาริส’ จึงถือกำเนิดขึ้นในยุคของจักรวรรดิฟานิอา
จักรวรรดิฟานิอาใช้ภาษาเพื่อแบ่งแยกชาวฟาริสออกจากชนเผ่าอื่น ชนพื้นเมืองจะใช้เพียงภาษาฟาริสเท่านั้น ขณะที่ผู้อพยพจากต่างแดนนั้นไม่มีสิทธิ์
เมื่อจักรวรรดิฟานิอาล่มสลาย ชาวฟาริสจึงเริ่มเรียนรู้ภาษาไกอา ขณะที่ภาษาฟาริสเริ่มเลือนหายไปจนแตกออกเป็นหลายสำเนียง หนึ่งในนั้นกลายเป็นภาษาของชนชั้นสูง ที่ร่ำเรียนกันเพื่อแสดงถึงสถานะทางสังคม นอกเหนือจากนั้นกลับกลายเป็นเพียงภาษาโบราณที่ใช้กันในดินแดนห่างไกล ผู้ที่รู้เพียงภาษาฟาริสจึงมักถูกมองว่าเป็นชนชั้นล่างไร้การศึกษา
“แต่เราไม่เชื่อ เจ้าหาใช่ชาวบ้านไร้การศึกษา ผิวพรรณของเจ้าช่างเนียนละเอียด ดุจหญิงสาวชาววังผู้ไม่เคยต้องแสงแดด”
ใบหน้างามเลื่อนเข้าใกล้ ริมฝีปากเล็กกระซิบบอกเป็นสำเนียงอันแสนคุ้นหู
“เรารู้ว่าสำเนียงฟาริสของเจ้าคือสำเนียงลูนาเรีย และเจ้าก็หาใช่ทาส”
ไอชาถึงกับสะดุ้ง ขนหลังคอถึงกับลุกชันขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
คุณสมบัติของผู้ถือครองมณีไม่อาจซ่อนเร้น รูปลักษณ์จึงถือเป็นข้อด้อยของนางที่ก่อปัญหาเสมอมา อันเป็นเหตุผลสำคัญที่นางต้องจับคู่กับเฟโรส โดยให้เขาออกหน้า ส่วนตนคอยแอบซ่อนในเงามืด
“ข้า… ไม่… เข้าใจ” ไอชาบอก แสร้งยิ้มร่าตีหน้าโง่เง่าอย่างสิ้นหวัง
ไม่ทันคาดคิด คุณหนูสูงศักดิ์โน้มตัวเข้าหา เอื้อมสองมือประคองใบหน้าทาสสาว จดจ้องไม่วางตาราวกับกำลังเปิดอ่านเรื่องราวในหนังสือเล่มโปรด
ในระยะกระชั้นชิดดวงตาสีดำขลับเบิกกว้าง จ้องมองดวงหน้าเนียนขาวดุจดวงจันทร์ทอประกายกลางราตรี พวงแก้มสีชมพูอ่อนละมุนขับให้ใบหน้าเรียวงามช่างน่าเอ็นดู คิ้วโก่งเล็กน้อยช่วยให้ดวงตากลมโตเด่นชัดขึ้น ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูดูเปื้อนด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา เมื่อรวมเข้ากับผิวพรรณขาวใสกระจ่าง หากมองเพียงภายนอกละก็ นางคงดูเหมือนกับเทพธิดาตัวน้อยในนิทาน จนนับครั้งไม่ถ้วนที่ ‘วิโอล่า แอนเน่ บูล็องต์’ มักได้รับคำเยินยอในเรื่องความงาม ไม่แพ้มารดาผู้เลอโฉม
รอยยิ้มไร้เดียงสานั้นแฝงด้วยความลึกล้ำ ดวงตางามสีเขียวมรกตสะท้อนประกายเฉียบคมมากด้วยไหวพริบ และเรือนผมสีแดงสดอันโดดเด่น ยืนยันชัดถึงอัตลักษณ์ของผู้สืบสายเลือดจากชนเผ่าบรรพกาล
“เรารู้แล้ว เจ้าน่ะ–”
พลันเสียงโห่ร้องดังขึ้นจากแนวป่าอีกฝั่งถนน พร้อมกับอัศวินที่กำลังเดินลาดตระเวนใกล้ ๆ ได้เซล้มลงตามแรงปะทะของศรธนู หน้าไม้ และลำแสงสีแดงจากกระสุนอาคม
สายตาคมปลาบราวเหยี่ยวของไอชาเหวี่ยงสะบัด เพ่งมองกลุ่มคนบนหลังม้าจำนวนหนึ่งซึ่งพุ่งออกมาจากแนวป่าสน พวกเขามีอาวุธและชุดเกราะแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเสื้อเกราะบุนวม เสื้อเกราะโซ่ เสื้อเกราะหนัง บ้างมีดาบ ขวาน หรือหอก หลายคนถือหน้าไม้ มีสองคนถือธนู และคงมีปืนอาคมด้วย
“ศัตรู!!!” อัศวินคนหนึ่งชักดาบออกแล้วร้องตะโกน ก่อนถูกศรหน้าไม้ยิงเสียบเข้าที่ลำคออย่างพอดิบพอดี
ดั่งบทเพลงแห่งสงครามได้เริ่มต้นขึ้น เสียงเรียกขานและสัญญาณมือของรองหัวหน้าอัศวินเคียงคู่ไปกับเสียงร้องตะโกนของทหารกล้า ดาบหลายเล่มถูกชักออกจากฝัก โล่ถูกคว้าหยิบขึ้นมากำบังกาย
แต่กลับกันหัวหน้าอัศวิน ‘โบโดลัส’ ที่ควรเป็นผู้ออกคำสั่งกลับยังเก็บดาบไว้ในฝัก สายตาเรียบเฉยของชายวัยกลางคนมองผ่านหมวกเกราะอย่างไร้อาวรณ์ ก่อนสองเท้าถอยฉากออกจากจุดปะทะอย่างรวดเร็ว
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว