Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)-บทที่ 128 : บางสิ่งที่ต่างออกไป

โดย  Luluca

Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)

บทที่ 128 : บางสิ่งที่ต่างออกไป

“หัวหน้ากองอัศวิน ‘อาวิส’ เจ้านี่เป็นหลานของแรนเดล มักวางอำนาจบาตรใหญ่ ทำร้ายชาวเมืองตามอำเภอใจ มีนางโลมกับเจ้าหน้าที่ถูกมันฆ่าตายไปแล้วสามคน”


“เรี่ยวแรงเยอะ เชิงดาบดี มีรูนอาร์ติแฟกต์อะไรสักอย่าง”


“ไม่เคยอยู่ตัวคนเดียว จะมีคนสนิทติดตามสี่หรือห้าคนเสมอ สังหารพวกมันให้หมด อย่าให้ใครได้เห็นรูปลักษณ์ของเจ้า”



บนถนนเส้นหลัก ใต้เงามืดของหอคอยสูง มีดบินพุ่งฉิว เสียบเข้าใต้กรามของอัศวินสองนายอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างล่ำสันถึงกับหลุดร้องเสียงหลง คนหนึ่งเซถลาไปข้างหลัง มือกุมบาดแผลอย่างตื่นตระหนก

รวดเร็วเกินตั้งตัว ไอชาทะยานขึ้นเหยียบไหล่อัศวินที่ทรุดลง ถีบร่างเล็กของตนพุ่งไปข้างหน้า มีดเล่มเล็กในมือสะบัดวูบ ตัดลึกเข้าที่ลำคอของอัศวินร่างใหญ่จนเลือดพุ่งกระเซ็น หมุนตัวขว้างมีดหยุดเป้าหมายอีกสองคนที่หันกลับมา เล่มหนึ่งพุ่งถากใบหน้า ส่วนอีกเล่มปักเข้าที่ใบหูของเหยื่อ

ทุกการเคลื่อนไหวใช้เรี่ยวแรงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีการเคลื่อนไหวที่เสียเปล่า เพียงอึดใจเดียวมือสังหารสาวก็อันตรธานหายไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงความเอะอะวุ่นวายและร่างบึกบึนที่ล้มลงกับพื้น มือกุมบาดแผลแน่น ก่อนสิ้นลมใต้เงาดำ



ริมหน้าต่างบานเดิม ไอชานั่งตัวตรง มองถนนเบื้องล่างที่จอแจไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากหลายวันก่อน เสียงเจ้าหน้าที่ยังคงดังระงม อันเกิดจากเหตุอุกอาจเมื่อคืนที่ผ่านมา ดวงตาสีดำขลับละจากความเคลื่อนไหวมากมาย มองแสงอรุณยามเช้าที่ส่องลงบนหลังคา แต่สองหูไม่อาจเลี่ยงเสียงประชดประชันและถ้อยคำเสียดสีหนักหน่วง

“ข้าบอกให้เจ้าฆ่าพวกมัน เจ้าไม่ได้ฟังข้า หรือสมองของเจ้ามันขนาดเดียวกับปลาทอง ถึงได้จำแผนที่วางเอาไว้ไม่ได้”

เฟโรสยืนพิงกรอบหน้าต่างใกล้ ๆ เสียงของเขาเรียบเย็น แต่หนักแน่นเหมือนค้อนเหล็ก แววตาฉายความหงุดหงิดปะปนกับริ้วรอยความโกรธที่ยังค้างอยู่

นางเพียงเหลือบมองเขาผ่านหางตา มือหนึ่งทัดผม เอ่ยเนิบ ๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน

“สมองข้ามีขนาดปกติ และข้าจำได้ แต่ข้าไม่มีเหตุผลให้ทำอย่างนั้น”

คำพูดของนางไม่ต่างจากการเติมเชื้อเพลิงลงบนความอดทนของชายหนุ่ม

“ไม่มีเหตุผล? ข้าบอกเจ้าแล้ว กำชับสองครั้งว่าอย่าให้พวกมันเห็นรูปลักษณ์ของเจ้า”

เฟโรสเสียงเข้มขึ้น ยกมือกอดอก

“แต่ดูสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าทำเรื่องง่ายให้มันยาก เนรมิตความเสี่ยงขึ้นมาอย่างไร้หัวคิด มีดบินของเจ้าแม่นยำเหลือเกิน ทั้งสี่เล่มพลาดจุดตายทั้งหมด วิเศษชะมัด”

ไอชาเลือกจะไม่โต้แย้งต่อถ้อยคำแดกดัน คำพูดของเขาอาจถูกต้อง แต่มันไม่สามารถเปลี่ยนเจตนาของนางได้

“แถวนั้นมืด ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะไม่ทันเห็นหรอก อย่างมากพวกเขาคงคิดว่าข้าเป็นมือสังหารผอมกะหร่อง หรืออาจเป็นคนแคระก็ได้ แล้วแต่พวกเขาจะจินตนาการ”

เฟโรสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางดูต่างจากไอชาที่เขารู้จัก

“เจ้าอ้างข้าง ๆ คู ๆ ทุกครั้งที่ไม่ทำตามแผน”

คราวนี้นางเลือกเงียบแทนที่จะโต้แย้ง แต่มือสังหารหนุ่มยังไม่ยอมหยุด

“ความเป็นมืออาชีพมันคงยากเกินไปที่เจ้าจะสะกดมัน แต่ต่อให้สมองของเจ้าจะเล็กกระจิ๋วหลิวแค่ไหน อย่างน้อยที่สุด เจ้าควรตระหนักถึงสถานะและหน้าที่ของเจ้า”

ไอชาชักสีหน้ากลับบ้าง ความไม่พอใจเริ่มกรุ่นในความคิด เมื่อถูกย้ำถึงขนาดสมองเป็นครั้งที่สอง

“ข้าเป็นมืออาชีพเสมอ”

“งั้นเหรอ ดีเลย ช่วยบอกข้าที ความคิดมักง่ายและการกระทำตามอำเภอใจนั่น ตรงไหนบ้างคือความเป็นมืออาชีพของเจ้า”

“สิ่งที่ข้าทำอยู่ใต้หลักการของบาร์บารี เจ้าสิมักง่าย ลองฆ่าไม่เลือกแล้วพวกเราจะต่างอะไรกับฆาตกร”

คำกล่าวหานั้นทำเอาเฟโรสนิ่งไปครู่หนึ่ง หลุบตาลงชั่วขณะ ทิ้งช่วงอยู่พักหนึ่งแล้วจึงว่า

“ข้าพอเข้าใจ หากเจ้าจะเห็นใจผู้บริสุทธิ์ แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ พวกมันทั้งหมดเป็นศัตรูของเรา”

“ในเมื่อเป้าหมายของเราคือข่มขวัญ แสดงอำนาจของบาร์บารี และสร้างความตื่นตระหนก” ไอชาบอก นิ่งคิดคำพูดครู่หนึ่งก่อนจะบอกต่อ “ดังนั้น การสังหารหัวหน้าอัศวินคงมากเพียงพอกับความสูญเสีย”

“ข้าไม่ได้คิดไปเองจริง ๆ ช่วงหลังมานี้เจ้าดูดื้อรั้นผิดปกติ ซ้ำยังพูดม–”

“เจ้าคิดไปเอง”

ไอชาตอบกลับสั้น ๆ แล้วจึงเบือนหน้ากลับไปยังหน้าต่าง เสียงจอแจจากถนนเบื้องล่างยังดังแว่วมา สวนทางกับบรรยากาศในห้องที่หนักอึ้ง เฟโรสยืนกอดอก จ้องมองเด็กสาวที่เขาอ่านไม่ออก ซ้ำยังรู้สึกถึงบางสิ่งที่ต่างออกไป นานสองนานทีเดียว กระทั่งไอชาเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบด้วยถ้อยคำที่ไม่คุ้นหู

“ข้าขอโทษก็แล้วกันที่ไม่ทำตามแผน”

เฟโรสเลิกคิ้ว แววตาฉายความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าว่าไงนะ?”

น้ำเสียงของเขาแฝงทั้งความไม่อยากเชื่อ ความระแวดระวัง เหมือนไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นคือความจริงหรือเพียงการประชด ขณะที่อีกฝ่ายพูดซ้ำโดยไม่หันมาสบตา

“...ข้าขอโทษ”

“ให้ตายเถอะ ข้าไม่ชินเลยจริง ๆ”

“เจ้านี่มันเรื่องมากจริง!”



มื้อเช้าของวันนี้แตกต่างออกไป อาหารร้อน ๆ ถูกจัดวางเรียงรายบนโต๊ะ ราวกับพวกเขากำลังนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมใหญ่ มีทั้งขนมปังแผ่นบางอบใหม่ วางเคียงกับชีสขาวเนื้อนุ่ม ไข่คนปรุงด้วยมะเขือเทศและเครื่องเทศหอมกรุ่น ข้าวหมกเนื้อแพะราดด้วยสมุนไพรบด มีถ้วยเล็ก ๆ บรรจุน้ำผึ้งใสบริสุทธิ์ ปิดท้ายด้วยกาแฟดำรสเข้มในกาทองเหลือง เครื่องดื่มที่เฟโรสโปรดปรานที่สุดในมื้อเช้า

“ข้าทำสุดฝีมือ หวังว่าทุกคนจะถูกปาก” โซเอ้ยิ้มกว้าง ขณะวางถาดอาหารใบสุดท้ายลงบนโต๊ะ สีหน้าฉายแววภูมิใจ มือปัดชายผ้ากันเปื้อนเบา ๆ โดยไม่ทิ้งรอยยิ้มสดใส

นับแต่นางลืมตาตื่น ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นคือสีหน้าเดียวของนาง ดูเหมือนกับนางช่างมีความสุขเหลือเกินในชีวิตนี้

“เจ้าก็นั่งสิ”

ไอชาบอก เมื่อเห็นหญิงสาวยืนลังเลอยู่ข้างโต๊ะ เหลือบมองเฟโรสที่นั่งกอดอกเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่สายตาของโซเอ้กลับจดจ่ออยู่กับเขา เหมือนกำลังรอคอยคำอนุญาตบางอย่าง

“เจ้าไม่ใช่คนรับใช้ ไม่ต้องรอให้เขาอนุญาต”

เด็กสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ชำเลืองมองเฟโรสเหมือนกำลังตำหนิความเย็นชานั้น จนเขาพูดขึ้นในที่สุด

“นั่งเถอะ จะได้กินกัน”

เสียงของเขาราบเรียบไม่บอกอารมณ์ แต่เพียงพอให้โซเอ้ระเบิดรอยยิ้มที่ยับยั้งไว้นานร่วมสองวัน

นางรีบถอยหลังดึงเก้าอี้ออกมานั่งท่ามกลางความรู้สึกที่หลั่งล้น ไม่อาจเก็บซ่อนดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา เสียงหัวใจเต้นระรัวแทบหลุดออกจากอกคือความปีติยินดีที่รอคอยมาเนิ่นนาน มันหนักหน่วง ลึกซึ้ง เสียจนไม่มีคำพูดใดจะอธิบาย มีเพียงน้ำตาและรอยยิ้มที่ช่วยเป็นพยานปากเอกได้

ไอชานั่งเงียบมองภาพนั้น หัวใจเหมือนถูกบีบด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้ง ทั้งความสุขที่เห็นโซเอ้ได้สมหวังในความพยายามอันน่าทึ่ง แต่ลึก ๆ กลับเกลียดตัวเองที่นึกอิจฉานาง ซึ่งกำลังมีความสุขกับใครที่นางเฝ้ารอ


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว