Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)-บทที่ 40 : ร่างกายซึ่งพระเป็นเจ้าทรงปั้นแต่ง

โดย  Luluca

Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)

บทที่ 40 : ร่างกายซึ่งพระเป็นเจ้าทรงปั้นแต่ง

“เห็นหรือยังว่าข้ามีประโยชน์กับพวกเจ้าเสมอ” โทมัสถอดหน้ากากออก เผยรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้าชุ่มเหงื่อ

แม้เจ็บระบมไปทั้งตัว หนุ่มผมบลอนด์กลับทำทีเหมือนไม่เป็นอะไร ยกมือปัดเศษฝุ่นบนไหล่อย่างไม่ใคร่ใส่ใจ เช็ดรอยถลอกบนแก้มเบา ๆ ขณะขยับตัวอย่างระมัดระวัง มองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีมืออสูรโผล่มาอีก เขาจึงเริ่มสำรวจร่างบนบัลลังก์ซ้ำอีกครั้ง พลางตั้งข้อสังเกต

“ถึงไม่ได้ทำสัญญา แต่ดูเหมือนว่าพลังของมณีอสูรจะผูกอยู่กับดาวิดหรือเปล่า? พอเจ้านี่สิ้นลม พลังของมณีเลยหายไปทันที”

“ลองถ้าไม่เป็นอย่างนั้น คงต้องสวดอ้อนวอนพระเจ้าแล้วล่ะ” เฟโรสบอก

ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบท้องพระโรงอย่างระแวดระวัง ความเงียบในอากาศทำให้ทุกการเคลื่อนไหวดูเหมือนจะดังไปทั่ว ทุกฝีเท้าล้วนก้องจนได้ยินอย่างชัดเจน เขาสบสายตามองยังประตูที่เข้ามาคล้ายกำลังรอคอยใครบางคน

ชั่วขณะนั้น เสียงดังเบา ๆ จากทางเข้าได้ทำลายความเงียบงัน เฟโรสชี้ปืนไปยังสองสาวใช้ที่โผล่เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ดวงตาของพวกนางเบิกกว้าง ปากอ้างค้าง หยุดชะงักในทันที สองมือยกขึ้นพร้อมกัน

“ไปซะ! รีบหนีไป” มือสังหารหนุ่มตะเบ็งเสียงบอก

ใบหน้าซีดเผือดตวัดมองตากันอย่างลังเล ก่อนหันหลังออกวิ่งทันทีโดยไม่เหลียวกลับ ได้ยินเสียงฝีเท้าลนลานดังไกลออกไป มองตามหลังจนเงาของพวกนางเลือนหายไปแล้วเฟโรสจึงลดปืนลง

เมื่อความเงียบสงบเข้าปกคลุมอีกครั้ง สายตาคมเลื่อนไปยังพื้นที่เป็นหลุมลึกจากแรงระเบิด เสาหินต้นหนึ่งหักล้มลงทับซากพรมแดงที่ขาดวิ่น เพดานที่เคยโอ่อ่าไม่ปรากฏรอยแตกร้าวให้เห็น ความแข็งแกร่งเหนือธรรมชาติของโครงสร้างพระราชวังโบราณนี้ ช่างขัดกับความเสียหายที่เกิดขึ้นรอบตัวจนชวนให้รู้สึกถึงความไม่สมจริง เหมือนกับมันไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ หากแต่เป็นผลงานของอำนาจที่สูงส่งเกินหยั่งถึง

เผลอครุ่นคิดถึงความลึกลับที่ซ่อนอยู่ในสถานที่นี้หลายช่วงอึดใจ ชายหนุ่มจึงหมุนตัวมองสหายอีกสองคนที่ยืนหันหลังให้

“รีบไปกันเถอะ”

เสียงหนักแน่นของเฟโรสตัดผ่านความเงียบงัน สายตาเยือกเย็นย้ายไปยังทางออกด้านข้าง ก้าวเท้าออกนำโดยไม่รีรอ ไอชาและโทมัสมองหน้ากันเพียงชั่วครู่ ก่อนเร่งตามไป เหลือไว้เพียงกลิ่นอายความตายที่คละคลุ้งอยู่บนบัลลังก์ ประกาศถึงอำนาจอันมิชอบที่ถูกพิพากษา



หลังขึ้นบันไดจากท้องพระโรง โถงกว้างปรากฏต่อสายตา พรมหรูหราลวดลายซับซ้อนทอดยาวตลอดทางเดิน ปกคลุมด้วยชั้นฝุ่นหนาที่เกาะจับบนเนื้อผ้าชั้นดี บ่งบอกถึงสภาพรกร้างไร้ผู้มาเยือน แจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ครั้งหนึ่งเคยถูกจัดแต่งอย่างประณีต เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน บัดนี้แห้งกรอบ กลีบดอกหลุดร่วงกระจัดกระจายบนพื้นรอบข้าง

โทมัสมองรูปปั้นหินอ่อนของบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่เรียงรายตามแนวเสา สายตาระแวดระวังจ้องมองฝุ่นหนาทึบเกาะแน่นจนลบเลือนความเงางาม สภาพโดยรวมเงียบเชียบและแปลกประหลาด ราวกับที่นี่ถูกทิ้งร้างมานานนับปี

“นี่มันอะไรกันเนี่ย… อย่างกับปราสาทผีสิงเลย” โทมัสกระชับหน้าไม้แน่น ก้าวย่างไปพลางมองซ้ายขวาอย่างหวาด ๆ

“คงไม่มีคนขึ้นมาที่นี่นานแล้ว” เฟโรสที่เดินนำแกว่งไกวดาบพร้อมต่อสู้ ดวงตาคมปลาบเหลือบมองตามซอกมุม เพื่อสำรวจถึงสิ่งแปลกปลอมที่อาจซ่อนอยู่ ชำเลืองมองไปยังด้านหลังอีกครั้ง

ไอชาเดินรั้งท้าย แหงนมองเพดานโค้งสูงประดับด้วยกระจกสี แสงที่ส่องผ่านเข้ามาเลือนราง คล้ายถูกบดบังด้วยม่านฝุ่นในอากาศ นางทิ้งสายตาไปยังปลายทางของโถงทางเดิน มองเห็นม่านบางคล้ายกำแพงกระจก จนพวกเขามาหยุดอยู่เบื้องหน้ามัน

เงาสะท้อนของสามผู้มาเยือนปรากฏชัด ประหนึ่งภาพสะท้อนในบึงน้ำยามค่ำคืน



“นับแต่มหาสงครามยุติลง จันทราแอบซ่อนอยู่ ณ ผืนแผ่นดินกลางทะเลฮาซาป นานแสนนาน จวบจนบรรพชนของเหล่ามนุษย์เข้ามายังที่แห่งนี้ อันถือเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา… โดยบังเอิญ จอมเวทบรรพกาลผู้นำเหล่ามวลมนุษย์ ได้ค้นพบการมีอยู่ของจันทรา”


“นานกว่านั้นเสียอีก ช่วงชีวิตยาวนานของเขาสิ้นสุดลง พร้อมกับ ‘มณีแห่งพันธสัญญา’ ได้กำเนิดขึ้น ประกาศการดำรงอยู่ของมัน”



ผ่านไปอีกนับหลายพันปี สงครามที่โหมกระหน่ำลงสู่แผ่นดินบูล็องต์ยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด เมื่อปฐมกษัตริย์แห่งไมอาปรารถนาในหมู่เกาะอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้

ยามที่อับราฮัมกวัดแกว่งดาบ กองทัพอันเกรียงไกรแห่งไมอาก็ล้มคลืน ราวกับคลื่นทะเลซัดกระเพื่อม ทหารกล้าจากต่างแดนล้มตายนับพันในคราเดียว พร้อมกับ ‘อัศวินแห่งคมศาสตรา’ ที่ปรากฏตัวบนหน้าประวัติศาสตร์

เคานต์หนุ่มผู้มีเรือนผมมีแดงเพลิงก้าวทะยานออกมา ชูดาบขึ้นเบื้องหน้า ผืนแผ่นดินเบื้องล่างพลันเคลื่อนไหว ยกตัวขึ้นดุจดังกำแพงยักษ์ คอยต้านรับคมดาบวายุที่หมายสะบั้นชีวิตของพวกพ้อง อำนาจของมณีไร้นามสร้างหอกศิลานับร้อยพัน พวยพุ่งจากพื้นดิน คร่าชีวิตเหล่าทหารแห่งบูล็องต์คืน ในจำนวนเท่าเทียมกับที่ไมอาต้องสูญเสีย

เพียงชั่วพริบตา กำแพงภูผาถูกทำลายจนแตกออก อัศวินแห่งศาสตราทะลวงผ่านช่องว่างนั้น หกเท้าตะกุยพื้น หกกรกระชับดาบแน่น เหวี่ยงสะบัดคมวายุคลั่ง โดยมีอับราฮัมนั่งตระหง่านอยู่บนหลังของมัน



“จันทราอยู่ใต้การอารักขาของผู้พิทักษ์ผู้สัตย์ซื่อ หนึ่งในสมบัติล้ำค่าของอับราฮัม ศัตรูอันแสนร้ายกาจที่มนุษย์หาใช่คู่ต่อสู้ของมัน”



แม้เตรียมใจและล่วงรู้ถึงสิ่งที่ต้องเผชิญ แต่ไม่อาจปฏิเสธความตื่นตระหนก ที่บันดาลถึงความสิ้นหวังในอึดใจเดียวกัน

เสียงแตกหักของม่านกระจกดังกึกก้อง แสบแก้วหูจนแทบกลบเสียงอื่นใด ประหนึ่งอสนีบาตฟาดลงสู่ผืนโลก กังวานยิ่งกว่าความโกลาหลใดที่เคยพบเจอ ม่านกระจกที่เคยขวางกั้นพังทลาย เผยร่างสูงตระหง่านของนักรบครึ่งม้าที่ก่อร่างขึ้นจากชุดเกราะเงาวับ ส่องแสงวูบไหวตามร่องเกราะราวกับเปลวอัคคีแห่งสวรรค์

หกขาอันทรงพลังย่ำลงสู่พื้นจนสั่นสะเทือน หกกรที่แข็งแกร่งจับดาบแน่น เหมือนกับใบมีดทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของร่างกาย ดาบแต่ละเล่มเปล่งประกายเงียบสงบ แต่สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็งที่แฝงเร้นอยู่ในเงาหมวกเกราะ กลับฉายชัดถึงความเดือดดาลอันไร้ขอบเขต จับจ้องตรงมา พร้อมตัดสินชะตากรรมของทุกชีวิตเบื้องหน้า

มันช่างรวดเร็วยิ่งกว่าการโจมตีใด ๆ ที่เคยพานพบ คมดาบตวัดพริบตา สร้างกระแสลมแรงปานพายุ ปลดปล่อยใบมีดอากาศเฉียดแก้มของไอชา โทมัสส่งเสียงร้องสั้น ๆ แล้วทรุดตัวลง มือกุมบาดแผลที่ต้นขา ขณะที่เฟโรสหอบหายใจ ฝืนทนกับบาดแผลที่เอว ชันเข่าแล้วประทับปืน พร้อมกันกับมือสังหารสาวที่พุ่งทะยานเข้าหาเป้าหมาย


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว