Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)-บทที่ 121 : ภาพฝันหลังประตูบานใหญ่

โดย  Luluca

Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)

บทที่ 121 : ภาพฝันหลังประตูบานใหญ่

จูเลียนลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แสงสีขาวจากเวทมนตร์เยียวยายังคงเรืองรองอยู่ในมุมสายตา ฝ่ามือที่กดเบา ๆ บนหน้าท้อง และเสียงโอดครวญของเพื่อนร่วมรบที่ระงมค่อย ๆ ปลุกเขากลับสู่ความรู้สึก แม้ความรู้สึกเสียดแทงคล้ายถูกไฟเผาจะค่อย ๆ เบาบางลงอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ร่างกายยังคงปวดตุบ ๆ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่องท้องที่ราวกับมีก้อนหินหนักอึ้งกดทับอยู่

อัศวินหนุ่มยกใบหน้าที่เปรอะเปื้อนขึ้น เพียงแค่ขยับเล็กน้อยกลับรู้สึกเจ็บแปลบจนต้องนิ่วหน้า สายตามองไปยังนักบวชหนุ่มในชุดขาวดำที่คุกเข่าอยู่ข้างกาย

“รอสักระยะหนึ่ง ท่านจะค่อย ๆ ดีขึ้น” เสียงของผู้รักษาส่งผ่านมาอย่างนุ่มนวล “ขอให้แสงแห่งศรัทธาปัดเป่าความทุกข์ และนำพาท่านสู่ความสงบสุข”

กล่าวแล้วจึงรีบลุกออกไปเพื่อดูแลผู้บาดเจ็บคนอื่น ทิ้งให้จูเลียนยังคงมึนงง พยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น

“ปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ…” อัศวินหนุ่มพึมพำในลำคอ มองดูมือตัวเองที่ยังคงสั่นเล็กน้อย

ความรู้สึกของเขาเหมือนตายไปแล้วแต่ถูกดึงชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เลื่อนสายตาลงมองหน้าท้อง จุดที่เคยถูกคมหอกสร้างบาดแผลฉกรรจ์จนแทบเอาชีวิตไม่รอด บัดนี้กลับไม่มีร่องรอยของบาดแผลเหลืออยู่ ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดที่ยังแผ่ซ่าน และความอ่อนล้าจากการเสียเลือดจนแทบไร้เรี่ยวแรง

“...ปัสกาล” ดวงตาบนใบหน้าหวานเบิกหรี่ลง มองต่ำคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงชะตากรรมของสหายรัก เหลียวมองหาคำตอบนั้นจากรอบตัว แต่กลับถูกดึงดูดด้วยเสียงอึกทึก และความอลหม่าน

ท่ามกลางเหล่าเจ้าหน้าที่พยาบาล ทหารเสนารักษ์ และนักบวช พวกเขาเร่งช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บซึ่งนอนเรียงรายรอบตัว ภาพที่เห็นชวนให้ตื่นตา เวทมนตร์เยียวยาอันน่าทึ่งกำลังทำการรักษา ฟื้นฟู เยียวยาร่างกายที่มีบาดแผลฉกรรจ์ หลายร่างที่เคยแน่นิ่งค่อย ๆ ขยับได้อีกครั้ง หลายคนที่เคยร้องครวญอย่างทุรนทุรายกลับสงบลง สีหน้าที่เคยขาวซีดเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา

สายตาของจูเลียนหยุดที่กลุ่มนักบวชในชุดปักตราสัญลักษณ์สีขาวสลับดำ ดูคุ้นตาอย่างประหลาด แม้เวทมนตร์เยียวยาที่ใช้นั้นจะมีขอบเขตจำกัด แต่พวกเขากลับรักษาทุกคนโดยไม่แบ่งแยก ไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษหรือการปฏิบัติที่เหนือกว่ากัน เสียงบทสวดและถ้อยคำที่หยิบยื่นเป็นภาษาต่างแดนลอยแว่วมาเข้าหู ชวนให้รู้สึกเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง

ขณะกำลังครุ่นคิด เสียงรัวระงมได้ดึงความสนใจของเขาไปยังขอบฟ้า มองดูเงารางของสนามรบห่างไกลออกไป สถานที่ซึ่งเขาคงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมได้อีก



เสียงโห่ร้องของกองทัพอันเกรียงไกรดังผสานกับเสียงแตรและกลองศึก เคียงคู่ไปกับเสียงคำรามของปืนใหญ่อาคม กำแพงที่เคยแข็งแกร่ง คอยปกป้องนครหลวงแห่งบูล็องต์มานานหลายชั่วอายุคนถึงกับสั่นสะเทือน ก่อนพังถล่มลงในที่สุดหลังถูกยิงเข้าเป็นนัดที่สาม

ร่างของเหล่าทหารประจำการร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่าง บ้างสิ้นลมเดี๋ยวนั้น บ้างกระเสือกกระสนเพื่อเอาตัวรอด ท่ามกลางฝุ่นควันและเปลวอาคมที่คละคลุ้ง หลายชีวิตที่ยังฝืนต่อสู้ล้วนประสบชะตากรรมไม่แตกต่างกัน นั่นคือการถูกสูบกินโดยม่านควันและเปลวเพลิง จมหายไปในหลุมดำของความโกลาหล

หลังอสูรราชาจบชีวิตลงไม่นาน เหล่าอสูรอันน่าชังได้อันตรธานไปหมดสิ้น พร้อมกันกับกำแพงสีเลือดที่เคยล้อมรอบตัวเมืองพลันเลือนหายไปด้วยกัน ทั้งหมดนี้คือสัญญาณยืนยันว่าการปกป้องจาก ‘ปีศาจ’ ได้สิ้นสุดลงแล้ว

จากบนหอคอย มองเห็นกองทัพผู้ปลดปล่อยเริ่มรวมตัว นับได้หลายพันนายที่ยังหลงเหลือจากการศึกอันหนักหนา กำลังเคลื่อนพลเข้าหาพระนครดุจคลื่นป่า อัศวินนายหนึ่งมองลงไปยังคนในชุดเกราะหนักบนหลังมังกรศึก ซึ่งเขากำลังร้องตะโกนอยู่

“ยอมแพ้ซะ! วางอาวุธ!! พวกเรามาเพื่อปลดปล่อยพวกเจ้า!!”

เสียงของเธียรี่ในชุดเกราะสีดำขลับดังกังวาน เขานั่งอยู่บนหลังมังกรคู่ใจเดินวนไปมาไม่ห่างจากประตู ดาบยักษ์เต็มไปด้วยเลือดของเหล่าอสูรยกขึ้นสูง แผดเสียงสร้างแรงกระเพื่อมให้กับผู้คนหลังกำแพง

ไม่ไกลกัน อาคินกำลังรวบรวมไพร่พลที่แตกทัพเข้าด้วยกัน บาดแผลหลายแห่งบนร่างกายไม่หนักหนาอะไร และดูจะไม่มีปัญหากับการบุกเข้าสู่นครที่ตายไปแล้ว เสียงสั่งการของเขาแผดดังไม่หยุด เช่นเดียวกับเสียงกีบทั้งสี่ที่กระทบพื้นวนไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“ครอบครัวของพวกเจ้าอยู่หลังกำแพงนั่น”

นักรบครึ่งม้าย่ำเท้ามาหยุดเบื้องหน้า เพ่งพินิจเหล่าร่างไร้ชีวิตของอัศวินจำนวนหนึ่งที่นอนกองก่ายกัน ภาพที่พวกเขาพร้อมใจกันพุ่งเข้าหาอสูรยักษ์ยังคงติดตรึงในสายตา แม้การเสียสละของพวกเขาจะซื้อเวลาได้เพียงไม่กี่อึดใจก็ตาม

“รออีกเดี๋ยวเถอะ ข้าจะพาพวกเขาออกมา”



เบื้องหน้าทัพหลวงที่กำลังเคลื่อนพล กองอัศวินกำลังจัดแถว หน่วยเกาทัณฑ์ต่างแปรสภาพเป็นทหารเสนารักษ์ คอยช่วยขนย้ายคนเจ็บ

“ท่านจะไม่เข้าเมืองจริงหรือ?”

โคราลีเอ่ยถามเคาน์เตสราเชลที่ถอนใจเบา ๆ อย่างอ่อนแรง นางเพียงยิ้มจาง หลุบสายตาลงต่ำอย่างลังเล ก่อนจะเปล่งคำตอบที่แฝงความเจ็บปวดออกมา

“หน้าที่ของข้าจบลงแล้ว คนใจคดเช่นข้าไม่ควรยืนอยู่บนแผ่นดินนี้อีก”

“ข้าไม่คิดเช่นนั้น ขอท่านช่วยตรองเสียใหม่”

อัศวินหญิงจ้องเขม็ง คำพูดแน่วแน่พยายามเหนี่ยวรั้ง ริมฝีปากเผยอขึ้น ค้างอยู่อย่างนั้น ราวกับต้องการถ่ายทอดถ้อยคำอีกมากมายซึ่งอัดแน่นอยู่ในใจ แต่เสียงแตรศึกและกลองรบที่ดังขึ้นกลับสะกดคำพูดเหล่านั้น

“เจ้ารีบไปเถิด”

สตรีสูงศักดิ์หมุนตัวหันหลังให้ อัศวินผู้หนึ่งประคองนางปีนขึ้นหลังม้า ชำเลืองมองมาอีกครั้ง แล้วจึงควบออกไปพร้อมกับผู้ติดตามเพียงหยิบมือ

“...ท่านหญิง”

โคราลีทำได้เพียงมองแผ่นหลังนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้า นำกองอัศวินตั้งแถว ควบเคลื่อนอย่างพร้อมเพรียง มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองพร้อมกับทัพหลวง



ทหารบนแนวกำแพงหลายคนเริ่มโยนอาวุธลงกับพื้น ไม่มีเหตุผลใดให้ต่อสู้อีกต่อไป นายกองบางคนที่ยังดื้อดึง ยืนกรานให้พวกเขาสู้ต่ออย่างไร้จุดหมาย ถูกเหล่าทหารใต้บัญชาการลุกฮือขึ้นโค่นลง ความขัดแย้งภายในจบสิ้นลงพร้อมกับเสียงโห่ร้องยินดีที่เริ่มดังขึ้น พวกเขาต่างโบกมือให้กับกองทัพผู้ปลดปล่อยที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ ประกาศถึงการรอคอยอันยาวนานที่กำลังสิ้นสุดลง

พลเมืองที่เคยซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของตรอกซอยและอาคารต่าง ๆ ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมา ทีละคนสองคน สมทบกับกลุ่มคนที่เฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว ดวงตาที่เคยหม่นหมองของพวกเขาฉายแววแห่งความหวังอีกครั้ง เมื่อมองไปยังแนวกำแพง ทหารหลายนายเร่งเปิดประตูเมือง เกิดเป็นเสียงโลหะบดเคลื่อน ประตูที่เคยปิดตายมานานเริ่มขยับออกทีละน้อย ท่ามกลางความหวังที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน

ในช่วงจังหวะนั้น เสียงแหวกอากาศกระแทกหูชวนให้สะดุ้ง แรงลมกระชากผืนธงเก่าหลุดจากแนวกำแพง ปีกมหึมาสยายออกกว้างบดบังแสงแดดยามบ่ายแก่ พุ่งผ่านแนวกำแพงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

เปรียบประหนึ่งมนตร์สะกด เสียงอื้ออึงจากกลุ่มชนเงียบลง ความหวังที่ฉายชัดเมื่อครู่เหมือนถูกจับยึดไว้กลางอากาศ ความสับสนเกาะกินดวงตาทุกคู่ ท่ามกลางความเงียบที่หนักอึ้ง



ขณะที่ทัพหลวงเคลื่อนเข้ามายังใจกลางสมรภูมิ และทัพหน้ากำลังรอคอยให้ประตูบานใหญ่เปิดออก ความเงียบงันชั่วขณะเข้าปกคลุม ท่ามกลางเสียงลมพัดจนผืนดินสะเทือนไหว ดวงตาของทหารเหล่ากล้าจับจ้องไปยังบางสิ่งบนฟากฟ้า ตามมาด้วยเสียงพร่ำอย่างสงสัย

“นั่นมัน…?”

“มังกร…”

“บูล็องต์มีมังกรด้วยหรือ?”

ฌองหรี่ตาลง สายตาของเขาจับจ้องไปยังเงามหึมาที่สยายปีกกว้าง ประสบการณ์ย้ำเตือน ความรู้สึกบางอย่างแล่นวูบไปทั่วร่าง ฉับพลัน มือหนึ่งดึงธนูออกมาขึ้นสาย เร่งเร้าอำนาจจากมณีที่ถือครองในชั่วพริบตา

“ไม่… ไม่ใช่มังกร”

ดวงตาสีม่วงเข้มของ ลา รุฟเฟียน่า เบิกกว้าง ลมหายใจขาดห้วงลง พร้อมเอ่ยคำที่เปลี่ยนความสงสัยให้กลายเป็นความสะพรึง

“นั่นมัน อสูรบรรพกาล”



“ข้ากำเนิดขึ้นจากพันธนาการแห่งเจตจำนง เพื่อการพิพากษา คืนทุกสรรพสิ่งสู่สมดุล”



ทันใดนั้น เสียงหวีดแหลมสูงจนแสบแก้วหูดังขึ้น ราวกับเสียงกรีดร้องของโศกนาฏกรรมที่มองไม่เห็น ห้วงพลังบางอย่างฉีกผ่านอากาศอันเงียบสงบ ประหนึ่งความโกรธเกรี้ยวจากทวยเทพได้สาดซัดลงมา ก่อเกิดประกายแสงเจิดจ้า

อำนาจของมันเปรียบประหนึ่งมีปืนใหญ่อาคมนับร้อย ทุ่มยิงลำแสงลงสู่พื้นในพริบตาเดียว พิพากษา ทำลายล้าง กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง และดับประกายแสงแห่งความหวังทั้งมวล


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว