ลมหนาวที่เคยโอบล้อมสมรภูมิแผ่วลง ราวกับกำลังเฝ้ารอการเริ่มต้นของศึกใหญ่ ธงสีน้ำเงินเข้มและธงประจำตระกูลหลายสิบผืนโบกสะบัดใต้ฟากฟ้าหม่น พลิ้วไหวไปตามจังหวะสายลม คอยแซ่ซ้องเหล่าวีรชนเหนือแนวทัพอันเกรียงไกร
ไพร่พลนับเจ็ดหมื่นนายเรียงรายตามแนวรบ กองอัศวินตั้งแถวโดดเด่นบนหลังม้า ย่ำเกือกหนักแน่น ซ่อนใบหน้ามุ่งมั่นไว้ใต้หมวกเหล็ก เผยแววตาเด็ดเดี่ยวเล็ดลอดจากช่องมองแคบ นำทัพโดย ‘ฌอง’ มาร์กีแห่งไวน์แอต แม่ทัพใหญ่แห่งราชอาณาจักรไมอา ผู้พิทักษ์บัลลังก์แห่งไมอาเรีย ข้างกายฝั่งขวาคือ ‘ลา รุฟเฟียน่า’ ข้าหลวงใหญ่ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คลังความรู้แห่งไมอา
ฝั่งซ้ายของมาร์กีแห่งไวน์แอต ขนาบด้วยผู้นำกองทัพแห่งบูล็องต์ ‘วิโอล่า’ สายเลือดแห่งดยุกผู้พิชิต นางยืนอยู่บนรถศึกคันใหญ่ นำสายตาของกองทัพบูล็องต์ราวมรดกแห่งชัยชนะ เคียงคู่กับเคาน์เตส ‘ราเชล’ ผู้มากอำนาจ ถัดมาคือ ‘คลีมองต์’ บารอนแห่งคานาอัน และบารอน ‘เธียรี่’ ที่นั่งอยู่บนหลังมังกรศึก คู่เคียงกับ ‘โคราลี’ หัวหน้าอัศวินแห่งคานาอัน ขุนพลหญิงบนหลังอาชาสีขาวปลอด ใกล้กันคือหัวหน้ากองอัศวินที่หนึ่งแห่งบูล็องต์ ‘ปัสกาล’ หัวหน้ากองอัศวินที่สอง ‘จูเลียน’ และหัวหน้ากองอัศวินที่สาม ‘อาคิน’
ดาบ หอก และโล่ของเหล่าอัศวินวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน พาดผ่านเส้นขอบฟ้า ประหนึ่งกำแพงเหล็กที่พร้อมจะเคลื่อนทับทุกสรรพสิ่ง เสียงกลองศึกดังเป็นจังหวะ ปลุกขวัญกำลังใจในหมู่พล ควบไปกับเสียงแตรศึกที่คอยเร่งเร้า เกือกเหล็กย่ำเหยียบดินแข็ง ส่งกระแทกเสียงดังระงม เคียงกับเสียงลมหายใจของอาชาศึก สัตว์สงครามแผดเสียงคำรามกึกก้อง ขยับเท้าไปมาอย่างกระสับกระส่าย ไม่คิดปิดซ่อนความเกรี้ยวกราดที่ฉายชัดในดวงตา
หลายคนยังจดจำฝันร้ายนั้น แม้ว่าหลายคนจะไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับมาก็ตาม เบื้องหน้าไกลออกไปคือแนวกำแพงอาคมสีเลือดที่ล้อมเมือง ปรากฏเงาดำทะมึน ทั้งบนพื้นดิน และกลางผืนฟ้า ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากม่านหมอกที่ปกคลุมเมือง
จากเงามืดใต้กำแพงเมือง เสียงคำรามต่ำดังสะเทือนลั่นอย่างน่าขนลุก คล้ายกับเสียงกรีดร้องจากใต้พิภพ พวกมันเหมือนหลอมรวมตัวขึ้นจากความมืดมิด ก่อเกิดเป็นรูปร่างน่าสยอดสยอง เงาปีกขนาดใหญ่กระพือเหนือฟากฟ้า ราวกับจะบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ กรงเล็บแหลมคมตะกุยพื้น ปลุกฝุ่นดินลอยฟุ้ง เห่าหอนส่งเสียงแหลมสูง มุ่งหน้าเข้าหากองทัพมนุษย์ราวกับน้ำป่าทะลักล้น
บรรยากาศหนักอึ้งสงบลงชั่วพริบตา ก่อนเสียงกลองจะดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสียงแตรที่โหมกระหน่ำสะเทือนแผ่นฟ้า อันเป็นสัญญาณแห่งการต่อสู้
ปืนใหญ่อาคมนับสิบกระบอกคำรามสนั่น ลำแสงพลังงานพุ่งตัดผ่านอากาศ ตีวงโค้งราวกับอุกกาบาตลุกไหม้ ตกลงกลางฝูงอสูร ทั้งบดขยี้ เผา และฉีกร่างของพวกมัน เครื่องเหวี่ยงหินนับร้อยส่งเสียงกระแทกเป็นจังหวะ ส่งลูกเพลิงขนาดใหญ่พุ่งข้ามแนวรบ ตกลงดักเบื้องหน้าและกลางฝูงหมู่มวลอสูร ศรเพลิงนับหมื่นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะยานเข้าหากองทัพอสูรที่กระพือปีกดำมะเมื่อม
เคาน์เตสราเชลยกมือขึ้นเหนือศีรษะ เสียงกระซิบแผ่วเบาราวกับบทเพลงแห่งความมืด ก้องสะท้อนในอากาศ ก่อเกิดวงอาคมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนผืนดิน มหามนตราแห่งอนธการบันดาลอำนาจแผ่ไพศาล ปลุกชีวิตที่หลับไหล
เศษกระดูกและซากศพใต้พื้นสมรภูมิเริ่มปะติดปะต่อ รวมตัวกันอย่างน่าขนลุก ก่อเกิดเป็นโครงร่างแห่งความตาย ยืนตระหง่านพร้อมดวงตาที่ลุกวาวด้วยเปลวไฟอาคม เคียงคู่กับโครงกระดูกเหล่านั้น วิญญาณสีหม่นต่างย่างกรายเข้าสู่สมรภูมิ ยืนเคียงข้างมนุษย์ในฐานะทหารเลว กองหน้าผู้ไม่รู้จักความหวาดกลัว
“เจ้าลืมตาดูโลกในชั่วพริบตาที่หินเพลิงกระแทกผืนโคลน ภายใต้เสียงโห่ร้อง กลองศึก และแตรเขาสัตว์กังวานก้อง”
เสียงนั้นยังดังก้องอยู่ในจิตใจของนาง ไม่เคยเลือนหายไป แม้รายละเอียดจะจางหายราวหมอกในยามเช้า แต่ความรู้สึกกลับย้ำเตือนอยู่เสมอ ราวกับรอยแผลที่แม้กาลเวลาจะพัดผ่าน แต่ยังฝากร่องรอยเจ็บปวดไว้ในห้วงลึกของความทรงจำ
มันไม่ใช่เสียงแห่งเกียรติยศ ไม่ใช่บทเพลงแห่งชัยชนะ หากแต่เป็นเสียงของความกระหายเลือด คอยดื่มกินวิญญาณผู้บริสุทธิ์ ขับขานความทุกข์ระทมในทุกท่วงทำนอง
นางหวาดกลัวมัน เกลียดมัน… เกลียดทุกสิ่งที่ชักนำและก่อกำเนิดมัน
“และเพราะอย่างนั้นจึงต้องมีพวกเรา… จึงต้องมีบาร์บารี”
“นั่นคือเหตุผลในการมีอยู่ของข้า”
ลึกลงไปใต้สมรภูมิ ในเครือข่ายทางระบายน้ำใต้ดินเก่าแก่ มองเห็นน้ำทิ้งสาดกระเซ็นสะท้อนแสงตะเกียงอาคม ฝีเท้าสามคู่กระทบน้ำเฉอะแฉะดังก้องกังวาน สะท้อนตามกำแพงหินที่โค้งเป็นวง
“เจ้าช้าเกินไปหรือเปล่า โทมัส” เฟโรสหันมองชายร่างสูงโปร่งที่กระชับหน้าไม้ไว้ในมือ ถูกทิ้งห่างออกเรื่อย ๆ
“เจ้ามาคาดคั้นกับพลาธิการอย่างข้าเนี่ยนะ!?”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว