Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)-บทที่ 36 : สะพานและป้อมปราการ

โดย  Luluca

Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)

บทที่ 36 : สะพานและป้อมปราการ

เธอหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง แต่แล้วอีกฝ่ายกลับหยุดการกระทำของตัวเอง จ้องมองใบหน้าของเธอแล้วจู่ๆ ก็ปล่อยมือ น้ำเสียงเขาทั้งอับอายและตื่นตระหนก “ใช่คุณโยโกตะแห่งนาระหรือเปล่า?”

เธอจับความเปลี่ยนแปลงจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้ ท่าทีที่แสดงออกอย่างดื้อรั้นเมื่อครู่จึงพังทลายในชั่วพริบตา ซูซูโกะปิดหน้าปิดตาแล้วกรีดเสียงร้องไห้ออกมา

ในปีนั้น ฉีเฝิงซวีที่หลบหนีออกจากตะวันออกเฉียงเหนือมาได้ก็ถูกย้ายตัวลงไปรับตำแหน่งเสนาธิการทหารบกอยู่ทางตอนใต้ทุกอย่างดำเนินการภายใต้เส้นสายของบิดาตน ส่วนซูซูโกะ... เป็นเพราะว่าได้พบกับนายทหารที่สนิทสนมกับบิดาของเธอเข้าโดยบังเอิญ จึงรอดพ้นจากปากเหยี่ยวมาได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นก็ถูกย้ายไปอยู่ในหน่วยแพทย์ป้องกันโรคระบาดเป่ยยินเหอ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฮาร์บิน

ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปถึงสองปี ฉีเฝิงซวีถูกบิดาบังคับให้ไปยังชิงผิงเพื่อแต่งงานกับเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยน บุตรสาวของผู้บัญชาการตำรวจ ทำเอานอนไม่หลับไปตลอดคืน

ก่อนวันแต่งงาน จู่ๆ ก็มีสาวใช้คนหนึ่งส่งซองกระดาษสีแดงเข้ามาให้หนึ่งซอง บอกว่าเป็นของขวัญจากเพื่อนคนหนึ่งของเขา

ฉีเฟิงซวีฉีกซองกระดาษนั้นออกอย่างอ่อนเพลีย กลับพบว่าด้านในนั้นเป็นเพียงรูปถ่ายขาวดำธรรมดาๆ รูปหนึ่ง ในรูปเป็นงานวัดของนาระในปีนั้น ซูซูโกะจ้องมองมายังเขาด้วยสายตาที่อบอุ่นอ่อนโยนและลึกซึ้ง

จำได้ว่ารูปนี้ปรินต์ออกมาหนึ่งชุด... มีสองใบ เขากับซูซูโกะแยกเก็บไว้กันคนละใบ

ฉีเฝิงซวีจ่อปืนเข้ากลางหน้าผากของพ่อบ้าน สั่งให้หลีกทางให้ ก่อนจะปีนกำแพงออกไป แต่นอกกำแพงคฤหาสน์กลับไม่มีเงาของผู้ที่สาวใช้บอกว่ามาส่งของขวัญ เขาวิ่งตามเส้นทางที่มุ่งไปสู่ท่าเรือ

ท่าเรือในกลางดึกเงียบสงัดราวกับหลับใหล

ฉีเฝิงซวีตะโกนเรียกชื่อของซูซูโกะจนเสียงแหบเสียงแห้ง ตะโกนจนถูกความสิ้นหวังกัดแทะกลืนกิน พอเขาคุกเข่าลงกับพื้นที่ชื้นและหนาวเหน็บซูซูโกะจึงค่อยเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ มองราวกับแสงสว่างอันอบอุ่นอ่อนโยนที่ฝ่าความมืดในยามค่ำคืนมาหา

เรียวนิ้วสั่นสะท้านสัมผัสหน้าผากของฉีเฝิงซวี ก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตา “หนุ่มนักเรียน นายกำลังตามหาฉันอยู่เหรอ?”

ฉีเฝิงซวีเงยหน้า ปลายนิ้วแตะเข้ากับมือของเธอ หลังจากแน่ใจแล้วก็คว้ามันเอาไว้แน่น

น้ำตาของซูซูโกะไหลพราก หลอมรวมไปกับสายฝนที่อบอุ่นอ่อนโยนของชิงผิง


“ถึงแม้จะเป็นกาฬโรค แต่ก็ยังมีโอกาสรักษาได้นี่ อีกแค่สองวันสองคืนก็ถึงฮั่นซิ่งกันแล้ว ยังไงก็ต้องหาย”

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนปลอบคนไม่เก่ง แต่ละคำที่ออกจากปากตะกุกตะกักมากทีเดียว

ฉีเฝิงซวีเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยน “พวกคุณไม่รู้อะไร... ความจริงทีมป้องกันโรคระบาดของทางญี่ปุ่นที่ซูซูโกะเข้าร่วมก่อนหน้านี้ กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับแบคทีเรียกันอยู่”

ซูซูโกะถอนหายใจอย่างอ่อนแรง ช่วยอธิบายต่อ “หลังจากที่ย้ายเข้าไปทำงานได้หนึ่งปี ฉันถึงเพิ่งรู้ว่ามีการทดลองกับร่างกายมนุษย์ที่ยังหายใจอยู่ มีทั้งเด็กเล็ก... แล้วยังจะ... เฮ้อ ฉันปล่อยคนจีนเหล่านั้นไปหลายคนแล้วตัวเองก็หนีออกมา แต่จะกลับญี่ปุ่นก็ไม่ได้ในใจจึงคิดเพียงว่าขอมาเจอหน้าเขาอีกสักครั้ง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะลากพวกคุณสองคนเข้ามาเกี่ยวด้วย”

“คุณเซี่ย” ฉีเฟิงซวีพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พ่อของพวกเราทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในเรื่องของการแต่งงานทั้งคุณกับผมต่างก็หนีงานแต่งมาด้วยกันทั้งคู่ ก็ถือว่าหายกันแล้ว นับว่าเราไม่
ติดค้าง พวกคุณสองคนออกจากห้องนี้ไปแล้วช่วยล็อกประตูห้องตัวเองด้วย ระหว่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องยกน้ำยกอาหารเข้ามาให้พวกเราอีก สองวันสองคืนก็ถึงฮั่นซิ่งแล้ว บางทีอาจจะพอรักษาชีวิตของพวกคุณเอาไว้ได้บ้าง”

เซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับได้ยินเสียงปลดล็อกและเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังขึ้นมาจากทางด้านนอกห้องโดยสารเสียก่อน ตู้ว่างเดินไปยื้อประตูเอาไว้ แง้มเปิดไว้เพียงช่องเล็กๆเท่านั้น “เกิดอะไรขึ้น?!”

พนักงานเรือโดยสารส่งเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาอย่างอดไม่ได้ “มีผู้ป่วยอาการกำเริบน่ะค่ะ”

ตู้ว่างกวาดมองไปยังใบหน้าของเด็กน้อย “แค่เป็นไข้ตัวร้อนจากลมหนาวเท่านั้น ไม่ใช่กาฬโรค รีบอุ้มกลับไปเร็วเข้า”

แต่จู่ๆ สีหน้าพนักงานกลับเปลี่ยนสี หล่อนเถียงออกมา “คุณรู้ได้ยังไงว่านี่ไม่ใช่กาฬโรค แล้วถ้าเกิดว่าใช่ขึ้นมาล่ะ! ชีวิตของคนข้างนอก คือไม่ต้องเอากันแล้วอย่างนั้นเหรอคะ?”

ตู้ว่างตอบกลับนิ่งๆ ว่า “ผมบอกไปแล้วว่าไม่ใช่ ถ้ายังดื้อจะเอาเด็กเข้ามาในห้องนี้ให้ได้ ก็หมายความว่า ชีวิตของเด็กคนนี้พวกคุณไม่เอาแล้วงั้นสิ?”

พนักงานยังคงไม่ลดราวาศอก

ตู้ว่างจึงถือโอกาสยื่นมือข้างหนึ่งออกไปคว้าข้อมือของอีกฝ่าย ยกยิ้มมุมปาก “คุณก็คิดดูให้ดีก็แล้วกัน เพราะบางทีผมอาจจะติดเชื้อเข้าแล้วก็ได้”

พนักงานกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาทันที ตกใจจนถอยหลังกรูด ตู้ว่างจึงฉวยโอกาสปิดตายประตู แต่พอหันกลับมากลับต้องสบเข้ากับสายตาเป็นกังวลของเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนเสียอย่างนั้น หนำซ้ำหล่อนยังเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันรู้ว่าคุณมีอีกหลากหลายวิธีรับมือ รบกวนช่วยซูซูโกะหน่อยเถอะนะคะ”

ตู้ว่างตีสีหน้าเฉยเมย “คุณคิดว่าผมมีความสามารถมากแค่ไหนกัน ถึงได้มาขอให้ฝืนลิขิตฟ้าพลิกชะตามนุษย์!”

เซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนยื่นมือออกมา เผยให้เห็นป้ายสีแดงของเกี้ยวมงคลหงส์คู่มังกร “ป้ายเกี้ยวแผ่นนี้ก็ไม่ใช่ฝีมือคุณด้วยงั้นสิ?”

ตู้ว่างรีบคว้าป้ายเกี้ยวบนมือของเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนกลับไปอย่างรวดเร็ว ป้ายเกี้ยวเพิ่งจะทันได้ตกถึงมือของตู้ว่าง ก็พลันมลายหายไปในชั่วพริบตาแล้ว นัยน์ตาหงส์ของตู้ว่างกลอกไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ป้ายเกี้ยวอะไรกัน ทำไมผมไม่ยักจะเคยเห็นมาก่อน!”

เซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนถูกทำให้โกรธจนถึงกับน้ำตาตก “เกี้ยวของทางร้านเกี้ยวกว่างจี้ แต่ละหลังต่างก็มีพลังที่แตกต่างกันออกไป คุณ! คุณจะไม่มีสักหลังที่สามารถเรียกคนตายให้ฟื้นคืน หรือรักษาสารพัดโรคได้เลยเหรอ?”

ตู้ว่างหันหลังเดินหนีทันที “ถ้าคุณเซี่ยมีเวลามาพูดจาเพ้อฝัน ไม่สู้เอาไปภาวนาให้ถึงฮั่นซิ่งเร็วๆ ดีกว่านะครับ”

แต่แล้วทางด้านหลังกลับไม่มีเสียงตอบกลับ ได้ยินเพียงเสียงตุบดังขึ้นมาเสียงหนึ่งเท่านั้น ซึ่งพอตู้ว่างหันกลับมาดู เซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนก็ลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย ตู้ว่างรีบปรี่เข้าไปอุ้มเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะอังมือตรงหน้าผากและรับรู้แต่เพียงว่ามันร้อนลวกทีเดียว

เซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนพยายามฝืนยิ้มออกมา “ถ้าคุณไม่ได้มีหนทางช่วยเหลือละก็ ตอนนี้อย่ามาใกล้ฉันเด็ดขาดเลยเชียว เดี๋ยวจะติดเอาได้...” เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าของตู้ว่างที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นเงารางเลือน ปลายนิ้วของเธอแตะลงบนมือของตู้ว่าง น้ำเสียงฟังล่องลอยและแหบพร่า “ทำไม... ตอนอยู่บนเกี้ยวมงคลหงส์คู่มังกรฉันถึงเห็นหน้าคุณด้วย... คุณ...”

ประตูห้องถูกเคาะอย่างดุเดือด ทางด้านนอกมีเสียงอึกทึกครึกโครม เสียงของพนักงานเรือตะโกนลั่น “วิทยุเพิ่งส่งข่าวเข้ามา แจ้งว่าทหารทำรัฐประหารที่ฮั่นซิ่ง ท่าเรือถูกปิดไปแล้ว เรือของ
พวกเราต้องลอยลำอยู่ที่จุดเดิมเท่านั้น คุณผู้ชาย! คุณ...”

จู่ๆ ตู้ว่างก็รู้สึกว่าในหูนั้นดังอื้ออึงราวกับว่ามีเสียงมากมายนับพันหมื่น


ประตูห้องพิเศษถูกเปิดออกอย่างฉับพลัน พร้อมกับตู้ว่างที่อุ้มเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนเข้ามา

ซูซูโกะนอนอยู่ในอ้อมแขนของฉีเฝิงซวีอย่างเงียบเชียบ

ฉีเฝิงซวีเหลือบมองไปยังเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนที่อยู่ในอ้อมแขนของตู้ว่างแวบหนึ่ง พลางเสียงแหบแห้งก็เอ่ยขึ้น “ถ้าติดเชื้อเข้าแล้ว คุณก็วางเธอลงแล้วรีบออกไปเสียเถอะ อย่าเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งเปล่าเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบเลย”

ตู้ว่างอุ้มเซี่ยเสี่ยวเจวี่ยนเข้ามาวางที่โซฟาตัวข้างๆ พร้อมกับยอบร่างลง มองตรงเข้าไปยังดวงตาของฉีเฝิงซวี “คนเราต่างก็มีหัวใจเหมือนๆ กัน คุณจะมาพูดแบบนี้กับผมทำไม”

เขาถอดแว่นตาออก นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นลึกล้ำราวกับสระน้ำ

ฉีเฝิงซวีจ้องตาคู่นั้นแล้วรู้สึกง่วงงุนก่อนจะผล็อยหลับไป

ทันใดนั้นซูซูโกะก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก ตู้ว่างเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง “ฮั่นซิ่งมีรัฐประหาร ท่าเรือถูกสั่งห้ามไม่ให้มีการผ่านเข้าออก โรคกาฬโรคของคุณรุนแรงมาก เพิ่งจะผ่านไปได้แค่หนึ่งวันหนึ่งคืนเรือลำนี้ก็กลายเป็นนรกบนดินไปแล้ว แน่นอนว่ารวมฉีเฝิงซวีเข้าไปด้วย ผมช่วยคุณไม่ได้ แต่ผมอยากให้คุณไปช่วยคนอื่น ถ้าคุณยินดี ผมสามารถช่วยให้คุณสมปรารถนาได้”

เขาแบมือออก ป้ายเกี้ยวสีเขียวไม้ไผ่แผ่นหนึ่งก็พลันหมุนติ้วขึ้นมากลางฝ่ามือ แล้วกลายเป็นเกี้ยวสีไม้ไผ่เขียวขจีที่ตั้งขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์ เพียงแต่มันมีขนาดแค่สิบนิ้วเท่านั้น มันลอยอยู่เหนือฝ่ามือที่ว่างเปล่าของตู้ว่าง “นี่คือเกี้ยวหวนคืนสู่วันฝัน คุณสามารถเข้าไปเอาของสำคัญออกมาจากความทรงจำในอดีตที่ผ่านมาของคุณได้หนึ่งอย่าง เช่นเซรุ่มแก้พิษ”

“ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดออกมา หนึ่ง... เป็นเพราะคุณกับผมยังรู้จักกันไม่ลึกซึ้ง แล้วผมตู้ว่างแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดจะทำการค้าที่ขาดทุน สอง... การเดินทางในครั้งนี้จะทำให้ร่างกายของคุณได้รับความเสียหายอย่างหนัก คุณซึ่งป่วยหนักเกินกว่าที่จะเยียวยาคงจะทนอยู่ต่อไม่ไหว ดังนั้นพูดไปก็เปล่าประโยชน์”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว