สิบเจ็ดปีก่อน
ความหนาวเหน็บเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วป่าสนเมื่อย่างเข้าสู่เดือนธันวาคม รถม้าคันใหญ่ติดธงสีน้ำเงินจอดอยู่ริมถนนดิน ห่างจุดตั้งแคมป์เพียงระยะสายตา แสงไฟจากคบเพลิงฉายให้เห็นอัศวินในชุดเกราะเต็มยศสองนาย
พวกเขาสวมเสื้อเกราะบุนวมยาวถึงหัวเข่า สวมทับด้วยเสื้อเกราะโซ่ถัก และสวมทับอีกชั้นด้วยชุดเกราะแบบเต็มตัวที่ป้องกันทั้งลำตัว หัวไหล่ แขน และขา สวมหมวกเกราะปิดบังใบหน้ามิดชิด
“ข้าไม่เห็นด้วย มาหยุดพักแรมในป่าแบบนี้เนี่ยนะ”
อัศวินรูปร่างล่ำสันเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มห้าวแฝงความไม่พอใจ มองสำรวจรอบด้าน ราวกับต้องการยืนยัน ว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้สถานการณ์นี้สมเหตุสมผลขึ้นมาได้
“ยังดีกว่าเดินทางต่อจนถูกหิมะกลบฝังเอากลางป่า หรือโชคร้ายอาจได้เป็นอาหารสัตว์ประหลาด” อัศวินอีกคนกล่าวขัดผ่านน้ำเสียงหยาบกระด้าง ดวงตาดุดันจ้องลอดผ่านช่องมองของหมวกเกราะ
อีกฝ่ายหันขวับ สีหน้าขุ่นเคืองฉายชัดเมื่อถูกขัดคอ
“ฮะ!? สัตว์ประหลาด? ก็อบลินเหรอ หรืออะไรดีล่ะ”
“เจ้าไม่รู้หรือไงว่าป่าของไมอาเกือบทั้งหมดเต็มไปด้วยอันตรายถึงเก้าในสิบส่วน”
“ข้าเป็นชาวไมอา ทำไมจะไม่รู้ว่าก็อบลินอันตรายน้อยกว่าหมีเสียอีก หรือต่อให้เป็นออร์กสักสิบตัวใช่ว่าพวกเราจะจัดการมันไม่ได้”
“ออร์กไม่ได้มีถิ่นที่อยู่แถวนี้ เจ้าเป็นชาวไมอาจริงหรือเปล่า”
“แค่เปรียบเปรยว้อย!”
“บอกมาตามตรงเถอะ เจ้าแค่อยากรีบกลับไปนอนกอดเมียชู้ของเจ้า”
“มันแน่อยู่แล้ว!! ชวนให้หงุดหงิดจนแทบระเบิดเลย! พวกเราขึ้นเรือมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง พักที่ท่าเรือ เดินทางอีกแค่ครึ่งวันจนถึงเรซา นี่คือเส้นทางที่ดีที่สุด แต่ขากลับกลายเป็นว่าเราต้องมาอ้อมผ่านป่าบ้านี่ ใครมันต้นคิดวะ!! หนาวจะตายชัก”
“ช่วยเบาเสียงหน่อยก็ดี เจ้าอาจถูกจับโยนใส่กรงได้”
“เฮอะ ข้าต้องกลัวนังแพศยานั่นด้วยเรอะ”
อัศวินร่างบางกว่าละความสนใจ บ่ายหน้าจากอีกฝ่ายที่ส่งเสียงหัวเราะอย่างน่ารำคาญ ก่อนเบือนหน้าไปยังแสงไฟวูบไหว
แสงสว่างจากกองไฟเผยให้เห็นซากอารยธรรมโบราณ มันตั้งเด่นเป็นสง่า ราวกับป้อมปราการหลังน้อยที่แม้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเนิ่นนาน แต่โครงสร้างอันยิ่งใหญ่ยังคงยืนหยัดข้ามยุคสมัย ดังเช่นเสาหินต้นใหญ่ที่ตั้งตระหง่านแม้ไม่มีเพดานให้ค้ำยัน หรือกำแพงหินที่ผุพังจนเหลือเพียงครึ่ง แต่ยังพยายามโอบล้อมลานโล่งเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
เพื่อให้แน่ใจได้ว่าบุคคลสำคัญของคณะจะปลอดภัย พวกเขาวางเวรยามเป็นอัศวินอีกหกคนรอบนอกกำแพงตามจุดต่าง ๆ คอยผลัดเวรกันไม่ขาด แต่ละคนต่างมีอาวุธประจำกายหลากหลาย ทั้งดาบยาว ขวานสงคราม กระบองหนาม หอก และหน้าไม้ ดวงตาของพวกเขากวาดมองอย่างระมัดระวัง คอยฟังเสียงลมพัดหวือและเสียงใบไม้ไหวรัว ราวกับกำลังค้นหาเหล่าอสูรร้ายที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืด
ด้านในของลานกว้างใกล้กับกองไฟ ร่างเล็กสามคนนั่งอยู่เคียงกัน
“ข้ามิอาจรับน้ำใจ เชิญคุณหนูรับประทานเถิด” สาวรับใช้อิดเอื้อน
คำปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ถูกตอบรับ เด็กหญิงสูงศักดิ์ไม่ละความพยายาม แอปเปิลสีสดถูกดันเข้ายังอกของสาวรับใช้ โดยมีฝ่ามือของอีกฝ่ายรองอยู่ นางดึงดันหนักแน่นไม่ฟังเสียงครวญของเด็กหญิง
“เจ้าไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว” เด็กหญิงยังคะยั้นคะยอ
“ข้าต้องถูกท่านหญิงลงโทษอีกเป็นแน่หากขัดคำสั่ง”
“เจ้าไม่พูด เราไม่พูด ใครจะรู้”
“โธ่ คุณหนู…”
ความดื้อดึงของสาวน้อยไม่เป็นผลดีกับอีกฝ่าย นางปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่นเทาอย่างกระอักกระอ่วนใจ ยิ่งนึกถึงใบหน้าถมึงทึงของท่านหญิงแล้ว พาลทำเอาหัวใจดวงน้อยหล่นตุ้บลงบนพื้น
เมื่อความพยายามไม่สำเร็จคุณหนูตัวน้อยจึงหน้ามุ่ย ส่งเสียงฮึดฮัด เหวี่ยงสายตามองกองไฟกองใหญ่กลางลานกว้าง ห่างออกไปนับหลายสิบก้าว จดจ้องอัศวินสามคนนั่งพักหลังเปลี่ยนเวร มีสองคนนั่งข้างกองไฟ คนหนึ่งกำลังก่อไฟขึ้นใกล้ ๆ กันอีกกอง ส่วนอัศวินที่เหลืออีกสิบสองชีวิตแยกย้ายกันพักผ่อนอยู่รอบลาน
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว