ยามเมื่อสันติสุขถูกก้าวล่วง บาร์บารีจะเคลื่อนไหว เป็นอย่างนั้นเสมอมา
คำกล่าวของรูนคือ ‘ประกาศจากบาร์บารี’ อันเป็นถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงการวิงวอนอย่างนุ่มนวล แต่พร้อมจะหยิบยื่นความตาย เพื่อแสดงให้ประจักษ์ถึงพลังอำนาจ เมื่อคำวิงวอนนั้นถูกเพิกเฉย มันคือภาษาที่เหล่าชนชั้นปกครองล้วนเข้าใจตรงกัน เปรียบประหนึ่งสัญลักษณ์แห่งสันติสุขที่ถูกสร้างภายใต้คมเขี้ยวสังหาร
ทั้งห้องโถงเงียบลงชั่วขณะหลังการปรากฏกายของรูน จนเฟโรสเป็นผู้เปิดปากคนแรก
“ข้าควรตกใจเรื่องไหนก่อนดี ระหว่างเรื่องที่ท่านโผล่พรวดขึ้นมา… อย่างไม่บอกกล่าว หรือเรื่องที่ท่านนำประกาศจากบาร์บารีมาแจ้งกับเรา… อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้”
เขาพูดผ่านน้ำเสียงเย็นชา เสียดสี หวังวัดปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
ทุกคนต่างเข้าใจดีถึงความหมายของ ‘ประกาศจากบาร์บารี’ มันทรงพลัง และน่าพรั่นพรึง จนหลายครั้งมันได้นำมาซึ่งการล่มสลายของอาณาจักรที่ปฏิเสธถ้อยคำนั้น
ราวจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม โดยไม่มีโอกาสต่อรอง เมื่อบาร์บารีหยิบยื่นคำขาดต่ออีกฝ่าย คงมีเพียงสองทางเลือก ‘ยอมจำนนต่อสันติสุขที่บาร์บารีหยิบยื่นให้’ หรือ ‘เป็นศัตรูกับบาร์บารี และเผชิญหน้ากับความตาย ภายใต้คมกริช’
“อัคราจารย์ตระหนักถึงภารกิจอันแสนสำคัญนี้ อย่าได้ตื่นตระหนก หลังจากนี้เราจะได้พบกันอีกหลายครั้ง”
รูนเอ่ยเสียงแผ่ว เรียบนิ่งจนยากจะอ่านอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ สายตาภายใต้หน้ากากจับจ้องผ่านช่องมองเล็กแคบ เพ่งพินิจชายหนุ่มทั้งสามทีละคน ก่อนกล่าวต่อ
“ประกาศจากบาร์บารีส่งถึง ‘ฌอง’ มาร์กีแห่งไวน์แอต ผู้นำกองทัพไมอาแล้ว เหลือเพียงคำตอบจากเขา เพื่อกำหนดถึงเป้าหมายต่อไปของเรา” น้ำเสียงแผ่วเบาดังก้องในความเงียบ
เฟโรสกอดอกนิ่ง สายตาส่ายไปมา บ่งบอกถึงความคิดวิเคราะห์ที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปัสกาลเบิกตากว้างอย่างนิ่งงัน
พร้อมกันโทมัสได้ทำลายความสงบนั้น
“ขอโทษที ข้าหัวช้าไปหน่อย ท่านหมายความว่า อ่าา ถ้าแม่ทัพคนนั้น มาร์ควิส… เอ่อ มาร์กีแห่งไวน์แอตคนนั้นกล่าวปฏิเสธ… หน้าที่ลอบสังหารเขาจะตกเป็นงานของเรา ถูกไหม?”
โทมัสยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง สายตากระตือรือร้นของเขาพยายามดึงคำตอบจากคนในชุดคลุมยาว แต่กลับคว้าได้เพียงความเงียบงัน
“ดีเหมือนกัน ลงเรือไปลอบฆ่าแม่ทัพที่ท่าเรือไมอา น่าจะง่ายกว่าลอบเข้าปราสาทหลังโตของบูล็องต์เป็นไหน ๆ”
เฟโรสแค่นหัวเราะ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นเพียงชั่วขณะก่อนเลือนหาย ไม่มีใครแน่ใจว่าเขาหมายความตามนั้น หรือแค่ประชดถึงสถานการณ์ที่ถูกผลักให้ต้องรับมืออย่างไม่มีทางเลือกกันแน่
“พรุ่งนี้ข้าจะกลับมาพร้อมข่าวสารใหม่ ขอพระเป็นเจ้าสถิตแก่ทุกท่าน”
สิ้นสุดคำพูดร่างของรูนจึงถูกห่อหุ้มด้วยม่านแสง สว่างจ้าขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้ความเงียบงันถาโถมเข้ามาแทนที่
หลังเงียบอยู่พักหนึ่งทุกคนจึงมองหน้ากัน และเริ่มคุยกันต่อ
ปัสกาลทั้งประหลาดใจและอดตื่นเต้นกับอำนาจเหนือจินตนาการไม่ได้ ความยิ่งใหญ่ของเวทมนตร์เคลื่อนย้ายที่เพิ่งประจักษ์ต่อหน้า ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว หากในเวลานี้เขายังอยู่กับสหายสนิทอย่าง โยชัวร์ และมิเกลเล่ บทสนทนาไร้แก่นสารคงถูกจุดชนวนขึ้นมาทันที พวกเขาคงพากันหัวเราะคิกคักและคาดเดาอย่างสนุกสนานว่าร่างในชุดคลุมนั่นเป็นบุรุษหรือสตรี และแน่นอน ฟลอร่าคงต้องเข้ามาขัดบทสนทนาเหลวไหลของพวกเขาด้วยคำตำหนิ ทำท่าฮึดฮัดใส่หวังมีส่วนร่วมกับพวกเขา
ยิ้มมุมปากให้กับความคิดถึงที่แสนอบอุ่นนั้น ก่อนรอยยิ้มจะจางลงช้า ๆ
“เป็นอันสรุปว่าเราน่าจะได้พักผ่อนกันยาว ๆ เลย”
โทมัสเกริ่น รอจนสายตาอีกสองคู่จับจ้องมายังตนจึงพูดต่อ
“ข้าเชื่อว่าทางไมอาจะหยุดการเคลื่อนทัพ เรามีเวลารอคอยอีกมากจนพ้นลมหนาว ถึงตอนนั้นข้าหวังว่าเจ้าพวกขุนนางพุงปลิ้นพวกนั้น คงโผล่หัวออกมาจากปราสาทสักที หรือพวกเจ้าว่าไง?”
เขาโยนคำถามพลางหันมองเฟโรสที่นิ่งเงียบ ก้มหน้าครุ่นคิดราวกับไม่ได้ยิน ปัสกาลจึงขยับตัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น เสียงของเขานุ่มแต่แฝงความจริงจังเล็กน้อย
“ขออภัยถ้าความเห็นข้าขัดเคืองใจพวกเจ้า แต่ส่วนตัวข้าไม่แน่ใจ บางทีประกาศจากบาร์บารีอาจหยุดกองทัพไมอาไม่ได้”
อัศวินหนุ่มให้ความเห็นภายใต้ข้อมูลที่เขารู้ สบตาเฟโรสที่มองตรงมา แล้วพูดต่อ
“ช่วงหลายปีที่ผ่านมา อเล็กซานเดรียบุกโจมตีอาเธเนียและวนาวาสีนับครั้งไม่ถ้วน มีข่าวว่ากษัตริย์วาเรนส์สังหารนักฆ่าของบาร์บารีไปเป็นสิบ”
“แค่ข่าวลือจากโพ้นทะเล กว่าจะมาถึงเจ้ามันถูกใส่สีตีไข่ไปเท่าไหร่ เขาจะแน่ขนาดไหนเชียว บาร์บารียังไม่ใส่ใจอาณาจักรเล็ก ๆ นั่นมากกว่า” เฟโรสโต้ทันควัน น้ำเสียงเขาแข็งกร้าวขึ้น
“บาร์บารีพยายามหยุดสงครามเสมอมา นั่นคือสิ่งที่ข้ารู้ ไม่มีเหตุผลต้องปล่อยให้อเล็กซานเดรียรุกรานอาณาจักรค้างเคียงยาวนานถึงเพียงนี้” ปัสกาลเถียงกลับ
“มีความรู้แค่หางอึ่ง แต่กล้ามาตัดสินบาร์บารีงั้นเรอะ” เฟโรสค่อนขอด คล้ายอยากลุกขึ้นมาตอกกลับให้หนักกว่าแค่คำพูด
“งั้นเจ้าก็เป็นนกแก้วที่ท่องจำคำพูดของคนอื่นได้เก่งชะมัด” ปัสกาลตอกกลับ ไม่ลดละ แววตาท้าทาย
“อวดดีเกินไปแล้วเจ้าอัศวินชั้นต่ำ!!”
ดวงตาของมือสังหารวาวโรจน์ด้วยความเดือดดาล เขาชักกริชออกมาทันที และไม่แพ้กัน ไม่ทันขาดคำด้วยซ้ำ ดาบของปัสกาลก็หลุดจากฝักด้วยความเร็วเทียบเท่า
“เข้ามาเลยเจ้านักฆ่ากระจอก!!”
“ว๊ากกก พอ! หยุด!!”
โทมัสถลันเข้ามายกมือขวางระหว่างทั้งคู่ ใบหน้าหล่อเหลาเลิ่กลั่ก หันรีหันขวางแล้วตะโกนใส่หน้าสองหนุ่มหวังเรียกสติ
“พวกเจ้าจะทำอะไรกันเนี่ย! ใจคอจะทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้าเลยรึไง!? โธ่ ข้าขอร้องล่ะ ได้โปรด เก็บอาวุธเถอะ ก่อนที่คุณหนูจะลงมาเห็น”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว