“เฟโรสบอกข้าว่าท่านมาจากลูนาเรีย” ไอชาเอ่ยถาม พลางหยิบมะกอกดำใส่ปากเคี้ยวส่งเสียง กรุบกรุบ สบตากับญานิน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบขนมปังแผ่นแบนมาวางบนจาน
“ข้าเดินทางไกลมาถึงที่นี่ จนตอนนี้แทบลืมกลิ่นสายลมของลูนาเรียไปเสียแล้ว หากนับเวลาชีวิตบนผืนทราย คงราวสิบปีได้กระมัง”
หญิงสาวตอบช้า ๆ น้ำเสียงเนิบเปล่งผ่านภาษาฟาริสสำเนียงชั้นสูง ระหว่างเลือกหยิบผักต้มในจานใส่ปาก ท่าทางคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องราวอย่างไร
“ท่านมือสังหารคงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับข้าอยู่บ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย”
“เฟโรสบอกข้าแค่นั้น ท่านช่วยเล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟังได้ไหม”
ญานินนิ่งเงียบชั่วขณะ สายตาย้ายมามองโซเอ้ที่หั่นเนื้อแพะอย่างแคล่วคล่อง ก่อนจะส่งจานใส่เนื้อชิ้นพอคำให้ไอชา
“ข้าไม่ใช่น้องสาวตัวน้อยของเจ้า หยุดทำอย่างนี้ซะ”
“แต่เจ้าเป็นเพื่อนของข้า แล้วข้าก็อยากดูแลเจ้าด้วย”
โซเอ้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มซุกซน รู้ดีว่าไอชาอาจเงียบ ๆ หรือพูดจาห้วน ๆ จนดูเหมือนรำคาญใจอยู่ตลอด แต่แท้จริงแล้วนั่นคือวิธีแสดงความจริงใจของนาง
“เจ้าผอมลง”
“เจ้าคิดไปเอง”
“ข้าดูออก เจ้าผอมลงแน่ ๆ ดังนั้นเจ้าต้องกินเยอะ ๆ นะ”
ว่าแล้วโซเอ้จึงเพิ่มข้าวหมกเนื้อให้อีก เพื่อย้ำให้แน่ใจว่าสหายรักของนางจะได้รับอาหารเพียงพอ ขณะที่ไอชาหน้ายุ่ง มองข้าวที่ถูกตักใส่จานของตน
ทั้งหมดอยู่ในสายตาของญานิน นางมองภาพความสนุกสนานและความอบอุ่นตรงหน้า ประเมินบางอย่างในใจ ท่ามกลางเสียงช้อนโลหะกระทบจานกระเบื้องที่ดังสลับกับคำพูดของทั้งคู่ ว่าแล้วจึงตัดสินใจเล่าถึงเรื่องราวของตน
“ข้ารับคำสั่งมาจากแกรนด์มาสเตอร์แห่งลูนาเรีย ให้เดินทางมาที่นี่เพื่อแฝงตัว และเฝ้ารอโอกาสบางอย่าง”
เพียงแค่เกริ่นนำ ไอชาและโซเอ้ก็ตาโตขึ้นทันที คำถามหลากหลายปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ ญานินยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วจึงกล่าวต่อ
“เริ่มจากการสร้างประวัติปลอม ข้าคือคุณหนูจากตระกูลชายขอบของวนาวาสี ผู้หลงใหลในการเผชิญโลกกว้าง จนตัดสินใจหนีออกจากบ้าน”
นางเล่าไปพลางมองสองสาวที่กำลังจับจ้องตาไม่กะพริบ ปากของไอชาเคี้ยวเนื้อแพะตุ้ย ๆ สีหน้าเหมือนเด็กล้อมวงฟังนิทานอย่างเพลินใจ
“ข้าพูดจริงนะ นี่เป็นบทบาทที่ข้าแสดงได้ดีทีเดียวเชียว”
“ท่านเป็นคุณหนูจริงไหม? ข้าหมายถึงก่อนที่ท่านจะมาที่นี่” โซเอ้ถามอย่างอดสงสัยไม่ได้
ญานินหัวเราะเบา ๆ พร้อมตอบกลั้วรอยยิ้ม
“ข้าเป็นสายลับของภาคีมือสังหารแห่งลูนาเรีย อาจไม่ได้มีชาติตระกูลเป็นที่รู้จัก แต่ชีวิตของข้าสุขสบายไม่ต่างจากคุณหนู”
โซเอ้พยักหน้าช้า ๆ ก่อนบอกอีกฝ่าย
“ท่านเล่าต่อเถอะ”
หญิงสาวผมดำยาวสลวยเอนหลังกับพนักพิง จากนั้นจึงเล่าต่อขณะรอยยิ้มยังประดับบนดวงหน้า
“เมื่อข้ามาถึงที่นี่ จุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่คือการเป็นนักเรียน ข้าใช้เวลาหลายปี จนได้ทำงานในวังของชีคแห่งฮาซาน จากผู้ช่วยเสมียน ไต่เต้าจนได้เลื่อนขั้นเป็นเสมียน ได้ตำแหน่งเพิ่มคือผู้ช่วยนักการบัญชี”
นางเอ่ยพลางทอดสายตาออกไปไกล เหมือนกำลังทบทวนความทรงจำ แม้ว่าไอชาและโซเอ้จะนึกภาพไม่ออกว่าเสมียนและนักการบัญชีมีหน้าที่อะไรบ้าง แต่ความสนใจยังคงไม่ลดลง
“พวกเขาชื่นชอบข้าและยินดีในงานที่ข้าทำ ส่วนข้าเองก็เริ่มสนุกกับการทำงานเช่นกัน จนหลายครั้งที่ข้าเกือบลืมหน้าที่ของตนไปเสียแล้ว”
ญานินเว้นจังหวะ รอยยิ้มบางจางลง ขณะที่แววตาฉายแววครุ่นคิด
“กระทั่งวันหนึ่ง... ท่านชีคซึ่งโปรดปรานข้ามานาน ได้ขอให้ข้าเป็นนางสนมของเขา”
คำพูดนั้นทำเอาสองสาวที่นั่งฟังเลิกคิ้วขึ้นแทบพร้อมกัน
“ท่านตอบตกลงทันที” โซเอ้โพล่งขึ้น
“ท่านต้องปฏิเสธแน่” ไอชาว่า
คำคาดเดาที่ต่างกันสุดขั้วจากทั้งสอง ทำเอาญานินหลุดหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นแตะแก้วน้ำชา ยิ้มเอ็นดู ดวงตาสวยกวาดมองทั้งคู่ที่คงอยากได้คำตอบเต็มแก่ ทิ้งจังหวะครู่หนึ่งจึงว่า
“ข้าเป็นสายลับมากประสบการณ์ บาร์บารีเปรียบดั่งประภาคารที่ส่องแสง ชี้นำข้าในยามมืดมน… เป็นเช่นนั้นเสมอมา”
คำตอบแฝงความนัยทำเอาสองสาวที่นั่งฟังอยู่หน้ายุ่ง
“ดังที่ข้าเล่ามาก่อนหน้า ข้าทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ชีคแห่งฮาซานมาหลายปี แต่ไม่นานมานี้ เขาตรอมใจจนล้มป่วย... เหตุจากบุตรสาวของเขา”
สายตาของนางมองต่ำลงยังจานอาหารที่ว่างเปล่า
ญานินเล่าว่า บุตรสาวคนโตและคนเล็กของชีคแห่งฮาซานได้หายตัวไป หลังแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง วันหนึ่งชาวเมืองให้เบาะแสว่า พวกนางถูกอัศวินชาวไมอาฉุดคร่าไปกระทำย่ำยี กรุ้มรุมสังหารอย่างโหดเหี้ยม และนำร่างไร้วิญญาณไปกลบฝังไว้ใกล้ค่ายทหารของไมอา ข่าวร้ายนั้นเป็นเหตุให้ชีคแห่งฮาซานล้มป่วยลงอย่างหนัก ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างเหม่อลอย ไม่สนใจสิ่งใดอีก
“คุณหนูทั้งคู่เป็นเด็กดี พวกนางซุกซน เล่นสนุกไปตามประสา ไม่ควรต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้นเลย”
เมื่อสิ้นสุดคำพูด บรรยากาศสนุกสนานในห้องพลันเงียบลงทันที ชั่วแวบหนึ่ง ไอชาลอบสังเกตเพลิงแค้นลุกไหม้อยู่ในดวงตาของสตรีชนเผ่าอสรพิษ
“ไม่นานมานี้ ข้าได้รับคำสั่งโดยตรงจากแกรนด์มาสเตอร์ ให้ช่วยเหลือแกะทะเลทรายแห่งฮาซานที่ถูกทหารไมอาบุกโจมตี”
เสียงของญานินที่เปล่งออกมานั้นเรียบเย็น ทว่าแววตาของนางยังฉายความเจ็บปวดที่ยากจะลบเลือน
“ข้าแฝงตัวเข้าช่วยเหลือพวกเขาตามคำสั่ง แต่กลับพลาดท่าถูกคมอาวุธ และบาดแผลนั้นกลายเป็นหลักฐานที่ทำให้ข้าถูกจับได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้ สถานะของข้าที่ปิดซ่อนมานานนับสิบปีจึงถูกเปิดโปง… วันนั้น ข้าหนีเอาชีวิตรอด และได้รับความช่วยเหลือจากพวกท่าน”
หลังคำพูดสุดท้ายของนาง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันยาวนาน นานพอที่แต่ละคนจะจมลึกลงไปในความคิดของตน
กระทั่งเสียงหวานดังขึ้น ทำลายความเงียบงันอันน่าอึดอัด
“ข้าเล่าเรื่องของตนจนหมดสิ้น ทีนี้ท่านคงบอกข้าได้แล้ว ว่าเหตุใดความโศกเศร้าจึงประทับบนดวงตางามของท่านไม่เลือนหาย”
ญานินกล่าวถามชัดเจน ตรงไปตรงมา ทิ้งสายตายังยอดมือสังหารตัวน้อยเพื่อขอคำตอบ
“ความเจ็บปวดอันใดหรือที่ครอบงำหัวใจของท่าน?”
แม้ถูกสายตาพุ่งเข้าหา แต่คำถามที่ได้ยินคล้ายกำลังล่องลอยในอากาศ ไอชามองสบตาอีกฝ่าย ก่อนหลุบสายตาลง นิ่งอยู่นาน เหมือนสมุดความทรงจำที่ปิดไว้มานานถูกเปิดออก เกิดเป็นเสียงในอดีตผุดขึ้นในความคิด
“ข้าไม่ได้อยากเป็นมือสังหาร ข้าเจ็บปวดเสมอยามเอาชีวิตใครก็ตาม…”
ไอชาหรี่ตาลงมองต่ำ รอยยิ้มอันแสนอ่อนล้าที่ระบายลงบนดวงหน้าของนาง ช่างไม่คุ้นตาโซเอ้เสียเลย
“บางทีแล้ว สิ่งที่ทำให้ข้าเจ็บปวดที่สุด คงเป็นประภาคารที่ท่านกล่าวถึง”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว