Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)-บทที่ 49 : สิ่งที่ควรคิดถึงมากที่สุด

โดย  Luluca

Pieces of the Star: The Moon in the Dark (ตำนานมณีผลึกดารา)

บทที่ 49 : สิ่งที่ควรคิดถึงมากที่สุด

เพลิงสีส้มแดงโบกสะบัดราวธงรบ ปล่อยควันบางเบา ลอยล่องใต้สายลมหนาวที่เริ่มอ่อนกำลังลง ดวงตาของไอชาจับจ้องเถ้าถ่านสีแดงกลางกองไฟ ก่อนจะหลับตาลง ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งการต่อสู้อันหนักหน่วง และความรู้สึกในใจที่แกว่งไหวไม่ต่างจากเปลวไฟตรงหน้า

แม้เช้านี้ทั้งวันจะหมดไปกับการจัดการความเรียบร้อยในป้อมปราการ แต่ในหัวของนางยังคงฟุ้งซ่านด้วยความคิดที่ตัดไม่ขาด ชำเลืองมองชายหนุ่มร่างสูง ผู้เป็นต้นเหตุให้หัวใจของตนหวั่นไหว แล้วย้ายสายตามาเพ่งมองหม้อต้มตรงหน้าที่เดือดปุด ๆ กลิ่นควันไฟผสมกับกลิ่นดินชื้นเตะจมูกชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ โฉบผ่านมาแวบหนึ่ง สองมือกอดเข่าแนบอก เงี่ยหูฟังปัสกาลกับโทมัสที่ยืนคุยกันอยู่พักใหญ่แล้วหลังเดินกลับขึ้นเนินมาพักเหนื่อย

“โธ่ ข้ากับเฟโรสเห็นกับตา ถึงจะมืดก็เถอะ แต่พวกข้าไม่มีทางตาถั่วพร้อมกันแน่ เจ้านั่นโดนลูกเหล็กทับแบนแต๊ดแต๋ จมลงไปในพื้นคาตาเลย!” โทมัสพยายามยืนยัน

ชายผมบลอนด์ยกมือยกไม้ประกอบ เพื่อบอกเล่าถึงกลไกโบราณที่เขาและเฟโรสค้นพบโดยบังเอิญ บนยอดของหอกลาง จนนำมาสู่ชัยชนะอย่างฉิวเฉียดนี้

“ร่างของเขาอาจจะแบน ปลิวไปตามลม ตอนที่พวกเจ้างัดลูกเหล็กขึ้นมาก็ได้ หรือไม่คนโฉดอย่างเขาอาจโดนธรณีสูบลงนรกไปแล้ว” ปัสกาลให้ความเห็นเกี่ยวกับการหายไปของดาวิดอย่างติดตลก

“เจ้าก็พูดเป็นเล่นได้อีก มันเหลือเชื่อเกินไปแล้วนา” โทมัสเบ้ปาก

อัศวินหนุ่มซดซุปข้าวโพดร้อน ๆ แล้วให้ความเห็นเพิ่มเติม

“ถ้าดาวิดไม่ได้แบนอยู่ใต้ลูกเหล็ก แสดงว่าเขาอาจไม่ได้ถูกลูกเหล็กทับแต่แรก”

“งั้นยิ่งไม่สมเหตุสมผล ถ้าเจ้านั่นไม่ถูกทับ ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นเขาน่าจะเดินหน้าเก็บกวาดคนที่เหลือต่อ จริงมะ?” โทมัสแย้งแล้วขยายความต่อ “เฟโรสคงถูกเสียบด่าวดิ้น ตามด้วยเจ้าอีกคน”

“ไม่สิ เฟโรสบาดเจ็บสาหัส เขาหนีไม่ทันเลยโดนเสียบ แต่ข้าเยียวยาบาดแผลและลุกขึ้นมาต่อสู้จนเอาชนะได้ในที่สุด ควรเป็นแบบนี้ต่างหาก”

“ไม่ ๆ ๆ ๆ ไม่มีทาง เจ้าสู้ไม่ได้แน่ เจ้าแทบไม่มีแรงเหลือแล้ว ถึงเจ้าจะไม่ถูกเชือด แต่ท้ายที่สุดเจ้าจะโดนตีก้น เปิดแนบวิ่งหนีไม่คิดชีวิต”

“เฮ้! นั่นเจ้ากำลังดูแคลนปัสกาลคนนี้อยู่ใช่มั้ย!? เจ้าไม่รู้หรือว่าฉายาของข้าคืออะไร”

เห็นสองหนุ่มหยอกเย้า สร้างบทละครที่ตนเองต้องการให้เป็นผ่านสีหน้าจริงจัง ทำเอาไอชาเผลอขำคิกคัก มันเป็นบรรยากาศและความรู้สึกอบอุ่น เหมือนได้ย้อนกลับไปยังอดีตไม่ผิดเพี้ยน เกิดเป็นความเคลิบเคลิ้มจนต้องพยายามเตือนตนเอง ว่าภาระหน้าที่อันหนักอึ้งยังคงไม่หายไปไหน

“โธ่ ข้ายอมแพ้เจ้าก็ได้ บ้าจริง”

โทมัสทอดถอนใจ ลูบท้ายทอยแล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีหม่น ก่อนหย่อนก้นลงนั่ง ทิ้งสายตามองยังตีนเนิน

“ข้าว่ามันผิดไปแล้ว นี่มันกลับกันเลย ความจริงคนที่โหวกเหวกกับเรื่องนี้ ควรเป็นอัศวินผู้เถรตรง จริงจัง บ้างาน อย่างเจ้ามากกว่า ส่วนคนที่ล้อเล่นไม่ดูกาลเทศะควรเป็นข้า… นี่ไม่ใช่ตัวข้าสักนิด”

ปัสกาลถึงกับอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นชายหนุ่มอารมณ์ดีเกาหัว ตีหน้าเครียด พยายามใช้ความคิด ใบหน้ายับยู่ยี่นั่นไม่ใช่ตัวเขาจริงดังว่า ยิ่งเมื่อนึกถึงใบหน้าของเฟโรสตอนที่ยกลูกเหล็กขึ้น แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เขาคงโกรธจนหน้าดำหน้าแดงเป็นแน่ที่ศัตรูตัวร้าย ซึ่งทุกคนพยายามแทบเป็นแทบตายจนโค่นล้มได้สำเร็จ พลันหายไปเสียอย่างนั้น

อัศวินหนุ่มนั่งลงข้างไอชา ดึงไม้เสียบเนื้อแพะย่างที่สุกดีแล้วออกมาฉีกใส่ถ้วยไปพลางเป่าให้เย็นก่อนส่งให้นาง

“ดูเหมือนข้าจะกลายเป็นคุณหนูของท่านไปอีกคนแล้ว”

ไอชาเปรยหน้าตายผ่านถ้อยคำหยอกล้อที่เข้าใจกันดี กล่าวขอบคุณแล้วรับถ้วยไป ขณะที่ปัสกาลยกมือเสยผมแล้วระบายยิ้มน้อย ๆ อย่างพอดิบพอดี

“เอ้อ จริงสิข้าว่า-”

สายตาของโทมัสเหลียวมาเห็นไอชาส่งเนื้อแพะย่างให้ปัสกาลงับ ขณะที่มือของอัศวินหนุ่มนั้นวางกุมอยู่บนมือของนาง

“พวกเจ้าช่วยเกรงใจข้าด้วย!”

ปัสกาลกลั้วหัวเราะให้กับสหายผู้เชี่ยวชาญในการเรียกรอยยิ้ม แม้ว่าบางครั้งเขาอาจไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นก็ตาม



“เกี่ยวกับดาวิด บางทีข้ากับพวกเจ้าอาจมีมุมมองแตกต่างกัน”

หนุ่มผมแดงพูดขึ้น สายตาจับจ้องชาวเมืองคานาอัน และเจ้าหน้าที่ที่กำลังเก็บกวาดป้อมปราการ อ้าปากงับเนื้อแพะจากมือไอชา ก่อนเอ่ยกับโทมัสโดยไม่ได้หันไปมอง

“เจ้าเห็นอะไรไหม? ต่อให้ท่านลอร์ด… ข้าหมายถึงท่านคลีมองต์น่ะ ต่อให้เขาจบชีวิตด้วยคมดาบของอังเกล แต่ภาพเบื้องหน้าของเราก็คงไม่เปลี่ยนแปลงสักเท่าไรนัก คนที่ตายคงไม่ฟื้นกลับมา ส่วนพวกเราที่เหลือก็ยังต้องก้าวต่อไป”

นิ่งรอให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจแล้วอัศวินหนุ่มจึงพูดต่อ

“เจ้าอาจรู้สึกว่าข้าไม่ร้อนรนกับความเป็นความตายของดาวิด นั่นเพราะเขาไม่ใช่เป้าหมายของข้า ภารกิจของเราเมื่อค่ำคืน คือการปกป้องสมาชิกในกลุ่มให้ได้มากที่สุด ซึ่งมันลุล่วงได้ด้วยดี พวกเรารวมทั้งท่านคลีมองต์ต่างยังมีชีวิตอยู่ คนเจ็บทุกคนล้วนรอดชีวิต เจ้าไม่คิดหรือว่านี่คือปาฏิหาริย์ที่พระเจ้ามอบให้เรา”

คำพูดของปัสกาลไม่ได้เข้าใจยาก ไอชาและโทมัสต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน เชื่อว่าพวกเขาชนะในศึกที่ยากลำบาก พวกเขาควรพอใจ

ทิ้งจังหวะอึดใจชายผมแดงจึงพูดต่อ

“ข้าไม่คิดว่าการสังหารดาวิดจะคลี่คลายปมปัญหาได้ และต่อให้เขาตายไปจริง ก็จะมีต้นตอปัญหาคนใหม่ขึ้นมาแทน ดังนั้นข้าถึงไม่ได้ใส่ใจนักว่าเขาจะอยู่หรือตาย หรือหากเขายังมีชีวิตอยู่ และเดินกลับมาขวางทางเราอีก ก็แค่เตะเขาออกไปให้พ้นทางอีกครั้ง”

ปัสกาลบอก สายตาทิ้งไปยังเบื้องหน้าไกลออกไป กุมมือของไอชาแน่นขึ้น

“แต่ตอนนี้ ข้าอยากมีความสุขกับชีวิตที่อุตส่าห์เหลือรอดมาได้ ดื่มด่ำกับมันให้เต็มที่ เอาสมองกับเรี่ยวแรงที่มี มาให้ความสำคัญกับสิ่งที่ยังเหลืออยู่ดีกว่า หรือเจ้าว่าไง?”

โทมัสที่นั่งเงียบอยู่พักหนึ่งคลี่ยิ้มออกมา

“จริงของเจ้า มัวแต่กลุ้มก็ทำอะไรไม่ได้ สู้เอาสมองมาคิดหาทางรักษาสิ่งที่ยังเหลืออยู่ดีกว่า”

คำพูดของโทมัสช่วยย้ำประกายบางอย่างที่ฉายชัดบนดวงตาสีนิล



รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว