นานแสนนานมาแล้วเคยมีตำนานเก่าแก่ กล่าวถึงบุตรอันเป็นที่รักของพระเป็นเจ้า
พระองค์ทรงใช้ดินสีขาวบริสุทธิ์ปั้นแต่งอย่างละเมียดละไมทุกสัดส่วน บรรจุความรัก ความเมตตา และพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ไว้ภายในร่างกายของบุตรผู้นั้น ทรงประทานพรให้เขามีพลังอันแสนวิเศษให้แตกต่างจากผู้คนทั่วไป มอบสติปัญญา ความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ ความเมตตา และส่งเขามาสู่โลก
แสงแรกของวันลูบไล้เหนือกำแพงหินสูง เผยให้เห็นลานซ้อมที่ปูด้วยอิฐสีขาวครีมสะอาดตา พื้นลานสะท้อนประกายแสงอ่อน ๆ ยามต้องแดด เรืองรองไปทั่วบริเวณ รอบลานเสริมความงดงามด้วยเสาสลักลวดลายประณีต ถ่ายทอดเรื่องราววีรบุรุษในตำนานผ่านเส้นสายละเอียดอ่อน เพดานไม้สักแกะสลักยื่นยาวจากแนวเสา ให้ร่มเงาบรรเทาความร้อนแรงของแสงยามเที่ยง
กลางลาน วงทรายสีทองละเอียดถูกโรยเป็นพื้นที่สำหรับฝึกซ้อม เพื่อเพิ่มแรงเสียดทานให้การเคลื่อนไหว เสียงกวัดแกว่งอาวุธดังมาจากมุมหนึ่งของลาน ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มในชุดซ้อมเรียบง่ายยืนตระหง่าน มือกำด้ามหอกแน่น ร่างกายขยับตามจังหวะที่ผ่านการจดจำมานับครั้งไม่ถ้วน
“จะมีสักวันไหมที่นายท่านขาดซ้อม”
เสียงใสดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่งของลาน พร้อมกับเด็กหนุ่มที่หยุดมือ ดวงตาสีมรกตตวัดมองมายังต้นเสียง เป็นเด็กสาวชนเผ่าครึ่งสัตว์อายุไล่เลี่ยกัน ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มเย้าแหย่ที่คุ้นเคย
“ข้าก็อยากเห็นวันนั้นเหมือนกัน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และช่วยหยุดเรียกข้าอย่างนั้นสักที”
“ท่านอยากให้ข้าถูกโบยอีกหรือไง” เด็กสาวแก้มป่อง
เด็กหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ มองสำรวจนางอย่างเงียบงัน ชุดของนางเปรอะเปื้อนดิน เศษหญ้า และกลิ่นขี้ม้าที่ยังติดตัว หลุบสายตาลงเล็กน้อยก่อนถอนหายใจเงียบ ๆ ความแตกต่างระหว่างพวกเขาถูกบอกเล่าชัดเจนผ่านสิ่งที่เห็น แม้ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา แต่รอยนิ่งนั้นก็บอกชัดว่าเขาไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้
เสื้อผ้าสีเรียบของเด็กหนุ่ม เผยให้เห็นร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ไหล่กว้างและกล้ามเนื้อสมส่วนเป็นผลจากการทุ่มเททั้งกายและใจ ผิวขาวที่เป็นอัตลักษณ์ของชาติกำเนิด แม้จะเกรียมแดดจากการใช้ชีวิตในดินแดนทะเลทราย ก็ยังคงแฝงความโดดเด่นที่แตกต่างจากคนพื้นถิ่น
เส้นผมสีแดงเพลิงสั้นเหนือต้นคอ ขยับไหวตามแรงลม ดวงตาสีมรกตส่องประกาย บอกเล่าถึงเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์โบราณ เมื่อรวมเข้ากับความสูงโดดเด่นและใบหน้าคมคายของเขา ยิ่งสะท้อนความสง่างาม น่าเกรงขาม จนยากจะละสายตา
ด้วยฝีมือที่เกินวัย และความแน่วแน่ที่หาได้ยากในเด็กหนุ่มทั่วไป ทำให้ ‘มาลิก’ ก้าวขึ้นมาเป็นองครักษ์เอกของชีคแห่งฮาซาน ในวัยเพียงสิบห้าปีเท่านั้น
“งานของเจ้าเสร็จแล้วหรือไง”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามห้วน ๆ พลางหมุนตัวกลับไปฝึกต่อโดยไม่รอคำตอบ ขณะที่เด็กสาวหัวเราะ ก่อนตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ
“ตอนนี้พวกมันอิ่มหนำแล้ว” นางพูดถึงเหล่าม้าที่อยู่ในความดูแลของนาง และพวกคนงานในคอกม้า “อีกอย่าง วันนี้ไม่มีม้าตัวไหนต้องออกเดินทางไกลด้วย”
เด็กสาวเดินมาหย่อนก้นลงนั่งใกล้ลานฝึก สองมือประคองใต้คาง สายตายังคงจับจ้องการเคลื่อนไหวขององครักษ์หนุ่มไม่วางตา ท่วงท่าที่ดูผ่อนคลายขัดแย้งกับความสนใจที่แน่วแน่ในดวงตา
มาลิกขยับก้าวเท้าสั้น ๆ สลับไปมาระหว่างการรุกและถอย เหมือนกำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มองไม่เห็น หอกในมือพุ่งออกอย่างเฉียบคม แล้วพลิกตวัดกลับอย่างรวดเร็ว ทุกการเคลื่อนไหวนั้นแม่นยำและมั่นคง ไม่ต่างจากยอดนักรบผู้ชาญศึก
“ท่านออกแรงมากขึ้นหรือเปล่า?” นางเอ่ยถามขึ้น ท่ามกลางจังหวะการฝึกของเขา
“ไม่ ก็เหมือนเดิม”
“ไม่นะ ข้าว่าท่านใช้แรงมากขึ้น…” นางเอียงคอเล็กน้อย พูดต่ออย่างอยากรู้ “กำลังอารมณ์ไม่ดีเหรอ? หรือ… มีอะไรที่ข้าไม่รู้?”
เด็กหนุ่มหยุดมือ หอกในมือถูกวางแนบข้างตัว ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง แล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากลานฝึก หย่อนก้นลงนั่งเคียงข้างเด็กสาว ไม่ได้ดูอ่อนล้าจากการฝึกแม้แต่น้อย
เสียงถอนใจเบา ๆ ดังขึ้นขณะที่เขาทอดสายตาไปยังเสากำแพงที่ล้อมรอบลานซ้อม
“เมื่อคืนก่อน ข้าออกลาดตระเวนกับกาซัน”
“ข้าได้ข่าวว่าคนร้ายทำลายหอสังเกตการณ์ด้วยระเบิด มันพังถล่มลงมาขวางถนนทางใต้”
เด็กสาวเอ่ยขึ้นพร้อมชำเลืองมองเด็กหนุ่มข้าง ๆ ที่ยังคงนิ่งขรึม ทิ้งจังหวะครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบ
“นอกจากทหารไมอาสิบสี่ศพ โชคดีที่ไม่มีชาวฮาซานได้รับบาดเจ็บ”
“สิบสี่ศพ!?” นางส่งเสียงสูงขึ้น ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ “มีการต่อสู้ด้วยหรือ? ข้าได้ยินว่าคนร้ายก่อเรื่องแล้วหนีไป ก่อนกองทหารฮาซานจะไปถึง... ไม่ใช่เหรอ?”
เด็กสาวขยับมานั่งตัวตรง ท่าทีที่เคยผ่อนคลายถูกแทนที่ด้วยความตื่นตัว ขณะที่มาลิกยังคงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องพื้นเบื้องหน้าดูเหมือนจะล่องลอยไปไกล ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำลงอย่างข่มกังวล
“มือสังหารของบาร์บารี”
เพียงเท่านั้น เด็กสาวถึงกับนิ่งอึ้ง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นอีก สีหน้าที่เปลี่ยนไปฉายชัดถึงความตกใจ ไม่มีใครในฮาซานไม่รู้จักบาร์บารี ภาคีมือสังหารที่เคยเป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนาน ก่อนถูกบุกโจมตีฐานที่ซ่อน จนเกิดเป็นข่าวลือเกี่ยวกับการแก้แค้นอย่างหนาหูในหมู่ชาวเมือง
“แสดงว่า… ข่าวลือที่ว่าบาร์บารีส่งมือสังหารมาแก้แค้นเป็นความจริงเหรอ!? ไม่จริง! หรือว่า… ท่านเข้าต่อสู้!? บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า!?”
นางสอดส่องสำรวจไปทั่วร่างของเด็กหนุ่มอย่างตื่นตระหนก แตกต่างจากอีกฝ่ายที่ยังคงนิ่งสงบ
“ไม่ ข้าไม่ได้บาดเจ็บ”
มาลิกตอบสั้น ๆ น้ำเสียงที่ออกมานั้นเรียบง่าย แต่สายตาที่มองตรงไปข้างหน้ากลับสะท้อนสิ่งที่คำพูดของเขาไม่อาจซ่อน ดวงหน้าคมเข้มหม่นเศร้าฉายแววกังวลและคร่ำเครียดอย่างเห็นได้ชัด
การต่อสู้ในค่ำคืนนั้น ไม่ได้ติดค้างในความคิดของเขามากนัก เมื่อเทียบกับเรื่องราวมากมายที่ต้องขบคิด เหตุการณ์นั้นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต เหมือนการซ้อมยิงธนูที่พลาดเป้า แต่หากจะมีสิ่งใดที่ยังวนเวียนอยู่ในใจของเขา คงเป็นนามของมือสังหารสาวผู้นั้น ‘ไอชา’
“ข้ารู้สึกแปลก ๆ เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง หลังจากค่ำคืนนั้น ข้ากลับพยายามจินตนาการถึงใบหน้าภายใต้หน้ากากที่นางสวม”
“หรือว่าจะเป็นรักแรกพบ?” เด็กสาวเอ่ยพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาเปี่ยมด้วยความขี้เล่น
“อาจเป็นอย่างนั้น”
“โธ่ ท่านจะไม่ปฏิเสธหน่อยเหรอ!”
เสียงกระเง้ากระงอดของเด็กสาวเรียกรอยยิ้มบางจากมาลิกในที่สุด แต่ก็เพียงพริบตาเดียว ก่อนที่แววตาของเขาจะกลับมาหม่นเศร้าอีกครั้ง เมื่อนึกถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่สั่นคลอนและความขัดแย้งที่ก่อตัวอย่างยุ่งเหยิง
บุตรสาวทั้งสองของชีคแห่งฮาซานเป็นเหมือนพี่สาวขององครักษ์หนุ่ม พวกนางดีกับเขาเสมอมา ทั้งที่เขาเป็นเพียงสามัญชนไร้หัวนอนปลายเท้า จนวันหนึ่งชีคถึงขั้นตัดสินใจเลือกบุตรสาวคนเล็กให้เป็นคู่ครองของเขา หากไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น งานแต่งงานของพวกเขาคงถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“ข้าเคยคิดว่าพระเป็นเจ้าช่างไม่ยุติธรรม พระองค์มอบพรสวรรค์และพลังให้กับข้า จนข้ารู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นมากเกินไป ...แต่ไม่ใช่เลย”
มาลิกเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบที่โอบล้อมรอบตัว ก่อนส่ายหน้าช้า ๆ
“หลังกองทัพไมอาเข้าประชิดฮาซาน ข้าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เหมือนข้าเป็นเพียงฝุ่นผงที่ปลิวอยู่บนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ พลังที่ข้ามีมันช่างกระจ้อยร่อยนัก หากข้ามีพลังมากกว่านี้ วันนั้นข้าคงปกป้องพวกนางได้”
เด็กสาวเหลือบตามองเขาทันที ใบหน้าที่มักประดับด้วยความขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจัง พูดขึ้นอย่างหนักแน่น
“ไม่ใช่ความผิดของท่านสักหน่อย วันนั้นท่านออกไปลาดตระเวนใกล้กับอามีเรีย ท่านไม่ได้บกพร่องอะไรเลยด้วยซ้ำ อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นเลย ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าพวกมนุษย์สีเผือกนั่นต่างหาก!”
ฟังคำพูดรัวเร็วนั้นแล้ว มาลิกจึงเบนสายตาขึ้นมามองเด็กสาวตรงหน้า ก่อนคลี่ยิ้มบางอีกครั้ง
“คงมีแต่เจ้าที่เข้าใจข้า”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว