บทที่ 1470 เหล่านักแสดงยอดเยี่ยม
เหล่าผู้นำหันมองหน้ากันหลังรับฟังถ้อยคำ ปรมาจารย์ฉุ่ยเยว่ขมวดคิ้วกล่าว “ศิษย์พี่ชาย หากศิษย์สำนักเราเข้าไปในแคว้นซ่งโจวโดยพลการอาจเป็นการกระตุ้นความเป็นปรปักษ์ต่อสำนักไท่อี่ เมื่อเกิดความขัดแข้งขึ้น ข้าเกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ”
ปรมาจารย์อวี้เซวียนตอบกลับทันควัน “ศิษย์น้องหญิง สำนักไท่อี่สร้างความลำบากใจให้เราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองสำนัก”
“แทนที่จะยอมอดทนต่อไป เช่นนั้นก็เริ่มตอนนี้เลยดีกว่า!”
“นอกจากนี้ ข้าคาดการณ์ไว้ว่าพวกมันจะต้องพยายามจัดการฟานเอ๋อร์แน่นอน!”
ฉุ่ยเยว่ถอนหายใจ “ศิษย์พี่ชาย สำนักยักษ์ใหญ่อย่างสำนักไท่อี่มีปรมาจารย์เหนือเมฆมากมายในสามสิบสามสวรรค์”
“หากท่านเริ่มสงครามอย่าบุ่มบ่ามด้วยภูมิหลังขณะนี้ ข้าเกรงว่า…”
แม้ว่านางจะยังกล่าวไม่จบดี แต่ความหมายในถ้อยคำนั้นชัดเจน แน่นอนว่าสำนักเมฆามรกตในปัจจุบันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักไท่อี่
ทุกคนพลันนิ่งเงียบหลังรับฟังประโยคดังกล่าว ขณะที่กำลังลังเล เสียงดังฟังชัดของหญิงสาวพลันมาจากนอกห้องโถง
“ผู้บรรลุวิถีที่ยิ่งใหญ่จะมัวกลัวหน้าระแวงหลังได้อย่างไร?”
“ท่านประมุขหลิงหลง!”
เหล่าผู้นำชีพจรต่างเผยท่าทีมีความสุขเมื่อได้ยินเสียงนาง ทันใดนั้นเพียงเห็นแสงวาบผ่านเบื้องหน้า ก่อนที่ประมุขเทพหลิงหลงจะนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว
นางกล่าวออกเย็นชา “อย่ากังวลกับสิ่งอื่นใด หากฟานเอ๋อร์และทั้งสามตกตายอยู่ในแคว้นซ่งโจว ยามนั้นสำนักเมฆามรกตของเราคงล่มสลายและถูกทำลายล้างตามไปด้วย”
“หากลงเอยเช่นนี้ แล้วเราจะเผชิญหน้ากับเหล่าบรรพบุรุษได้อย่างไร?”
“นี่…”
ทุกคนพลันฉุกคิดได้ว่าหลี่มู่ฟานและคนอื่นๆ ล้วนเป็นความหวังในการฟื้นฟูสำนักเมฆามรกตเช่นเดียวกับที่หลิงหลงกล่าว เมื่อพวกเขาทั้งหมดถูกกำจัดในแคว้นซ่งโจว สำนักเมฆามรกตคงไร้ศิษย์รุ่นหลังและสิ้นชื่อในที่สุด
เมื่อคิดได้ดังนั้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
ปรมาจารย์เต๋าเทียนอวิ๋นตะโกนขึ้น “เราต้องป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับฟานเอ๋อร์และคนอื่นๆ ข้าจะไปแคว้นซ่งโจวและพบกับปรมาจารย์สำนักไท่อี่!”
อารมณ์ของชายคนนี้กำลังคุกรุ่นและต้องการออกจากประตูทันที แต่ก่อนที่เขาจะเดินพ้นประตู เขาพลันถูกพลังไร้ลักษณ์ดึงตัวกลับมา
เมื่อหลิงหลงโบกมือ ส่งผลให้ร่างของชายคนนั้นถูกเหวี่ยงลงพื้น
หลิงหลงกล่าวออกด้วยความขุ่นเคือง “เทียนอวิ๋น นี่ท่านขึ้นเป็นผู้นำได้อย่างไร? เสียสติไปแล้วเหรอ? ท่านกำลังรนหาที่ตายเพียงลำพังหรือยังไง?”
“พวกท่านทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป คราวนี้ข้าจะเป็นคนออกไปเอง!”
ทุกคนตกตะลึงทันใด อวี้เซวียนกล่าวออกด้วยความลังเล “ท่านเทพธิดาเป็นดั่งเสาหลักของครอบครัวเรา ท่านอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้และไม่จำเป็นต้องลงมือเอง”
“ปล่อยให้คนรุ่นหลังออกไปเองไม่ดีกว่าหรือขอรับ?”
หลิงหลงกลอกตามอง “เอาล่ะ อย่ามัวแต่ประจบประแจง”
“ถึงเจ้าไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ เรื่องนี้ข้ามีแผนการในใจแล้ว”
สิ้นเสียง ร่างของนางพร่ามัวและอันตรธานหายไป
ในห้องประชุม เมื่อทุกคนไม่รู้สึกถึงรัศมีเซียนแล้ว พวกเขาพลันพากันหัวเราะร่วน ว่านชิงซานช่วยพยุงเทียนอวิ๋นให้ลุกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ชาย ข้าเกือบจะหลงเชื่อเล่ห์เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยความชอบธรรมและขุ่นเคืองเมื่อครู่แล้ว”
ปรมาจารย์เต๋าเทียนอวิ๋นหัวเราะ “ว่ากันว่าฟานเอ๋อร์เก่งกาจด้านการแสดง ส่วนข้าและเหล่าพี่น้องที่นี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย!”
ชัดเจนแล้วว่าเมื่อครู่เป็นเพียงหนึ่งในการแสดงของเขา
ในบรรดา 7 ชีพจร มีเพียงปรมาจารย์ฉุ่ยเยว่คนเดียวที่กลอกตาและถอนหายใจเบา “ผู้ใหญ่ระดับบนประพฤติมิชอบ ผู้น้อยระดับล่างก็จะเลียนแบบในทางเสีย”
“มองดูศิษย์ของสำนักพวกนั้น นี่เจ้าสั่งสอนอะไรแก่พวกเขากันแน่?”
ทุกคนต่างก็ระเบิดหัวเราะ ก่อนที่อวี้เซวียนจะพูดขึ้น “เอาล่ะเอาล่ะ ทุกคน ท่านเทพธิดาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นขอให้ทุกคนรับผิดชอบตามสิ่งที่เราคุยกันไว้ก่อนหน้า”
เหล่าผู้นำชีพจรพยักหน้ารับและอันตรธานหายไปทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหว
สามวันผ่านไปในพริบตา เช้าตรู่ของวันนี้ เมืองเสวียนเซียวประดับประดาด้วยโคมไฟและมีงานรื่นเริงทั่วทั้งเมือง ทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความยินดี
วันนี้เป็นวันที่เซียวเถิงบุตรชายคนโตของตระกูลเซียวเข้าพิธีแต่งงาน ตั้งแต่เดือนมกราที่ผ่านมา เมืองขนาดใหญ่ทั้งหมดภายใต้เขตอำนาจตระกูลเซียวต่างก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอันครึกครื้น
ทุกคนล้วนได้รับรางวัลและการนิรโทษกรรม อีกทั้งผู้คนในเมืองเหล่านี้ถือว่าตระกูลเซียวเป็นเจ้านายเหนือหัวของพวกเขามานานแล้ว และพวกเขารู้ดีว่าผู้ใดก็ตามที่กล้าทำลายพิธีการจะต้องตกตายโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว