“คุณหนูอี๋...ที่แท้เจ้าเชิญข้ามาดูจ้วงหยวนคนใหม่ของปีนี้หรอกหรือ ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเชิญข้ามาตอบคำทายปริศนาประจำเดือนของหอชิงเหนียงเสียอีก สุดท้ายเรื่องแปลกใหม่ที่เจ้าโกหกข้าก็คือเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดในสายตาข้านี่เอง...ฟืด! ฟืด!”
ฝูหรงสั่งน้ำมูกใส่ผ้าเช็ดหน้าโดยไม่สนใจว่าสหายรักจะนึกรังเกียจการกระทำของตนหรือไม่ เพราะนางรู้ดีว่าอี้ซวงอี๋...สหายรักในวัยเยาว์รับตัวตนของนางได้ทุกอย่าง
มิเช่นนั้น...จะเรียกว่า...สหายรัก ได้หรือ?
อี้ซวงอี๋หยักยิ้มชอบอกชอบใจหน้าตาระรื่น แม้จะถูกสหายรักต่อว่าก็มิคิดถือสา ยังกล้าพูดออกมาอีกว่า
“พวกเราสองคนน่ะ อายุสิบแปดหนาวแล้ว ยังไม่ตบแต่งออกเรือนเสียที จนกลายเป็นที่นินทาอย่างสนุกปากของคุณหนูในหอห้องคนอื่นๆ
ที่ข้าลากเจ้ามานั่งดูจ้วงหยวนคนใหม่ในวันนี้บนหอชิงเหนียง เพราะข้ารู้มาว่าสตรีทั่วหยางโจวต่างมารอต้อนรับจ้วงหยวนคนใหม่ทั้งสิ้น ลือกันว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามที่หาได้ยากในรอบร้อยปีเชียวนะ
อีกอย่าง...วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันเลือกคู่ของจ้วงหยวนด้วย หากสตรีผู้ใดโยนผ้าเช็ดหน้าลงไปแล้วจ้วงหยวนผู้นั้นรับเอาไว้ ย่อมหมายความว่าเขายินดีแต่งงานกับนาง ถึงเจ้าจะไม่ค่อยชอบชายตาแลบุรุษคนใด แต่เจ้าจะยอมปล่อยโอกาสให้หนุ่มหล่อในรอบร้อยปีรอดพ้นสายตาเจ้าไปได้เชียวหรือ”
ฟืด! ฟืด!
ฝูหรงสั่งน้ำมูกใส่ผ้าเช็ดหน้าอีกครั้ง จนคราวนี้จมูกของนางแดงเรื่อ นางอดค่อนเพื่อนสาวในใจมิได้ว่า
หากเจ้าไม่โกหกข้าว่าทางหอชิงเหนียงจะจัดงานทายปริศนาแบบแปลกใหม่ขึ้น ข้าคงไม่ยอมทนลากสังขารทั้งที่เป็นหวัดตามเจ้ามาทำเรื่องโง่ๆพรรค์นี้หรอก
อีกอย่าง...นางมีหนุ่มในดวงใจอยู่แล้ว...
แต่เรื่องอะไรนางจะบอก เรื่องนี้นางเก็บเป็นความลับมาตั้งแต่วัยห้าหนาวเชียวน้า!
“เชิญเจ้าเสี่ยงดวงตามสบายเถอะ” ฝูหรงบอกอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะยกชาอุ่นๆขึ้นซดอึกๆ แต่นางก็ยังคัดจมูกอยู่ดี ทำให้ต้องสั่งน้ำมูกใส่ผ้าเช็ดหน้าต่อไป
ทันใดนั้น...บังเกิดเสียงโห่ร้องของสตรีจำนวนมากดังไปทั่วทุกหนแห่ง ฝูหรงเหลียวมองไปรอบตัว เห็นสตรีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ต่างยืนโบกผ้าเช็ดหน้าสีขาวอยู่บนโรงเตี๊ยมกับเหลาสุราฝั่งตรงข้ามบ้าง หรือโรงเตี๊ยมที่ติดกับหอชิงเหนียงซึ่งเป็นหอสุราอันดับหนึ่ง ฝูหรงเบ้ปาก...
แค่โยนผ้าเช็ดหน้าลงไปแล้วจ้วงหยวนผู้นั้นรับเอาไว้ จะรับประกันได้เช่นไรว่าเขาจะรักสตรีที่โยนผ้าเช็ดหน้าให้ไปชั่วชีวิต ไม่มีใจคิดรับฮูหยินรองหรือแม้แต่อนุ!
“คุณหนู...จ้วงหยวนขี่ม้าใกล้ผ่านหอชิงเหนียงแล้วเจ้าค่ะ” หรูอี้ร้องบอกอย่างตื่นเต้น
“ใช่ เจ้าไม่ลุกขึ้นมาดูเขาหน่อยหรือ ข้าเองก็อยากเห็นว่าหน้าตาของเขาจะหล่อเหลาปานใด” อี้ซวงอี๋คะยั้นคะยออย่างตื่นเต้นไม่แพ้หรูอี้
แต่ฝูหรงส่ายหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด แล้วก็สั่งน้ำมูกต่อไปอย่างเอาเป็นเอาตาย
อี้ซวงอี๋เห็นเพื่อนไม่สนใจ แต่ตัวนางนั้นสนใจเพราะอยากออกเรือนเต็มแก่ จะได้ไม่ถูกบิดามารดาจับนางแต่งกับชายอื่นที่นางไม่รู้จักและรักใคร่
อี้ซวงอี๋จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วชะโงกหน้าผ่านระเบียงกั้นชั้นสามลงไป ก่อนนางจะทำตาโต
“คุณหนูหรง...เจ้าต้องมาดูด้วยตาตัวเอง!”
“ม่ายล่ะ” ฝูหรงตอบอย่างเสียมิได้ ก่อนจะสั่งน้ำมูกอีกครั้งแล้วโยนผ้าเช็ดหน้าข้ามไหล่
แต่อันที่จริง...นางไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนโยนผ้าเช็ดหน้าลงไปจากราวระเบียงต่างหาก!!!
แปะ!
บังเกิดความเงียบงันขึ้นมาทันทีทันใดราวกับทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ฝูหรงประหลาดใจที่เหล่าสตรีไม่พากันกรีดร้องวี้ดว้ายให้นางรำคาญหูอีก จึงเหลียวมองดูรอบกาย คิดไม่ถึงว่าสตรีที่อยู่ตามจุดต่างๆจะหันมามองนางกันเป็นตาเดียว!
ฝูหรงนิ่วหน้า ไม่เข้าใจว่านางไปเหยียบหัวแม่เท้าของสตรีเหล่านั้นตอนไหน พวกนางถึงได้จ้องนางอย่างกินเลือดกินเนื้อปานนี้
จนกระทั่ง...
“มิทราบว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของแม่นางท่านใด!?” เสียงทุ้มห้าวฟังชวนอบอุ่นหัวใจแต่กับแฝงไว้ด้วยความเฉียวฉุนดังขึ้นมาถึงหูฝูหรง
ฝูหรงรู้สึกสนใจกับประโยคคำถามของจ้วงหยวนคนใหม่ จึงชะโงกหน้าลงไปมอง เห็นจ้วงหยวนในชุดสีแดง สวมหมวกขุนนาง นั่งอยู่บนหลังอาชาสีดำตัวใหญ่พ่วงพีเงยขึ้นมาสบตานางเขม็ง
ฝูหรงเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน เมื่อเห็นผ้าเช็ดหน้าของตนตกอยู่ในกำมือของจ้วงหยวนผู้นั้น ซึ่งบนหน้าผากของเขามีน้ำมูกเขียวอี๋ของนางติดอยู่
ฝูหรงอยากจะหัวเราะแต่นางหัวเราะไม่ออก เพราะนางไม่ต้องการทำให้จ้วงหยวนผู้นั้นอับอายไปมากกว่านี้ เพราะ...
“อาผิง!!!” นางตะโกนเรียกชื่อเขาด้วยความดีใจสุดขีด!