กลิ่นเครื่องหอมเย้ายวนปล่อยควันลอยม้วนตัวเหมือนท้องฟ้าหน้าร้อนที่อบอวลไปด้วยมวลเมฆา ตะเกียงน้ำมันอมตะส่องแสงสว่างเป็นนิจตราบจนน้ำมันหายไปจนหมด ไฟจึงค่อยๆมอด
ภายในห้องที่หอมกรุ่นมีสตรีสองนางอยู่เคียงข้างกัน ผู้หนึ่งกำลังจ้องรูปโฉมตนเองในกระจกสำริดสลักลายมังกรล้อหงส์เหนือเมฆาวิจิตรบรรจง ขณะที่อีกนางกำลังเกล้ามวยผมสำหรับสตรีที่ยังมิออกเรือนให้สตรีที่รูปโฉมธรรมดาสามัญยิ่งนัก
“คุณหนู...นอกจากวิธีแปลงโฉมแล้ว มิมีวิธีอื่นใดหรือที่คุณหนูจะไม่ต้องถูกฮ่องเต้รับเลือกเข้าไปรับใช้ในวังหลัง จริงอยู่ว่าหากคุณหนูหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ฮ่องเต้ย่อมไม่สนพระทัย แต่หนังขี้ผึ้งน้ำมันอยู่ได้เพียงไม่กี่วันก็เปื่อยสลายไป แน่นอนว่าเรามิอาจปิดบังความงามของคุณหนูไปได้ตลอด ยิ่งฮ่องเต้กับไทเฮาล่วงรู้ว่าเราลอบตบตาโฉมหน้าที่แท้จริงต่อพวกเขา โทษคือประหารชีวิตนะเจ้าคะ!”
จ้าวอิ๋งหั่วหยักยิ้มเบาบางเหมือนควันของกลิ่นเครื่องหอมที่ลอยเคว้งคว้างไปมา วันนี้นางแต่งตัวอย่างเรียบง่าย ดวงหน้าที่ผ่านการแปลงโฉมเรียบร้อยแล้วทาแป้งบางๆ สวมชุดสีเขียวอ่อนแบบใหม่ของราชสำนัก เป็นเสื้อและกระโปรงถูกแบบแผนเรียบร้อย
“ข้าคิดว่าฝีมือแปลงโฉมของข้าอาจจะมีประโยชน์หากต้องไปใช้ชีวิตในวังหลวงจริงๆ แต่ในเมื่อข้าอยากมีชีวิตอิสรเสรี เช่นนั้นข้าจะต้องไม่แสดงความเฉลียวฉลาดออกไปต่อพระพักตร์ฮ่องเต้กับไทเฮา”
ลี่ลี่ยิ้มอย่างเป็นกังวล “ในวัง มีสนมสามนางแล้ว แต่พวกนางล้วนไม่ตั้งครรภ์ ไทเฮาร้อนพระทัยเพราะฮ่องเต้เองก็ยังไม่แต่งตั้งสนมคนใดเป็นฮองเฮา ลำบากคุณหนูในหอห้องต้องถูกเรียกตัวเข้ารับการคัดเลือกทุกสามปี
ธรรมเนียมเช่นนี้ข้าน้อยรังเกียจยิ่งนัก เพราะบ่งบอกถึงความมักมากของฮ่องเต้และการต้องห้ำหั่นฆ่าฟันกันให้ตกตายไปข้างหนึ่งของเหล่าสตรีในวังหลังเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่”
“ทำไงได้ ข้าเป็นถึงลูกสาวของท่านราชครู ครานี้ท่านพ่อมิอาจช่วยเหลือข้าได้อีก เพราะไทเฮาลงมือกำกับงานนี้ด้วยพระองค์เอง หากท่านพ่อมิทำตาม คนสกุลจ้าวคงเดือดร้อนหนัก”
ลี่ลี่พยักหน้า “ว่าแต่วิชาแปลงโฉมของคุณหนูจะมีประโยชน์อันใดในวังหลังหรือเจ้าคะ?”
จ้าวอิ๋งหั่วเม้มปากยิ้ม “ข้าบอกไม่ได้ เจ้าจะรู้ก็ต่อเมื่อข้าถูกเรียกเข้าไปรับใช้ในวังหลังแล้ว แต่ไม่ถูกเรียกไม่ดีกว่า มิใช่หรือ?”
ลี่ลี่มองไปด้านนอกหน้าต่าง ก่อนจะเปรยเบาๆว่า “อาซาน...เองก็ถูกคุณหนูลอบแปลงโฉม คุณหนูต้องการให้อาซานทำอะไรหรือเจ้าคะ?”
“อาซานเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ และเป็นเซียนกระบี่ ข้าต้องการให้เขาได้ติดตามข้าเข้าไปรับใช้ในวังด้วย มีอาซานกับเจ้าและหยาหยา ข้าก็ไม่ต้องระแวงมากนัก หากจะถูกเหล่าสนมทั้งสามกลั่นแกล้ง”
ลี่ลี่หัวร่อ “แต่ถ้าฝ่าบาทเห็นโฉมหน้านี้ของคุณหนู คุณหนูก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสนมทั้งสามกลั่นแกล้งแล้ว”
จ้าวอิ๋งหั่วหัวร่อเบาๆร่วมด้วย “จริงของเจ้า”
วันนี้หญิงสาวที่มาร่วมการคัดเลือกมีจำนวนมาก กว่าจะมาถึงคราวเข้าเฝ้าของจ้าวอิ๋งหั่วก็เป็นเวลาโพล้เพล้ หญิงสาวมากกว่าครึ่งเดินทางกลับบ้านของตนไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงสองสามคนที่รออยู่ในเรือนรับรอง ท่าทางของพวกนางกระวนกระวาย ผิดกับจ้าวอิ๋งหั่วที่นั่งประสานมือบนตักด้วยอาการไม่ทุกข์ร้อน ออกจะแสดงความสบายใจบนสีหน้าออกมาด้วยซ้ำ
โคมไฟในเรือนรับรองถูกจุดสว่าง ทางเดินจากเรือนรับรองไปยังประตูตำหนักใหญ่มีคบไฟนับร้อยจุดเรียงรายสองข้างทาง
จ้าวอิ๋งหั่วกับหญิงสาวอีกสองคนเดินเรียงกันไปอย่างเรียบร้อย จากนั้นคุกเข่าถวายบังคมตามเสียงขันทีสั่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนสงบนิ่ง รอขันทีเรียกชื่อเบิกตัวเข้าเฝ้า
มินานขันทีชราก็ร้องเรียกชื่อจ้าวอิ๋งหั่ว “ธิดาของจ้าวฝูโส่ว ท่านราชครู อายุสิบเจ็ดปี”
จ้าวอิ๋งหั่วก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะถวายบังคมแล้วก้มหน้ากราบทูล “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี ขอไทเฮาทรงพระเจริญพันปี”
ฮ่องเต้ตอบรับเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “ขงจื่อกล่าวไว้ว่า การไม่กล้ายืดอกทำสิ่งที่ถูก คือความขี้ขลาดขั้นสูงสุด เจ้าว่าคำคมนี้มีนัยลึกชึ้งอย่างไร ธิดาของท่านราชครู?”
จ้าวอิ๋งหั่วสะดุ้งวาบเหมือนถูกเข็มหมุดตำก้น นางรู้สึกเหมือนฮ่องเต้ที่นางยังไม่เห็นหน้าในยามนี้ราวกับล่วงรู้ว่านางกำลังทำสิ่งที่ขี้ขลาดอยู่จริงๆ หรือพูดให้ถูกคือเขาล่วงรู้ในสิ่งที่นางกำลังกระทำอยู่
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร...ในเมื่อข้ากับฮ่องเต้ไม่เคยเห็นหน้าคาตากันสักครั้ง ใครๆต่างรู้กันว่าธิดาของท่านราชครูจ้าวฝูโส่วมักชื่นชอบเก็บตัวอยู่ในหอห้อง
แม้ว่าความเป็นจริง นางกับลี่ลี่และหยาหยาจะลอบแปลงโฉมออกจากจวนเพื่อไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้นในหมู่บ้านตามอำเภอต่างๆเป็นประจำทุกเดือน แต่ในแต่ละเดือนนั้น โฉมหน้าของนางกับลี่ลี่และหยาหยาไม่เคยซ้ำกันแม้แต่เดือนเดียว
มีเพียงอยู่ในจวนสกุลจ้าวเท่านั้นที่พวกนางจะกลับมาเป็นตัวตนของตนเองดั่งเดิม
ด้วยอารามร้อนตัว นางจึงเผลอตอบออกไปว่า “เมื่อเชื่อมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยึดมั่นจนสุดใจ ก็ไม่มีวันแปรเปลี่ยนแม้คมกระบี่จะจ่อคอหอยหรือจวบจนถึงคราวชีวาวายเพคะ”
ฮ่องเต้ตบมือพลางหัวเราะ “ดี ตอบได้ดี สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของท่านราชครู เงยหน้าขึ้นสิ!!!”
จ้าวอิ๋งหั่วรู้ดีว่าตนพลาด แต่คำถามของฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้ก็คล้ายกับเขาขุดหลุมดักนางเอาไว้ มาดหมายจะจับนางเข้าวังหลังให้ได้ ซึ่งจ้าวอิ๋งหั่วเดาเอาเองแต่ในความรู้สึก...นางรู้สึกว่าตนตกเป็นเป้าหมายของฮ่องเต้หนุ่มกับไทเฮามาโดยตลอด
จ้าวอิ๋งหั่วเงยหน้าขึ้น หวังเพียงแต่ว่าฮ่องเต้ผู้พบหญิงงามมาแล้วมากมาย จะไม่สนใจนางผู้มีใบหน้าจืดชืดแต่งกายไม่สะดุดตาผู้นี้
ดวงตาเรียวยาวหางชี้ขึ้นดุจตาหงส์ของจ้าวอิ๋งหั่วสบประสานดวงตามังกรคมกริบของหมิงเยวี่ยฮ่องเต้ ที่เห็นหน้านางแล้วชะงักไปวูบหนึ่ง ขณะที่ไทเฮาทรงยิ้มบางๆ
ไทเฮาสั่งว่า “ก้าวออกมาข้างหน้า” พูดพลางเหลือบสายตา ขันทีด้านข้างตื่นตัวพร้อมถือถ้วยชาใบหนึ่งสาดเข้าใส่หน้าจ้าวอิ๋งหั่วเต็มแรง ธิดาของจ้าวฝูโส่วได้แต่หลับตาแน่น ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น พยายามบังคับมือมิให้ยกขึ้นลูบหน้าที่กำลังเปื่อยยุ่ย
ไทเฮายิ้มน้อยๆ “สุขุมดีมาก” แล้วพระนางก็หันไปสั่งขันที “จดชื่อรั้งไว้”
หัวใจของจ้าวอิ๋งลั่วหนักอึ้ง มองบุรุษผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรที่กำลังจะกลายมาเป็นสามีของนาง หากนางตาไม่ฝาด นางคิดว่านางเห็นเจ้าชีวิตคนทั้งหล้ากำลังยิ้มล้อเลียนนางน้อยๆ ประหนึ่งเด็กชายแกล้งเด็กหญิงที่ตัวเองหลงชอบก็มิปาน
นางถวายบังคมอีกครั้งก่อนจะกลับออกมา โดยมีนางกำนัลรุ่นใหญ่คนหนึ่งเดินถือโคมไฟเข้ามา พานางส่งนอกพระราชวัง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางย่อตัวคำนับจ้าวอิ๋งหั่ว “ยินดีกับพระสนมที่ได้รับเลือก”
“พระสนม???” ข้าอุทาน
นางกำนัลผู้นั้นยิ้ม “เพคะ พระสนม ไทเฮาให้หม่อมฉันมาส่งพระสนมขึ้นรถ เพื่อให้หม่อมฉันมาลอบบอกพระสนมได้รับรู้ว่าพระสนมได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมขั้นกุ้ยผิน[1]เพคะ”
ตอนนี้รถม้าจอดอยู่หน้าประตูวังเหลืออยู่เพียงคันเดียว โคมไฟที่แขวนอยู่หน้ารถม้าแกว่งไปตามแรงลมประหนึ่งกำลังกระวนกระวายใจ คนที่รออยู่บนรถคือลี่ลี่กับหยาหยา...หญิงรับใช้คนสนิททั้งสองของนาง เมื่อลี่ลี่เห็นนายสาวเดินมาแต่ไกลก็รีบคว้าชุดคลุม กระโดดลงจากรถม้าเข้ามาต้อนรับ หยาหยาเข้ามาประคองมือจ้าวอิ๋งหั่ว เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ลำบากคุณหนูแล้ว” ส่วนลี่ลี่คลุมชุดคลุมผ้าต่วนลงบนตัวนายสาว ก่อนทั้งสองนางจะประคองนายสาวขึ้นรถม้า นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านล่างประจำที่อย่างสงบเสงี่ยม เอ่ยพร้อมกันอย่างนอบน้อม “น้อมส่งพระสนม”
จ้าวอิ๋งหั่วแหวกม่านแล้วหันกลับไปมองพระราชวังที่ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งเป็นสีดำราวน้ำหมึก อีกครึ่งหนึ่งยังเป็นแสงสีชมพูอมทองของดวงตะวันยามอัสดงราวกับผืนผ้าที่ถักทอด้วยสีสันคลี่ขยายเต็มท้องฟ้า กำแพงพระราชวังต้องห้ามถูกทาทับด้วยแสงสีทองอร่ามราวภาพมายา
ใจจ้าวอิ๋งหั่วครึ่งหนึ่งรู้สึกหวาดหวั่นประพรั่นพรึง แต่อีกครึ่งหนึ่งสงบราบเรียบดุจน้ำใต้ผิวบ่อ สงบนิ่งราวกับว่าแม้ปลาแหวกว่ายก็ไม่มีทางทำให้น้ำในบ่อแห่งจิตวิญญาณเกิดคลื่นแม้เพียงเล็กน้อยกระเพื่อมไหวได้
[1] พระสนมขั้นสาม