บ้านหลังหนึ่ง ประเทศไทย
ตอนที่แม่เรียกฉันกินข้าว ฉันกำลังร้องไห้เป็นเผาเต่าให้กับตัวประกอบผู้น่าสงสาร ซึ่งเสียใจที่ชายที่ตนแอบรักไปแต่งงานกับหญิงอื่นจนล้มป่วยหนักแล้วตายจากไป
ทำไมฉันต้องเสียใจมากด้วยน่ะหรือ...เพราะตัวประกอบผู้นี้มีความคล้ายคลึงกับฉันบางส่วน
นางเดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นไม้ตั้งแต่จำความได้
ส่วนฉัน...คือคนพิการขาขาดข้างหนึ่งเพราะประสบอุบัติเหตุรถชนขณะเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เพราะต้องพักรักษาตัวนานหลายเดือน ฉันจึงต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย ไม่สามารถเรียนจบได้รับวุฒิการศึกษาอย่างที่ตั้งใจ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้...แม้ฉันจะโศกเศร้า ขมขื่น หวาดกลัว ท้อแท้ สิ้นหวังและคับข้องใจในโชคชะตา แต่พ่อกับแม่และพี่ชายคอยเป็นกำลังใจให้ฉันตลอด
แม้ครอบครัวของเราจะไม่ร่ำรวย ทำการเปิดร้านขายอาหารตามสั่งเล็กๆที่มีเพียงลูกค้าขาประจำมาอุดหนุน ลูกค้าขาจรนานๆทีจะโผล่มาสักครั้ง
ดังนั้น...ด้วยความช่วยเหลือจากภาครัฐ ฉันจึงมีขาเทียมใส่
ฉันส่งเสียงบอกแม่ไปว่า
“หนูจะลงไปกินข้าวเดี๋ยวนี้ค่ะ” ฉันรีบเช็ดน้ำตา แล้วสวมขาเทียมที่วางพิงกับขอบเตียง ซึ่งฉันกำลังนอนอ่านนิยายจีนเนื้อเรื่องตลกเบาสมอง แต่ว่าปวดหน่วงใจมากๆเกี่ยวกับชีวิตตัวประกอบที่ฉันอินจัดในวันที่ร้านอาหารตามสั่งของครอบครัวหยุดทำการหนึ่งวัน
ถึงแม้ฉันจะมีขาเทียม แต่ฉันยังเดินเหินไม่ถนัดจึงต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันขณะเดินด้วย
ฉันเปิดประตูห้องออกมาแล้วค่อยๆก้าวลงบันไดไม้ของบ้านไม้ครึ่งปูนสองชั้น
กลิ่นอาหารหอมฉุย ฉันร้องทักไปว่า “เย็นนี้แม่ทำอะไรให้หนูกับพ่อกับพี่กินหรือคะ?”
“ลงมาดูสิลูก” แม่บอกอย่างใจดี เป็นเช่นนี้เสมอ แม้ว่าฉันจะโชคร้าย แต่ในความโชคร้ายฉันมีเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับครอบครัวของฉันมากมายเหมือนครอบครัวตัวประกอบในเรื่องที่ฉันทั้งรักทั้งสงสาร
ฉันค่อยๆพยุงตัวเองก้าวลงมาจากขั้นบันไดสิบขั้นช้าๆ
แต่จู่ๆ...ฉันก็ลื่นพรืด!!!
มีคนทำน้ำหกไว้ที่พื้นบันได
สงสัยจะเป็นพี่ชายจอมซุ่มซ่ามแน่นอน
นั่นคือความคิดสุดท้ายที่ฉันคิดได้ขณะล้มกลิ้งขลุกๆลงมาจากบันไดศีรษะของฉันกระแทกขอบบันไดอยู่หลายครั้งหลายครา ก่อนจะร่างของฉันจะนอนแน่นิ่งที่ตีนบันไดพร้อมกับเสียงดังกร๊อบลั่นหู!
ฉันรู้สึกว่าลมหายใจของฉันขาดห้วงกะทันหัน ลมปราณแห่งชีวิตไม่หลั่งไหลเข้ารูจมูกอีก
ฉันตายแล้วจริงๆหรือ?
แต่จู่ๆฉันก็รู้สึกว่ามีลมปราณไหลเข้ารูจมูกอีกครั้ง เมื่อฉันลืมตาขึ้นมา กลับพบว่าสถานที่ที่ฉันอยู่ไม่ใช่บ้านของฉัน แต่อยู่ในห้องนอนแบบคนจีนโบราณที่ฉันเห็นในซีรีส์จีนที่นอนดูเวลาหยุดพักจากช่วยพ่อแม่ขายอาหารตามสั่ง
ก่อนฉันจะตระหนักได้ว่าไม่ได้มีเพียงฉันที่นอนอยู่บนเตียง แต่มีสตรีกลางคนหน้าตางดงามหมดจดยิ่งกว่าแม่ของฉันนั่งกุมมือฉันอยู่ข้างเตียง นางพูดทั้งน้ำตาว่า
“จื่อเอ๋อร์...ในที่สุดลูกก็ฟื้นแล้ว” แล้วสตรีผู้นั้นก็หันไปพูดกับชายชราว่า
“ท่านหมออี๋...ฝีมือการรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ สมแล้วที่คนลือกันว่าท่านเป็นหมอเทวดา”
“เสี่ยวฮูหยินกล่าวหนักเกินไปแล้ว อาการของบุตรสาวฮูหยินไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรมาก แค่เป็นโรคใจ เพียงกินยาสงบใจหนึ่งเดือน อาการก็จะดีขึ้นเอง”
“โรคใจ?” เสี่ยวฮูหยินทำหน้าประหลาดใจ ก่อนหันไปมองสตรีวัยอ่อนกว่าฉันแล้วถามว่า
“มีใครรังแกคุณหนูของเจ้าหรือไม่ อาผาน?”
อาผานหรือ?
อาผานคือสาวใช้ประจำตัวของเสี่ยวเสียงจื่อ ตัวประกอบในนิยายที่ฉันร้องไห้ให้ด้วยความรักความสงสารในยามที่นางหมดลมหายใจคาตักมารดานี่นา!!!
หระ...หรือว่าฉัน...
ขณะที่ฉันกำลังตกตะลึงอยู่นั้น อาผานก็ส่ายหน้า “ไม่มีใครกลั่นแกล้งคุณหนูนะเจ้าคะ ฮูหยิน บ่าวก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดคุณหนูถึงเป็นโรคใจเจ้าค่ะ”
สตรีวัยกลางคนที่เป็นมารดาของเสี่ยวเสียงจื่อจ้องอาผานเขม็ง พูดน้ำเสียงเฉียบขาดออกมาอีกครั้งว่า
“เจ้าไม่ได้คิดปกปิดเรื่องอะไรกับข้าใช่หรือไม่?”
อาผานรีบโบกมือทันที ก่อนจะปรายตามองท่านหมอที่กำลังเก็บล่วมยาเงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดอิดออดขึ้นมาว่า
“ที่บ่าวทราบก็มีเพียงว่าคุณหนูหลงชอบท่านราชครูหวง บ่าวก็รู้เพียงเท่านี้เจ้าค่ะ”
เสี่ยวฮูหยินได้ยินได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสี เพราะเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นความลับส่วนตัวของคุณหนูในหอห้อง เมื่อพูดออกมาให้คนนอกได้ยิน เขาปิดปากเงียบก็ดีไป แต่หากเขาเอาไปเล่าต่อก็คงจะเกิดเรื่องยุ่งยากไม่น้อย
เสี่ยวฮูหยินพยักหน้าแล้วบอกอาผานว่า
“ตกรางวัลหมออี๋ แล้วไปตามนายท่านมาดูอาการจื่อเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
สตรีวัยอ่อนกว่าฉันหรือพูดตามตรงคือวัยรุ่นตอนต้นอายุอานามราวๆสิบหกสิบเจ็ดพยักหน้า ก่อนจะล้วงถุงแดงออกจากชายแขนเสื้อแบบสตรีจีนในยุคต้าถังสวมใส่แล้วมอบให้กับหมอชราที่เก็บล่วมยาเสร็จแล้วกำลังยืนค้อมหลังหิ้วล่วมยารับไปด้วยสีหน้าเรียบสงบ
ท่านหมออี๋พูดว่า “เสี่ยวฮูหยินอย่ากังวล เรื่องในวันนี้ข้าจะไม่นำไปบอกต่อผู้ใดทั้งสิ้น”
“ขอบคุณท่านหมออี๋มาก” เสี่ยวฮูหยินยิ้ม แต่ไม่มีแววพอใจในดวงตาคู่สวยแม้แต่น้อย
เมื่อหมอชราจากไป เสี่ยวฮูหยินก็สั่งให้ฉันดื่มยาในถ้วยจนหมด ยามีรสชาติขมปี๋แต่เสี่ยวฮูหยินก็รีบป้อนบ๊วยเคลือบน้ำตาลให้ฉันทันที ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมากจึงกล่าวขอบคุณเสี่ยวฮูหยินไปคำหนึ่ง ก่อนจะแกล้งทำเป็นง่วง แล้วบอกว่า
“ลูกยังไม่อยากพบท่านพ่อเจ้าค่ะ ลูกขอนอนหลับสักงีบก่อนจะได้หรือไม่?”
“ได้ ได้ ตามใจเจ้า อาการของเจ้าเพิ่งหายดี แม่จะคอยต้มยามาป้อนเจ้าเองทุกมื้อ เจ้าก็นอนหลับอย่างวางใจเถิดนะ ส่วนเรื่องราชครูหวง หากเจ้าอยากเล่าเมื่อไหร่ก็เล่าให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อกับแม่จะไม่บีบคั้นให้เจ้าต้องเล่าออกมา”
“ขอบคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ”
เมื่อคนออกไปจากห้องแล้ว ฉันก็ชันกายขึ้นนั่งบนเตียง เลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อมองดูขาขาวนวลทั้งสองข้าง น่าแปลกที่ฉันไม่รู้สึกว่าขาทั้งสองไร้เรี่ยวแรงที่จะหยัดยืนแต่อย่างใด
ฉันจึงตัดสินใจค่อยๆวางเท้าลงเหยียบพื้น ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน
ฉันยืนได้!
พอฉันลองเดิน
ฉันเดินได้!
ฉันยิ้มกว้างแล้วหัวเราะร่าด้วยความดีอกดีใจขณะที่ลองเดินไปรอบๆห้อง ฉันเดินไม่หยุด เดิน เดิน เดิน พลางหัวเราะดีใจทั้งน้ำตาราวกับคนบ้า!
ทันใดนั้นเอง...
ฉันก็สะดุดขาโต๊ะกลมกลางห้อง หน้ากำลังจะล้มคะมำ ฉันรีบใช้สองมือยันพื้นเอาไว้
คิดไม่ถึงว่า...พอสองมือของฉันยันพื้น ร่างของฉันก็กระเด็งขึ้นมายืนตัวตรงราวกับว่าฉันใช้วรยุทธ์พยุงตัวเอาไว้ ทำให้ฉันไม่ต้องนอนจูบพื้น
ฉันมีวรยุทธ์ด้วยหรือเนี่ย!!!
ฉันทั้งประหลาดใจ คาดไม่ถึงและดีใจสุดประมาณ
เพื่อความแน่ใจ ฉันนึกถึงตัวเอกในซีรีย์จีนที่เพียงสะบัดปลายนิ้ว ไฟก็ติดหรือไฟก็ดับได้
ดังนั้น...ฉันจึงกลั้นใจลองสะบัดปลายนิ้วไปยังตะเกียงที่ส่องสว่างวางอยู่บนโต๊ะ
พรึ่บ!
ไฟดับสนิท!
คุณพระ...นอกจากจะเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ฉันยังมีวรยุทธ์หรือกำลังภายในด้วย
หากเป็นเช่นนี้...แม้จะต้องมาสิงร่างเสี่ยวเสียงจื่อผู้อ่อนแอและไม่มีบทบาทสำคัญอะไรในนิยาย ฉันก็ยินดี เพราะฉันจะทำทุกสิ่งที่ฉันปรารถนาให้หมดจนได้แม้อยู่ในโลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็ตาม!!!
“ดีใจใช่ไหมล่ะ!” ฉันสะดุ้งโหยงขณะกำลังคิดฟุ้งฝันเมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาด
ฉันเหลียวขวับไปมองที่มาของเสียงก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นชายผมยาวสลวยสีขาวเหมือนชุดสูทแม้แต่เนคไทยังเป็นสีขาวยืนลอยคว้างกลางอากาศอยู่ด้านหลังโต๊ะกลม กำลังจ้องมองมาที่ฉันยิ้มๆ ฉันเห็นรอยยิ้มของเขาขึ้นไปถึงดวงตาอย่างอารีอารอบ ใจก็รู้สึกชื้นขึ้นมา
“ท่านเป็นใคร?”
“ข้าคือเซียนอาลักษณ์ที่พาเจ้ามายังโลกหนังสือแห่งนี้!”
“เซียนอาลักษณ์!” ฉันคิดทบทวนชื่อของเซียนผู้นี้ชั่วครู่ แล้วก็นึกถึงซีรีส์จีนขนาดสั้นขึ้นมาได้ ใจพลันสั่นสะท้าน ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจว่า
“มิใช่ว่าท่านเซียนปรากฏตัวเพื่อจะบอกภารกิจที่ข้าต้องทำเพื่อกลับไปยังโลกที่ข้าจากมาใช่หรือไม่?”
แต่เซียนอาลักษณ์กลับส่ายหน้าทันที พลางบอกในสิ่งที่ทำให้ฉันขนหัวลุก
“เจ้าตายแล้ว แก้วใส!”
“ขะ...ข้าตายแล้ว”
“ใช่ และเพราะก่อนตายเจ้ามีจิตสงสารเสี่ยวเสียงจื่อซึ่งไม่มีนักอ่านคนใดสงสารนางแม้แต่คนเดียว ข้าเห็นถึงความดีความชอบครั้งนี้ของเจ้า จึงพาวิญญาณเจ้าเข้ามาสิงสู่ในร่างนาง แม้นางจะเป็นเพียงบุคคลที่ถูกเขียนขึ้นก็ตาม
แต่โลกแห่งความเป็นจริงกับโลกเสมือนก็มิได้แตกต่างกัน จริงหรือไม่?”
“เช่น...เช่นนั้น ข้าก็ต้องอยู่ในร่างเสี่ยวเสียงจื่อตลอดไปหรือเจ้าคะ?”
“ใช่แล้ว”
“แล้วความสามารถพิเศษที่ข้ามีในตอนนี้ ทั้งเดินได้ ทั้งมีวรยุท์ เป้นท่านเซียนประทานให้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“ถูกต้อง” เซียนอาลักษณ์ยิ้มกริ่ม “ในโลกใบนี้เจ้ามีพลังอำนาจไม่ต่างจากเซียนผู้หนึ่งทีเดียว”
“เย้!” ฉันกระโดดตบมือโห่ร้องดังไปทั้งห้องด้วยความดีใจสุดขีด แต่ทว่า
“อย่าเพิ่งดีใจไป...”
ฉันหน้ามุ่ยทันที เบ้ปากพูดว่า “ท่านเซียนต้องการบอกอะไรที่สำคัญต่อข้าใช่หรือไม่
“อืม” เซียนอาลักษณ์พยักหน้า “ก่อนเสี่ยวเสียงจื่อจะตาย นางมีปณิธานอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเจ้าจะต้องทำปณิธานนี้ของนางให้สำเร็จ”
ว่าแล้วเชียว จะไม่มีภารกิจได้อย่างไร
ฉันคิดอย่างห่อเหี่ยวใจ สุดท้าย...ฉันก็ไม่สามารถทำทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนาไปเสียทุกอย่าง
“เช่นนั้นภารกิจที่ว่าคืออันใดหรือเจ้าคะ?”
“ค้นหาคนที่จะเป็นคู่รักแท้ของเสี่ยวเสียงจื่อให้เจอ!!!”