“เจ้าน่ะสิ...ต้วนซิ่ว”
“ข้าไม่ใช่ต้วนซิ่ว เจ้าต่างหากที่เป็นหมัวจิ้ง[1] ดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้ว”
“พอเถอะเพคะ องค์ชายสาม”
“ท่านหญิง...ทำร้ายร่างกายองค์ชายมีโทษหนักนะขอรับ”
เสียงทะเลาะวิวาท เสียงต่อสู้ที่ฝ่ายหนึ่งกางเล็บข่วนหน้า อีกฝ่ายเอามือปัดป้องพัลวัน ผสมกับเสียงร้องห้ามปรามอย่างเสียขวัญของเหล่านางกำนัลขันทีดังอึ้งอลอยู่ภายในอุทยานหลวง ไม่ว่านางกำนัลกับขันทีจะพยายามดึงตัวเด็กทั้งสองออกจากกันด้วยเรี่ยวแรงมากมายขนาดไหน แต่กับคาดไม่ถึงว่าเด็กวัยสิบขวบกับสิบสองขวบจะมีเรี่ยวแรงมากราวช้างสารถึงขนาดผลักพวกเขาล้มกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง แล้วพวกเขาก็ทะเลาะวิวาทกันต่อด้วยเล็บ หมัด ศอก เข่า
ขณะที่การวิวาทยังดำเนินต่อไป ก็มีเสียงฝีเท้ามากมายมุ่งตรงมายังอุทยานหลวง นางกำนัลสองคนที่พยายามห้ามปรามท่านหญิงได้ยินเสียงฝีเท้าเหล่านี้ก็ถึงกับเหงื่อตกเช่นเดียวกับขันทีที่ดูแลรับใช้องค์ชายสาม เพราะตระหนักดีว่ายามเว่ย[2]ซึ่งเป็นเวลาหลังจากเลิกว่าราชกิจในท้องพระโรงของจู่หวงตี้ พระองค์มักจะเสด็จมาเที่ยวชมอุทยานหลวงเป็นประจำพร้อมกับฮองเฮาและเหล่าบริวารเพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย
“คุณหนู...ฝ่าบาทกำลังเสด็จมา หยุดมือเถิดเจ้าค่ะ” บ่าวคนสนิทที่แต่งกายด้วยชุดสะอาดสะอ้าน เกล้ามวยคู่รีบร้องห้ามปรามเสียงหลง ผิดกับ ‘คุณหนู’ ที่แต่งกายเป็นชาย เกล้ามวยของเด็กชายไม่ฟังอีร้าคาอีรม พยายามจะข่วนหน้าสีเข้มของฝ่ายคู่กรณีที่กัดกันมาตั้งแต่เกิดหวังให้ได้แผลกลับไปเพื่อความสะใจที่ถูกล้อว่าเป็นหมัวจิ้ง
‘ทำไม...เป็นผู้หญิง แล้วจะแต่งตัวเป็นบุรุษไม่ได้หรือไง ข้าเป็นหลานใคร เจ้ารู้หรือไม่!!!’
ในใจของ ‘คุณหนู’ คิดเช่นนี้
แต่อีกฝ่าย...
‘เด็กบ้า...มีสตรีดีๆคนใดบ้างกล้าลงไม้ลงมือตบตีบุรุษ ข้าเป็นโอรสของใคร เจ้ามิรู้หรือ!!!’
เสียงทะเลาะวิวาทดังไปถึงพระกรรณของหวงตี้ที่กำลังเดินสนทนากับหญิงชราซึ่งการแต่งกายของนางบ่งบอกถึงความสูงส่ง เต็มเปี่ยมไปด้วยบารมี น่ายำเกรง พระองค์กับหญิงชราผู้นั้นรีบพากันเดินไปหยุดยืนหน้าลานกว้างซึ่งเป็นลานปลูกต้นจินจวี๋[3]เหลืองอร่าม
“จวี๋เอ๋อร์!” องค์หญิงใหญ่หรือหญิงชราถึงกับอุทานหน้าเสีย เมื่อเห็นหน้าผากของหลานสาวที่รักดั่งดวงใจบวมปูด ตาเขียว เสียงร้องห้ามทำให้มือน้อยๆที่เพิ่งตวัดเล็บทั้งห้าข่วนหน้าคู่อริเป็นผลสำเร็จถึงกับชะงักงัน หันมามองนางตาโต ก่อนจะเนื้อตัวสั่นระริก รีบคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้างุด
ขณะเดียวกัน...
“เสียเอ๋อร์!” เสียงของหวงตี้ประดุจเสียงของคนใกล้หมดลมหายใจ มันทั้งแหบทั้งแห้ง พอเห็นใบหน้าของพระโอรสที่มีรอยเล็บข่วนเป็นทางยาวตั้งแต่หน้าผากจรดปลายคาง เลือดไหลซิบๆ แทนที่จะโกรธเจ้าของเล็บมือ หวงตี้กลับรู้สึกสะท้อนใจ หากหวงโฮ่วรู้ว่าพระโอรสองค์นี้แม้แต่สตรีตัวเล็กจ้อยยังสู้ไม่ได้ เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
จู่หวงตี้เป็นกษัตริย์ที่ภาคภูมิใจในพละกำลังความสามารถและสติปัญญาของตนเอง จนถึงขั้นหลงตน หากมิใช่เพราะวัยหนุ่มเขารับพระบัญชาจากอดีตหวงตี้ให้ไปปราบปรามกบฏจากหัวเมืองน้อยใหญ่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ที่มีราชบุตรเขยเป็นแม่ทัพใหญ่ สร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงมากกว่าองค์รัชทายาทที่เป็นคนรักในดนตรี กลัวการหลั่งเลือดและการต่อสู้ออกรบ นิยมที่จะอยู่แต่ในตำหนักบูรพา ดีดฉินเอาอกเอาใจเหล่าสนมนางใน นานๆครั้งจะช่วยอดีตหวงตี้ว่าราชกิจ เขาก็คงไม่มีวันได้นั่งบัลลังก์มังกร
‘เสียเอ๋อร์’ ได้ยินเสียงร้องเรียกของบิดาก็หมุนตัวกลับมามองด้วยนัยน์ตาโตเท่าไข่ห่าน ก่อนจะทรุดลงคุกเข่า ก้มหน้างุดเช่นกัน
“จวี๋เอ๋อร์...จวี๋เอ๋อร์...เจ้าทำร้ายองค์ชายรู้ไหมว่ามีโทษสถานใด” องค์หญิงใหญ่ตรัสถามเสียงสั่น ก่อนจะถลกชายกระโปรง เดินไปดึงใบหูขาวนิ่มของหลานสาวจนนางต้องแหงนหน้าสูดปากคราง ลุกขึ้นยืนตามแรงดึง หาไม่...หูคงขาด
“โอ๊ย...เจ็บ เจ็บ เสด็จย่า หลานเจ็บเจ้าค่ะ” เด็กหญิงพยายามดึงมือข้างนั้นออกจากหูตัวเอง
“เจ็บสิดี...จะได้เลิกรังแกองค์ชายสามเสียที”
ได้ยินผู้เป็นย่าเข้าข้างศัตรู แทนที่จะน้ำตาร่วงเผาะด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ‘จวี๋เอ๋อร์’ กลับเบะปาก เค้นเสียงพูดออกมาจากลำคอว่า
“ข้าน่ะหรือรังแกองค์ชายสาม เขาต่างหากที่รังแกข้า...เขากล่าวหาว่าข้าเป็นหมัวจิ้ง...เสด็จย่า ตอนเสด็จย่ายังทรงพระเยาว์ ใช่ว่าท่านมิเคยแต่งกายเป็นชายออกขี่ม้าเที่ยวเล่นกับท่านปู่หรอกหรือ”
“เสียเอ๋อร์...เจ้าใส่ร้ายน้องว่าเป็นหมัวจิ้งจริงหรือ?” คราวนี้เป็นอีกฝ่ายที่ถูกจู่หวงตี้ตวาดถามเสียงกร้าว
องค์ชายสามเงยหน้าลายๆมองบิดาด้วยสายตาละอาย เอ่ยติดๆขัดๆว่า
“จะ...จริงพะยะค่ะ...ตะ...แต่ลูกก็แค่ล้อนางเล่น มะ...ไม่คิดว่านางจะเป็นเด็กที่ป่าเถื่อนถึง...”
“หุบปาก!” หวงตี้ตวาด ‘เสียเอ๋อร์’ หุบปากฉับ
“ฝ่าบาทเพคะ” เสียงแหบเครือขององค์หญิงใหญ่ดังขึ้นมา หวงตี้รีบหันไปมองนาง เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นมีร่องรอยของความเศร้าหมอง ผิดหวัง น้ำตากำลังกลั้นออกมาจวนเจียนจะหยด เขาก็รู้สึกใจหายวาบ
องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงสะบัดแขนเสื้อ ตั้งท่าจะคุกเข่าขอขมาหวงตี้ จู่หวงตี้รีบปราดเข้าไปประคองร่างแบบบางที่ค่อนข้างผอมทันที
“หม่อมฉันอบรมลูกหลานไม่ดี ทำให้พวกเขากำเริบเสิบสาน ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่สนใจทำตามกฎระเบียบ ทำตามอำเภอใจตัวเองเพราะคิดว่ามีหม่อมฉันให้ท้ายไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด บุตรของหม่อมฉันถึงไม่อบรมบุตรีของตนให้ดี ขอฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ลงโทษหม่อมฉันที่เป็นทั้งแม่และย่าผู้ไม่เอาไหนด้วยเพคะ”
“เสด็จอา...ท่านกล่าวผิดแล้ว เป็นเราเองต่างหากที่อบรมโอรสไม่ดี ไม่สอนให้เขารู้จักทะนุถนอมสตรีดุจดั่งของล้ำค่า ปล่อยให้เขากล้าทำร้ายสตรีราวกับพวกนักเลงในท้องตลาด เป็นเสียเอ๋อร์ที่ทำผิดต่างหาก เสด็จอามิได้ยินหรือ...เสียเอ๋อร์ยอมรับเองว่าได้ล้อเลียนจวี๋เอ๋อร์ว่าเป็นหมัวจิ้ง หากข้าเป็นนางก็ต้องโกรธเช่นเดียวกัน ดังนั้น...ความผิดย่อมตกอยู่ที่เสียเอ๋อร์ ข้าจะสั่งลงโทษเขาให้ไปคัดตำรามารยาทพิธีการอยู่ในตำหนักหนึ่งเดือน”
“ฝะ...ฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่าพระองค์จะทรงกระทำการอยุติธรรมต่อองค์ชายสามนะเพคะ” องค์หญิงใหญ่ประท้วง หน้าตื่น
แต่จู่หวงตี้โบกหัตถ์ไปมา ก่อนจะเดินเข้าไปหา ‘จวี๋เอ๋อร์’ จู่หวงตี้ทรุดพระวรกายลงนั่งยองๆมองหน้าเด็กหญิงที่ยกมือกุมหน้าผากที่ปูดบวมเท่าไข่ไก่
“เสี่ยวจวี๋...เจ็บมากไหม”
เด็กหญิงส่ายหน้าอย่างหนักแน่น ก่อนเชิดคางตอบว่า “แผลแค่นี้เล็กน้อยเพคะ ที่เจ็บน่ะคือใจเพคะ” นางทุบอกดังปึกๆอยู่สองสามที
จู่หวงตี้ยิ้ม กลั้นเสียงหัวเราะจนปวดแก้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนประกาศว่า “เฉียนเต๋อ...เขียนราชโองการ แต่งตั้งท่านหญิงหยางจินจวี๋เป็นท่านหญิงขั้นสอง พร้อมมอบเครื่องประดับ ผ้าไหมแพรพรรณร้อยหีบ”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” เฉียนกงกงค้อมเอวคำนับ
หากจู่หวงตี้ไม่เรียกใช้ คงไม่มีใครเห็นร่างผอมบางราวกับไม้ถังหูหลุของเฉียนกงกงว่ามายืนข้างหลังพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่
“จวี๋เอ๋อร์...รีบคุกเข่า โขกศีรษะคำนับเสียสิ” เป็นองค์หญิงใหญ่ที่เตือนหลานสาวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ขณะที่นางยืนค้อมหลัง ก้มหน้าลงหลังผละออกจากการประคองของจู่หวงตี้ ดังนั้น...จึงไม่มีใครเห็นรอยยิ้มนิดๆที่มุมปากขององค์หญิงใหญ่หย่งหนิง
[1]สตรีรักร่วมเพศในสมัยโบราณ
[2]13.00-15.00 น.
[3]ดอกเบญจมาศสีเหลือง