บทนำ
“คุณหนู...คุณหนูเจ้าคะ รีบไปห้ามนายท่านเถิดเจ้าค่ะ”
หยางอิงลี่มองหน้าสาวใช้คนสนิทด้วยสายตาสับสนงุนงง นางกำลังนั่งประทินโฉมประจำวันนี้อย่างพิถีพิถัน จู่ๆสาวใช้มาบอกว่าท่านพ่อของนางเกิดเรื่อง ทำให้นางนึกฉุนคนในจวนโหวขึ้นมาเล็กน้อย
ท่านพ่อของนางที่เป็นขุนนางหลักลอย มักจะหาเรื่องมาให้นางต้องตามแก้ไขและปวดหัวได้ไม่หยุดหย่อนจริงๆ
“นายท่านกำลังทะเลาะอยู่กับคนสกุลซั่วที่มาขอยกเลิกงานหมั้นของคุณชายเจ้าค่ะ”
“ห๊า!” หยางอิงลี่อุทานเสียงหลง “อีกแล้วเหรอเนี่ย!”
หยางอิงลี่ไม่สนใจแล้วว่านางเพิ่งวาดคิ้วกิ่งหลิวได้ข้างเดียว นางก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วถลกชายกระโปรง วิ่งตัวปลิวด้วยเท้าเปลือยเปล่าตรงไปยังเรือนหลัก โดยมีม่านอี้ สาวใช้รีบหิ้วรองเท้าผ้าปักสีขาวทอลวดลายนกกระเรียนด้วยดิ้นไหมทองวิ่งตามและร้องเรียกให้นางกลับมาสวมรองเท้าก่อน
หยางอิงลี่รู้สึกตัว จึงหยุดวิ่งกะทันหันแล้วหันไปรับรองเท้าจากมือม่านอี้ที่รีบส่งรองเท้าให้อย่างกระหืดกระหอบมาสวมอย่างเก้ๆกังๆโดยยกขาขึ้นสวม มิได้ก้มตัวลงสวมรองเท้าอย่างที่ผู้ดีเข้าทำกัน จากนั้นก็วิ่งหน้าเริ่ดตรงไปยังเรือนหลักอีกครั้ง
หยางจิ้งหรือกวงสือโหวถูกพ่อบ้านกับหยางฮูหยินจับตัวเอาไว้ ขณะที่ตนดิ้นรนขัดขืนเป็นพัลวันหมายจะเข้าไปชกหน้าซั่วหมางหรือมิ่งหูป๋อ ผู้นำแห่งสกุลซั่วซึ่งเพิ่งถูกหยางจิ้งต่อยหน้าหงายไปหมัดหนึ่งหลังจากเดินทางมาขอถอนหมั้นบุตรชาย โดยอ้างว่า...คุณชายหยางเป็นสุภาพชนก็จริงอยู่ แต่อ่อนแอปวกเปียกเกินไป อีกทั้งไม่สนใจที่จะรับใช้ราชสำนัก คงมิอาจเลี้ยงดูบุตรีของเขาให้ดีได้ ดีไม่ดี...บุตรีของเขาอาจจะถูกผู้คนเยาะเย้ยที่แต่งเข้าจวนโหวก็จริง แต่มิอาจได้รับตำแหน่งฮูหยินตราตั้งเพราะหยางซื่อจื่อสนใจแต่เรื่องธรรมะธัมโม
“เฮอะ..เจ้าคิดหรือว่าข้ออ้างของเจ้าจะทำให้ข้าเชื่อถือ เพ้ย! ข้ารู้มาว่าเจ้าคิดจะส่งบุตรสาวของเจ้าเข้าคัดเลือกสาวงามหน้าพระที่นั่งในปีนี้ต่างหาก เฮอะ...อยากให้ลูกสาวของเจ้ามียศถาบรรดาศักดิ์แต่ต้องใช้ชีวิตกับคนแก่หนังเหี่ยว ก็ตามใจเจ้าเถิด สตรีอื่นยังมีมากมายในใต้หล้า ข้าสามารถหาคู่ครองที่ดีกว่าลูกสาวของเจ้าให้หวงเอ๋อร์ของข้าได้แน่นอน!” แล้วหยางจิ้งก็ถุยน้ำลายลงพื้น จนมันกระเด็นไปเลอะรองเท้าหนังหุ้มข้อของซั่วหมาง
ซั่วหมางคับแค้นใจ ชี้นิ้วใส่หน้าหยางจิ้ง เค้นเสียงพูดว่า
“ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาท ว่าเจ้าลบหลู่พระองค์ว่าเป็นตาแก่หนังเหี่ยว”
“เฮอะ! เชิญเลย ข้าไม่ยอมรับสักอย่างว่าข้าพูด ใครจะทำอะไรข้าได้ อีกอย่างท่านแม่ของข้าเป็นใคร เจ้ามิใช่ว่าไม่รู้ ถึงข้าจะเป็นขุนนางหลักลอย แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องให้ความเกรงใจข้าอยู่หลายส่วน เรื่องนี้มีใครไม่รู้บ้าง!” หยางจิ้งคุยโวต่อไป
“เจ้า เจ้า เจ้า...ฮึ่ม ฝากไว้ก่อนเถอะ ในเมื่อข้าอุตส่าห์มาขอถอนหมั้นบุตรชายเจ้าด้วยตัวเอง ตั้งใจจะคืนสินสอดบางส่วนที่เจ้าให้มาแล้วมอบของตอบแทนน้ำใจเพิ่มเติมเพื่อขออภัย แต่กับถูกเจ้าหยามเกียรติเช่นนี้ เช่นนั้นหากคนสกุลหยางตกระกำลำบาก คนสกุลซั่วจะไม่ดูดำดูดีอีกต่อไป ชาตินี้ไม่ต้องมาเผาผีกัน!!!” แล้วซั่วหมางก็สะบัดชายแขนเสื้อหมุนตัวเดินออกจากเรือนหลักทั้งที่ตาข้างซ้ายเขียวช้ำออกไปขึ้นรถม้าอย่างทระนงองอาจ
หยางอิงลี่มาถึงเรือนหลักก็ตอนที่หยางจิ้งสั่งให้บ่าวไพร่นำน้ำร้อนมาสาดไล่หลังรถม้าของซั่วหมางไปแล้ว
หยางจิ้งพอเห็นบุตรสาวสุดที่รักโผล่หน้ามา ก็มิอาจหักห้ามน้ำตาได้อีก เขาปล่อยโฮแล้วโผเข้าไปสวมกอดบุตรีคนเดียวที่ยืนอึ้งงัน ได้แต่มองหน้าผู้เป็นมารดากับพ่อบ้านหยางที่ยืนกุมมือมองดูพวกนางด้วยสายตาจนใจ
“พี่ชายเจ้า...พี่ชายเจ้าถูกถอนหมั้นเป็นรอบที่สามแล้ว ฮือๆ” หยางจิ้งรำพึงรำพันกับบุตรี
“เช่นนี้พี่ชายเจ้าจะมีบุตรเพื่อสืบทอดตระกูลได้อย่างไร?”
แล้วหยางจิ้งก็ผละออกจากอ้อมแขนของบุตรีที่กอดตอบเขาพลางลูบหลังอย่างปลอบประโลมอยู่พักใหญ่
ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นเช็ดดวงตาที่มีน้ำใสๆไม่กี่หยด แต่ทำหน้าเจ็บปวดเสียเต็มประดา เขามองจ้องเข้าไปในดวงตาหงส์คู่สวยที่เริ่มมีร่องรอยหวาดหวั่นแฝงออกมา
“ลี่เอ๋อร์...เรื่องทายาทสืบสกุล พ่อคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
“ห๊า!” หยางอิงลี่แทบร้องไม่เป็นภาษา
หยางจิ้งพูดต่อไปว่า “พ่อมีลูกสองคนคือเจ้ากับหวงเอ๋อร์ พี่ชายของเจ้าใฝ่ธรรมะธัมโมมาตั้งแต่เล็ก หากมิใช่เพราะเสด็จย่าคัดค้าน เขาคงหนีไปบวชนานแล้ว ก็เหลือเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถมีทายาทสืบทอดสกุลหยางให้กับพ่อได้
ใครๆในต้าสู่รู้กันดีว่าสกุลหยางร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของต้าสู่ อีกทั้งการได้เกี่ยวดองกับลูกหลานขององค์หญิงใหญ่หนิงฝูถือเป็นหน้าเป็นตาของคนสกุลนั้นๆ พ่อจะรีบเฟ้นหาชายหนุ่มที่หน้าตาดีที่สุด ชาติตระกูลดีที่สุดมาให้เจ้าเลือก หากเจ้าพอใจคนใด พ่อก็จะไปสู่ขอเขาให้แต่งเข้าจวนเรา ถึงตอนนั้นพ่อกับเสด็จย่าก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าคนสกุลหยางจะไร้ผู้สืบทอด”
หยางอิงลี่ทิ้งก้นลงนั่งแหมะบนเก้าอี้ แล้วแสร้งบีบน้ำตาออกมาสามสี่หยด พลางรำพึงสะอึกสะอื้นว่า
“ท่านพ่อก็รู้ว่าลูกเพิ่งพ้นวัยปักปิ่นมาได้แค่สองเดือน เหตุใดจึงคิดจะพรากชีวิตในวัยสาวของลูกไปเร็วนักล่ะเจ้าคะ อีกอย่าง...ผู้ชายที่เข้ามาหาลูกแต่ละคนล้วนเป็นพวกละโมบโลภมากในทรัพย์สินสกุลหยาง ลูกเชื่อว่าต่อให้ท่านพ่อเฟ้นหาบุรุษที่ดีที่สุดมาให้ลูกได้ ด้วยนิสัยของลูก เกรงว่าพวกเขาจะต้องแอบเก็บซ่อนเมียน้อยเอาไว้ในภายหลังอย่างแน่นอน เช่นนั้นลูกคงมิอาจอยู่ทนฟังคำครหาเยาะเย้ยจากผู้คนได้ มิสู้ผูกคอตายดีกว่าเจ้าค่ะ”
หยางจิ้งสะอึกเมื่อฟังวาจาตัดพ้อต่อว่ากลายๆของบุตรี มีใครในต้าสู่ไม่รู้บ้างว่า
บุตรีของเขารักสวยรักงามเป็นอันดับหนึ่ง แต่ด้อยวิชาความรู้ยกเว้นเรื่องวรยุทธ์ที่ผู้เป็นปู่ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของต้าสู่อบรมสั่งสอนนางมาแต่วัยเยาว์ นอกนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนหยิบโหย่ง ฟุ่มเฟือย ไร้ซึ่งความเป็นกุลสตรี อาหารก็ทำไม่เป็น ทำได้เพียงชงน้ำชาแบบลวกๆ คือเอาชาร้อนล้างถ้วยรอบหนึ่งแล้วทิ้ง จากนั้นค่อยรินชาลงถ้วยดื่ม...นี่แหละ...วิธีการชงชาของนาง
พอหยางจิ้งตระหนักได้แล้ว หัวใจของเขายิ่งพลันห่อเหี่ยว
ใช่...บุตรีของเขาพูดถูก ไม่มีบุรุษใดยอมรับสตรีเช่นลูกสาวของเขาได้ ในวันข้างหน้าย่อมต้องหาอนุเข้าจวนเป็นแน่แท้
หยางฮูหยินหรือเหมยซื่อเห็นสองพ่อลูกนิ่งเงียบไป จึงเอ่ยแทรกทำลายบรรยากาศอันวังเวงลงว่า
“เอาเถอะ...แม่จะยอมเป็นหมูขึ้นเขียง มีลูกชายให้ท่านพ่อเจ้าอีกครั้งก็ได้!” สิ้นคำ นางก็ถอนหายใจยาว หันไปมองสามีที่ทำตาวาววับเจ้าชู้กรุ้มกริ่มขึ้นมาทันทีแล้วก็ต้องค้อนประหลับประเหลือก แกล้งทำเป็นสะบัดสะบิ้งเมื่อสามีตรงเข้ามาโอบไหล่แล้วหัวเราะร่า บอกว่า
“หวาเอ๋อร์...เจ้าช่างรู้ใจพี่นัก ในเมื่อพึ่งหวงเอ๋อร์กับลี่เอ๋อร์ไม่ได้ เราก็มาเล่นจั้กจี้กันต่อเถอะ” จากนั้นทั้งสองก็พากันควงแขนออกไปจากเรือนหลักโดยไม่สนใจสายตาของบุตรีกับบ่าวอีกสองคนที่มองพวกตนอย่างอับจนถ้อยคำ
หยางอิงลี่ตรงไปยังเรือนเปี่ยมเมตตา เพียงเปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นธูปควันเทียนรมไปทั้งเรือน นางกับม่านอี้เดินด้วยฝีเท้าเบากริบเข้าไปยังส่วนชั้นในของเรือน จึงเห็นร่างสูงโปร่งของพี่ชายในชุดขาวล้วนนั่งอ่านหลักคำสอนของขงจื้ออยู่ว่าด้วยการหลุดพ้นทางโลก
หยางอิงลี่เบ้ปาก ขณะเอามือบีบจมูกเพราะรู้สึกแสบจมูกจากกลิ่นควันเทียน พูดเสียงอู้อี้กับหยางฟงหวงว่า
“ท่านพี่...ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้ท่านถูกถอนหมั้นอีกแล้ว”
หยางฟงหวงเงยหน้าขึ้นมองนางตาปริบๆ พูดสั้นๆว่า “จริงหรือ?” ด้วยสีหน้าไม่อินังขังขอบ
“อืม”
หยางฟงหวงปิดคัมภีร์ขงจื้อ แล้ววางมือประสานกันบนหนังสือปกน้ำเงิน พูดถ้อยคำที่ทำให้หยางอิงลี่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“ดีแล้วล่ะ...ชีวิตที่สงบสุขอย่างแท้จริงคือการอยู่กับตัวเอง ครอบครัวเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่บรรลุธรรมได้ยาก!”
“ท่านพี่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะเจ้าคะ” หยางอิงลี่แย้งทันควัน
“ชายหญิงเกิดมาเป็นของคู่กัน นี่คือสิ่งที่สวรรค์กำหนดมาแล้ว การอยากจะบรรลุเป็นเซียนของท่านพี่น่ะ ต้องตัดอารมณ์ทั้งเจ็ดจนหมด แต่ท่านพี่มิใช่ตัวคนเดียว ท่านพี่ยังมีข้า มีท่านพ่อท่านแม่ที่จำเป็นต้องพึ่งพาท่านพี่ในอนาคต ท่านพี่ชิงตัดช่องน้อยแต่พอตัวเช่นนี้มิเท่ากับเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ ข้าสิ...พลอยแย่ไปด้วย ต้องกลายมารับช่วงต่อจากท่านพี่ ต้องมีทายาทสืบสกุลให้กับคนสกุลหยางทั้งที่ข้าเพิ่งพ้นวัยปักปิ่นได้ไม่นาน ยังดีที่ท่านแม่เข้าใจข้า ยอมมีลูกชายให้ท่านพ่อเพิ่มอีกคน แต่ท่านพี่มิใช่ไม่รู้หรือไรว่าก่อนหน้านี้ท่านแม่ก็เคยท้องมาสองครั้ง แต่ทั้งสองครั้งท่านแม่ก็แท้งตลอด ข้าไม่อยากเห็นท่านพ่อท่านแม่ต้องเจ็บปวดใจกับท้องครั้งใหม่นี้อีกหากท่านแม่แท้งอีกครั้ง
ท่านพี่...หากท่านคิดจะเป็นเซียนจริงๆ ข้านี่แหละ...จะขัดขวางการเป็นเซียนของท่านพี่เอง!!!”
แล้วหยางอิงลี่ก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อวูบหนึ่ง ไฟบนก้านธูปและบนเทียนก็ดับวูบลง เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นควันธูปเทียนที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ภายในห้องหลังจากนางออกไปจากเรือนพร้อมกับม่านอี้