ต้าเหยียน รัชศกหลงเยี่ย ปีที่สอง
ณ ท้องพระโรงหลวง
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ แม้ว่าแคว้นของเราจะขยายอาณาเขตไปได้ทั้งใต้ออกตก ไม่ว่าจะเป็นแคว้นเลี่ยหยาง แคว้นโจวหยางและแคว้นไหวเซี่ย แต่ทางตอนเหนือซึ่งเป็นดินแดนของชนเผ่าจืออู้นั้นเราไม่เคยตีชิงมาเป็นดินแดนใต้อาณัติของเรามาได้เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว ซ้ำจากที่สายของเรารายงานมาตอนนี้กองกำลังทหารของชนเผ่าจืออู้เข้มแข็งมากพร้อมที่จะยกทัพมาโจมตีเราได้ทุกเมื่อ ในขณะที่เรากับแคว้นทั้งสามกำลังผจญกับภัยแล้ง การกันดารอาหารและโรคระบาด แต่ชนเผ่าจืออู้กลับอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารและฝูงสัตว์ ทำให้กองกำลังทหารของเราอ่อนแอเนื่องจากเสบียงกรังของเราไม่เพียงพอ
ในเมื่อทางจืออู้ได้ทรงคณะทูตมาเชื่อมสัมพันธไมตรี โดยเน้นถึงเรื่องการอภิเษกสมรสเชื่อมไมตรีนั้น กระหม่อมกับขุนนางทั้งหลายต่างลงความเห็นกันแล้วว่าสมควรที่ฝ่าบาทจะทำการอภิเษกสมรสเชื่อมไมตรีกับองค์หญิงเผ่าจืออู้ องค์หญิงหลานหนิง เพื่อยุติความขัดแย้งทางชายแดนที่ก่อตัวมานานกว่าห้าสิบปีนับตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน” สิ้นคำ เอ้ออ๋องหยางซิ่วในฐานะเสนาบดีฝ่ายขวาและยังเป็นเสด็จอาขององค์ฮ่องเต้ก็ทรุดตัวลงคุกเข่า ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
“หม่อมฉันก็เห็นด้วยพะยะค่ะ เพื่อยุติความทุกข์เข็ญเรื่องการเคลื่อนทัพในภาวะอดอยาก การอภิเษกสมรสนี้จะนำมาซึ่งเรื่องมงคลมากกว่าเรื่องร้าย เราสามารถทำสนธิสัญญาเรื่องแบ่งเสบียงกรังจากทางจืออู้มาเพื่อบำรุงเลี้ยงประชาราษฎร์ของเราได้หากฝ่าบาททรงทำการอภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการ ซึ่งทางฝั่งคณะทูตของจืออู้จะมาถึงเมืองอันหนิงในอีกสองวันข้างหน้าพร้อมกับการมาเยือนเพื่อให้ฝ่าบาทดูตัวขององค์หญิงหลานหนิง” ท่านอำมาตย์หงซิ่วคุกเข่ากล่าวสนับสนุน
จะมีใครบ้างในท้องพระโรงที่ไม่รู้ว่าโอรสสวรรค์ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรขณะนี้เกลียดที่สุดคือการถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเองอย่างที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อพระองค์มีนางในดวงใจอยู่แล้วและรอให้ถึงกำหนดแต่งตั้งเป็นฮองเฮาของต้าเหยียนในต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
ปึง
เสียงพระหัตถ์ตบลงบนโต๊ะดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ร่างสูงเพรียวเต็มไปด้วยมัดกล้ามลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลันพร้อมสะบัดชายแขนฉลองพระองค์แล้วหันหลังให้กับขุนนางทุกคนทั้งสายบุ๋นและสายบู๊ ก่อนพระดำรัสห้วนกระด้างจะเปล่งออกมา
“จะให้ข้าอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์หญิงที่ได้ชื่อว่าโง่ เซ่อ ทึ่มที่สุดในบรรดาองค์หญิงทั้งหมดของจืออู้เป็นฮองเฮาของข้า ดูเหมือนพวกชนเผ่ากระจอกนั้นจะลบหลู่เกียรติข้ามากเกินไปกระมัง” แล้วโอรสสวรรค์ก็หันกลับมามองขุนนางทุกคนด้วยสายตาคมปลาบ
“ข้าได้ยินมาว่าแม้ตอนนี้กองทัพของเราจะขาดแคลนเสบียงกรังแต่ข้าสามารถเปิดท้องพระคลังหลวงไปบำรุงเลี้ยงขวัญทหารได้ ข้าจะออกรบด้วยตัวเองเพื่อยึดแคว้นจืออู้มาเป็นส่วนหนึ่งบนแผนที่ดินแดนแห่งต้าเหยียนในรัชสมัยของข้า” เสียงประกาศนั้นฟังดูห้าวหาญและโอหังยิ่งนัก
ทันใดนั้น...เจ้ากรมพระคลังก็ก้าวออกมายืนเคียงข้างอ๋องหยางซิ่วกับอำมาตย์หงซิ่วก่อนจะคุกเข่าลง รีบบอกละล่ำละลักว่า
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ กระหม่อมต้องขออภัยที่ต้องกราบทูลว่าตอนนี้ท้องพระคลังของเรากำลังร่อยหรอเป็นอย่างยิ่งและยุ้งฉางหลวงนั้นก็มีเพียงพอสำหรับเลี้ยงดูผู้คนในพระราชวังเท่านั้นพะยะค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ?” หลิวเหยียนตะคอก โอรสสวรรค์ขมวดคิ้วนิ่วหน้าราวกับอสูรร้าย
“ฝ่าบาทคงจำไม่ได้ว่าเมื่อปีที่แล้วเป็นฝ่าบาทเองที่ออกรับสั่งให้เปิดท้องพระคลังหลวงเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้ง และตอนนี้เราก็ยังไม่สามารถแก้ไขภาวะกันดารอาหารได้จนกว่าฟ้าสวรรค์จะโปรยปรายสายฝนลงมาให้กับพืชสวนไร่นาของราษฎร”
ใบหน้าของหลิวเหยียนดำคล้ำเหมือนถูกโคลนพอกหน้า ก่อนจิตใจจะล่องลอยไปถึงนางในดวงใจที่หากทราบข่าวการต้องสมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีของเขากับองค์หญิงหลานหนิงคงจะต้องหัวใจแตกสลายเป็นแน่
“งั้นข้าก็ขอให้ขุนนางทุกท่านร่วมกันเปิดยุ้งฉางของพวกท่านแบ่งปันอาหารที่กักตุนเอาไว้ออกมาเลี้ยงดูราษฎร แบ่งปันสินทรัพย์ครึ่งหนึ่งเพื่อซื้อเสบียงส่งไปยังค่ายทหาร ส่วนพวกผู้หญิงก็ให้ลดทอนความฟุ่มเฟือยในการแต่งกายลง ให้รู้จักตัดเย็บเสื้อผ้าใส่เองมากกว่าซื้อหา” ฮ่องเต้หลิวเหยียนคิดว่าความคิดของตนเป็นความคิดที่วิเศษยิ่ง แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือความเงียบกริบราวกับตกอยู่ในป่าช้า
ใครคนหนึ่งกระแอมขึ้นมาทำลายบรรยากาศอันเงียบงัน ก่อนคนผู้นั้นจะก้าวออกมายืนข้างหน้า เขาคือท่านราชเลขาเฉิน
“ข้าแต่ฝ่าบาท ตั้งแต่เกิดภัยแล้งมาตลอดสองปีนี้ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันเปิดยุ้งฉางของตนเพื่อช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์ตามรับสั่งของฝ่าบาท จนตอนนี้พวกเขาต่างเหลือเสบียงอาหารไว้เพื่อเลี้ยงดูคนในครอบครัวและบ่าวไพร่เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นกระหม่อมสืบทราบมาว่ามีพ่อค้าบางกลุ่มแอบกักตุนเสบียงและขึ้นราคาสินค้าเพื่อหวังกำไรทำให้ราษฎรในพื้นที่นั้นได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส จึงเป็นการสมควรกว่าที่ฝ่าบาทจะทรงส่งผู้แทนพระองค์ลงไปตรวจเรื่องดังกล่าวที่พื้นที่แห่งนั้น” แทนที่จะมาขูดรีดเลือดเอากับปู ราชเลขาเฉินเก็บถ้อยคำสุดท้ายไว้ใต้โคนลิ้น
“บังอาจนัก เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน” หลิวเหยียนถามอย่างเดือดดาล แต่ในใจยินดียิ่งนักที่สามารถเปลี่ยนเรื่องการอภิเษกมาเป็นเรื่องของบ้านเมืองได้
“ที่เมืองจิ้นเจาพะยะค่ะ เมืองชายแดนที่กองคณะทูตจืออู้ตั้งค่ายอยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบลี้ หากให้เรื่องการฉ้อฉลเช่นนั้นล่วงรู้ไปถึงหูของคณะทูตจืออู้ ทางเราคงเสียหน้าเป็นอย่างมากพะยะค่ะ”
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ เรื่องที่จิ้นเจานั้นสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ แต่การอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์หญิงหลานหนิงนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขอได้โปรดฝ่าบาทอย่าทรงลืมเรื่องนี้เด็ดขาด”
หลิวเหยียนขบกรามกรอดเมื่ออ๋องหยางซิ่วกัดไม่ปล่อยเรื่องของจืออู้
“หากเราปฏิเสธการเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีครั้งนี้ เราต้องรับมือกับสงครามระหว่างแคว้นที่อาจจะเกิดขึ้นอีกเพราะเป็นการหลู่พระเกียรติฮ่องเต้หมิงเจิงโดยตรง ในเมื่อกองทัพของเรากำลังอยู่ในภาวะอ่อนแอเช่นนี้ ทางเราย่อมไม่มีทางรับมือกับกองกำลังอันเข้มแข็งและป่าเถื่อนดุดันของชนเผ่าจืออู้ได้หรอกพะยะค่ะ ฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทเห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่ส่วนรวมมาก่อน ขอโปรดทรงไตร่ตรองด้วยพะยะค่ะ” เอ้ออ๋องหยางซิ่วเกลี้ยกล่อม พร้อมกันนั้นขุนนางทั้งหมดต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นและร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ขอทรงเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลักด้วยเถิดพะยะค่ะ”
ห้องบรรทม
หลิวเหยียนมองภาพวาดองค์หญิงหลานหนิงในมือพร้อมกับพระราชสาสน์ขอเชื่อมสัมพันธไมตรีของแคว้นจืออู้ด้วยสีหน้าคล้ำเครียด องค์หญิงหลานหนิงยังเป็นเด็กสาวแรกรุ่นอายุอานามไม่น่าจะเกินสิบห้าปี ในขณะที่เขานั้นอายุยี่สิบปีเต็มเมื่อเดือนที่ผ่านมา
จะให้เขาหลับนอนกับเด็กสาวรุ่นอย่างงั้นหรือ...ฝันไปเหอะ
นอกจากนางหน้าตาจะจืดชืดแล้ว นางยังมีชื่อเสียงเรื่องสมองทึบ ทึ่ม เซ่อซึ่งลือกระฉ่อนมาถึงในวังหลวง หากต้องแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาเขาจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหนหากนางทำสิ่งที่โง่เขลาเบาปัญญาออกมาต่อหน้าผู้คน
ช่างน่าหัวร่อนักที่องค์หญิงอันเกิดจากฮองเฮาที่ลือกันว่าเปี่ยมด้วยสติปัญญาอันปราดเปรื่องของฮ่องเต้หมิงเจิงแห่งจืออู้จะมีพระธิดาที่ใครๆ ในวังหลวงต่างพากันส่ายหน้าและซุบซิบนินทาถึงความโง่งมของนาง จนตอนนี้ฮ่องเต้อย่างเขาก็พลอยโดนหัวเราะเยาะไปด้วยเมื่อต้องแต่งงานกับนางเพราะความจำเป็น
ถ้าภัยแล้งไม่เกิด โรคระบาดไม่ถามหา ราษฎรไม่ทุกข์เข็ญ และเผ่าจืออู้ไม่ถือโอกาสนี้มากดดันเขาล่ะก็
เขาคงกรีฑาทัพด้วยตนเองเหมือนตอนไปปราบโจวหยาง เลี่ยหยางและไหวเซี่ย จนสามารถผนวกดินแดนทั้งสามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของต้าเหยียนได้สำเร็จ หลิวเหยียนเชื่อว่าด้วยความสามารถด้านบุ๊นของตนและความเชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงครามจะทำให้เขาไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ชนเผ่าเล็กๆ อย่างจืออู้เป็นแน่
เฮ้อ!
หลิวเหยียนทอดถอนใจ หวนคิดถึงหลันเอ๋อร์ที่ขณะนี้คงนอนร้องไห้อยู่ภายในจวนของนาง แม้เขาอยากจะไปปลอบใจนางแต่นางก็ส่งนางกำนัลมาหาเขาถึงตำหนักฉางหนิงเพื่อบอกกับเขาว่านางยินดีที่จะเป็นพระสนมของเขา ขอเพียงเขายังคงรักมั่นในตัวนางเพียงผู้เดียว
แน่นอนว่า เขาย่อมรักนางเพียงผู้เดียวเพราะเขากับนางรู้จักกันภายในพระราชวังเสวียนจี๋แห่งนี้ตั้งแต่วัยเยาว์และเขาก็ตกหลุมรักนางทันทีตั้งแต่แรกเห็น นางเป็นลูกผู้น้องของอ๋องหยางซิ่ว ซึ่งมันทำให้เขาไม่ประหลาดใจเลยที่อ๋องหนุ่มผู้นั้นจะพยายามผลักดันให้เขาเข้าอภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งจืออู้ให้ได้ เพราะหยางซิ่วแอบชอบหลันเอ๋อร์มาตั้งนานแล้ว ช่างโชคร้ายนัก...ที่อัครเสนาบดีไป๋ตี๋ ว่าที่พ่อตาของเขาได้เสียชีวิตลงเพราะโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อปีที่แล้ว ทำให้หลันเอ๋อร์ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของครอบครัวหยางซิ่วเพราะนางเป็นหลานสาวคนเดียวของมารดาหยางซิ่ว หาไม่...ไป๋ตี๋คงจะช่วยพูดและสนับสนุนเขากับหลันเอ๋อร์ต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย และช่วยขบคิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องการอภิเษกสมรสได้เป็นแน่ เพราะตระกูลไป๋มีบุญคุณกับเหล่าขุนนางเป็นจำนวนไม่น้อย
หลิวเหยียนปาภาพวาดองค์หญิงหลานหนิงลงกับพื้นสุดแรง ยิ่งมองภาพวาดก็ยิ่งโมโหและอึดอัดใจ เมื่อคิดถึงน้ำตาของหลันเอ๋อร์ก็ยิ่งปวดใจ
“ฉีเฟิง!!!” หลิวเหยียนตะโกนดังลั่น
พลัน...เงาร่างหนึ่งก็โฉบทะยานลงมาจากคานของตำหนักฉางหนิง ก่อนจะปรากฏเป็นร่างของบุรุษในชุดดำที่นั่งคุกเข่าตรงหน้าโอรสสวรรค์
“น้อมรับคำสั่งฝ่าบาท” ฉีเฟิงประสานมือคารวะ เขาเป็นองค์รักษ์เงาและสหายรักของหลิวเหยียนมาตั้งแต่เยาว์วัย
การฝึกปรือวิทยายุทธ์ของฉีเฟิงนั้นก็มาจากอาจารย์คนเดียวกันกับฮ่องเต้หลิวเหยียนที่ต้องไปฝึกถึงเขาคุนหลุน ยามว่างนั้นบุรุษทั้งสองจะประลองวิทยายุทธ์กันอยู่บ่อยครั้งด้านหลังตำหนักฉางหนิงซึ่งเป็นลานกว้างและตกแต่งไปด้วยพรรณไม้ดอกนานาพันธุ์ ไป๋อี๋หลันเป็นสตรีเดียวที่ได้รับอนุญาตให้มาดูการฝึกประลองยุทธ์ของพวกเขา ที่สำคัญ...ในอุทยานหลวงก็ล้วนปลูกดอกไม้ทุกชนิดที่ไป๋อี้หลันชื่นชอบ
“วันนี้เรากับเจ้าจะออกเดินทางเพื่อแอบเข้าไปในกองคณะทูตของจืออู้ ข้าอยากจะทำความรู้จักองค์หญิงหลานหนิงสักหน่อย”
“ทำไมพระองค์ไม่รอให้ขบวนเสด็จขององค์หญิงมาถึงพระราชวังแทนล่ะพะยะค่ะ ถึงตอนนั้นพระองค์ก็มีเวลาที่จะทำความรู้จักกับองค์หญิงได้ตลอดทั้งวัน”
“ฉีเฟิงเอ๋ยฉีเฟิง ทำความรู้จักของข้านั้นเจ้ายังไม่เข้าใจความหมายอีกหรือ?”
ฉีเฟิงเงยหน้าขึ้นสบตาสีดำสนิทเหมือนไข่มุกราตรีขององค์ฮ่องเต้ด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัยชั่วครู่ แต่พอเห็นประกายวาววับในดวงตาของหลิวเหยียนเขาก็เข้าใจแจ่มกระจ่างถึงรับสั่งของพระองค์
“กระหม่อมยินดีช่วยเหลือพระองค์เต็มที่พะยะค่ะ” ฉีเฟิงยิ้มอย่างนึกสนุก
“ข้าจะให้เจิงหวงว่าราชการแทนข้าพรุ่งนี้เช้า หวังว่าการไปครั้งนี้ของพวกเราจะสามารถทำให้คณะทูตจืออู้ขอถอนตัวกลับบ้านเกิดเมืองนอนได้อย่างไร้ข้อแม้”
เจิงหวงคือหัวหน้าราชองครักษ์ซึ่งมีฝีมือในเรื่องการแปลงโฉม และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจิงหวงแสดงตัวเองในบทบาทของฮ่องเต้แห่งต้าเหยียน ถึงอย่างไรหากแผนการนี้รู้ถึงหูเจิงหวงซึ่งกำลังเตรียมตัวเข้านอนอย่างสุขอุราอยู่ที่จวนของตน เขาคงสบถเป็นร้อยรอบและนอนตาค้างทั้งคืน!