กุบกับ กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าม้ากำลังลากรถม้าคันไม่เล็กไม่ใหญ่ไปตามถนนหลวงที่ตัดผ่านป่าไผ่อย่างไม่เร่งไม่ร้อน ภายในรถม้ามีเพียงเด็กหญิงวัยห้าขวบกับบ่าวสาวผู้หนึ่ง...ทั้งสองแต่งตัวดีแต่อาภรณ์มิได้หรูหราแต่อย่างใด ที่น่าแปลกคือคนขับรถม้ากลับห้อยกระบี่ไว้หว่างเอว หน้าตาดุดันคล้ายจอมยุทธ์พเนจรก็มิปาน
“เฮ้อ...ยังเที่ยวไม่จุใจเลย ก็จำต้องรีบถ่อสังขารกลับ!” เด็กหญิงวัยห้าขวบจีบปากจีบคอพูดอย่างฉาดฉานด้วยถ้อยคำโตเกินวัย พลางทำปากยื่นๆเมื่อนึกถึงคนที่นางกำลังกลับไปหา
“ไม่จุใจอะไรกันเพคะ...ฝ่าบาททรงอนุญาตให้องค์หญิงออกไปเที่ยวนอกเมืองหลวงได้ถึงสามวันเชียวนะเพคะ มีองค์หญิงคนไหนในประวัติศาสตร์ของต้าโจวบ้างที่มีวัยเท่าองค์หญิงแล้วสามารถออกไปเที่ยวนอกวังตามลำพังได้ ไม่มี๊...ไม่มีเลยนะเพคะ!”
หลิงหรงปรายตามองถังซวน นางกำนัลคนสนิทวัยสิบห้าปีที่มีนิสัยคล้ายคลึงกันในการพูดจาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
“ข้าหายไปสักเดือนหนึ่งให้เสด็จพ่อคิดถึงเล่นไม่ดีเหรออย่างไร ทุกวันนี้เจอหน้าเสด็จพ่อทีไร เห็นแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านแต่ฎีกา”
หลิงหรงทำปากเบ้ออกมาเมื่อพูดต่อว่า “แต่พอข้าออกไปเที่ยวกระดี๊กระด๊าได้ไม่กี่วัน จู่ๆเสด็จพ่อที่ไม่เคยแยแสสตรีใด กลับอนุญาตให้มีการคัดเลือกสาวงามหน้าพระที่นั่งได้ แล้วเรื่องอะไรข้าจะยอมให้เสด็จพ่อรับแม่เลี้ยงที่ข้าไม่ชอบขี้หน้ามาดูแลข้ากันเล่า!”
ถังซวนทำจมูกย่นเมื่อนึกถึงสตรีผู้หนึ่ง “น่าจะเป็นรับสั่งของไทเฮาให้ฝ่าบาทรับสนมเพิ่มเพื่อเพิ่มพระทายาท ไทเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็หมายจะผลักดันให้รั่วจื่อจวิ้นจู่ได้รับคัดเลือกเป็นสนมอยู่แล้ว”
“แหง๋แซะ...เสด็จย่าน่ะ รักแต่สตรีสอพลออย่างรั่วจื่อ ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา หึ...รอข้ากลับไปก่อนเถอะ!!!” พูดจบ ก็ยกแขนขึ้นกอดอก ทำหน้าบูดไปตลอดทาง
พลัน...เสียงของคนขับรถม้าหรือราชองครักษ์ฝ่ายซ้ายของฮ่องเต้แห่งต้าโจวก็ตะโกนบอกผ่านม่านหนาหนักเข้ามาว่า
“องค์หญิง...ข้างหน้ามีการฆ่าฟันกัน ขอองค์หญิงโปรดอย่าแตกตื่น สงบนิ่งเข้าไว้พ่ะย่ะค่ะ”
หลิงหรงทำตาเบิกโตเท่าไข่ห่านขึ้นมาทันที ก่อนจะร้องถามราชองครักษ์หยางจวินว่า
“เป็นฝ่ายอธรรมสู้กับธรรมะใช่หรือไม่?”
ถังซวนลอบกลอกตาไปมาเมื่อได้ยินคำถามประโยคนี้จากปากองค์หญิงน้อย หยางจวินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้นขำสุดฤทธิ์
“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ เห็นเพียงแต่ว่าเป็นสตรีผู้หนึ่งกำลังรับมือกับโจรป่าห้าคนพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าจะรออะไรอยู่เล่า รีบไปช่วยนางซี!” หลิงหรงสั่งการทันควัน ก่อนจะแง้มม่านหน้าต่างออกดูเล็กน้อย จึงเห็นร่างในชุดสีดอกท้อกำลังรับมือกับโจรป่ารูปร่างกำยำล่ำสันด้วยท่าร่างพลิ้วไหวราวกับใบไผ่ปลิวปราย
หลิงหรงคำนวณดูแล้ว...น่าจะเป็นโจรป่าทั้งห้ามากกว่าที่จะตกอยู่ในกำมือของสตรีชุดสีดอกท้อ
แต่เพราะหยางจวินต้องทำตามรับสั่งขององค์หญิงน้อยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เขาจึงดึงบังเหียนรั้งม้าให้หยุดวิ่ง ก่อนจะชักกระบี่ออกจากฝักแล้วสะกิดปลายเท้ากับคานรถเหินทะยานลงไปกลางวงต่อสู้
สตรีชุดดอกท้อ...พอเห็นมีคนมาช่วยตนก็ตกใจคราหนึ่ง จนลืมตัวเปิดโอกาสให้โจรป่าที่ต่อสู้ติดพันกับตนฟันต้นแขนเพรียวบางได้แผลหนึ่งรอย
หยาดโลหิตไหลอาบเปื้อนชายแขนเสื้อที่ขาดเป็นทางยาวก่อนจะหยดลงบนพื้นดินดังติ๋งๆ
“อุ๊บ!”
หยางจวินเห็นสตรีผู้นั้นพลาดท่าโจรป่า ก็ร้องบอกว่า “แม่นาง...ถอยออกจากวงล้อม ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
สตรีผู้นั้นพยักหน้า พลางบอกด้วยน้ำเสียงหวานเสนาะว่า “ฝากท่านจอมยุทธ์ด้วย!” แล้วนางก็สะกิดปลายเท้าเหินทะยานออกมายืนอยู่นอกวงล้อม ยืนมองดูหยางจวินต่อสู้กับโจรป่าด้วยวรยุทธ์ที่ล้ำลึกด้วยสายตาแปลกซับซ้อน
ก่อนสตรีในชุดดอกท้อจะได้ยินเสียงเล็กๆใสๆร้องเรียกว่า
“แม่นาง...แม่นางมาทำแผล!”
ตอนนั้นเองที่นางหันไปเห็นดวงหน้าผลดอกท้อน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ปากรูปกระจับสีแดงเรื่อโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างรถม้าที่จอดอยู่ห่างออกไปราวสามจั้ง เด็กหญิงคนนั้นกวักมือเรียกนางยิกๆ สตรีในชุดสีดอกท้อจึงเดินกุมต้นแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อไปหาหลิงหรง
ถังซวนรีบเลิกม่านหนาหนักขึ้นเมื่อเห็นนางเดินเข้ามาใกล้รถม้าในระยะประชิด ก่อนจะยื่นมือออกไป สตรีผู้นั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะจับมือถังซวนดันตัวเองเข้าไปนั่งในรถม้า
ปล่อยให้หยางจวินต่อกรกับโจรป่าที่เพียงผ่านไปแค่ครึ่งถ้วยชา พวกมันก็พากันวิ่งหลบหนีหัวซุกหัวซุนหายเข้าป่าไปกันหมด!!!
ถังซวนเป็นคนจัดการทำแผลห้ามเลือดใส่ยาจากกล่องยาที่เก็บไว้ในลิ้นชักใต้เบาะนั่ง ในขณะที่หลิงหรงนั่งมองสตรีในชุดดอกท้อตาปรอย
เพราะเมื่อได้เห็นโฉมหน้าของสตรีผู้นี้อย่างใกล้ชิด หลิงหรงก็ถึงขั้นร้อง ว๊าวในใจเพราะสตรีในชุดดอกท้อมีใบหน้าสวยหวานราวกับสตรีล่มเมืองก็มิปาน
“แม่นาง...เหตุใดจึงมาเดินอยู่คนเดียวในป่าแบบนี้ หากข้าไม่ผ่านทางมา เกรงว่าแม่นางคงมิแคล้ว...”
สตรีในชุดดอกท้อแย้มยิ้มอ่อนหวาน ก่อนบอกอย่างเย่อหยิ่งว่า “ข้าเองก็มีวิชาพอตัว คิดว่าคงไม่พลาดท่าเสียทีง่ายๆ”
พอหลิงหรงเห็นว่าสตรีผู้นี้มีจิตใจเข้มแข้งกล้าหาญ ปราศจากมารยา มิใช่สตรีที่ชอบประจบประแจงมารยาสาไถยอย่างรั่วจื่อจวิ้นจู่ก็นึกถูกชะตา
“ว่าแต่แม่นางกำลังจะไปไหนเหรอ?”
“หาบ้านอยู่!”
“หาบ้านอยู่!/หาบ้านอยู่!” สองนายบ่าวร้องออกมาเสียงดังด้วยความแปลกใจระคนพิศวง
สตรีในชุดดอกท้อเห็นสตรีวัยเยาว์ทั้งสองทำหน้าตาพิลึกก็ยิ้มแย้ม พยักหน้าบอกว่า
“ใช่ ข้ากำลังหาบ้านอยู่ ยามนี้ข้าเหลือตัวคนเดียวแล้ว!”
หลิงหรงขมวดคิ้วนิ่วหน้าจนหน้าผากแทบยับย่นจนดูน่าตลก “แม่นางพูดเช่นนี้ แสดงว่าแต่ก่อนท่านเคยมีบ้านอยู่!?”
สตรีชุดดอกท้อส่ายหน้า “ข้าเป็นเด็กกำพร้า ได้หลบหนีออกจากสถานรับเลี้ยงอันโหดร้ายมาใช้ชีวิตตามลำพังตั้งแต่สิบหนาว ก่อนจะได้จอมยุทธ์ท่านหนึ่งเลี้ยงดูแล้วสอนวรยุทธ์ข้า ก่อนเขาจะหายสาบสูญไป ทิ้งให้ข้าต้องเลี้ยงดูตัวเองตามลำพังตั้งแต่สิบสี่หนาว”
“นิยายน้ำเน่า!” หลิงหรงหันไปพึมพำเบาๆกับถังซวนที่ทำหน้าตาชนิดหนึ่ง ขณะกัดกระพุ้งแก้มกลั้นเสียงหัวเราะสุดความสามารถ
หลิงหรงมองใบหน้างดงามของสตรีแปลกหน้าอีกครั้ง พลางคิดทบทวนในใจอยู่หลายรอบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“พอดีบ้านข้ามีห้องหับอยู่หลายห้อง หากแม่นางไม่คิดมาก ย้ายเข้าไปอยู่กับข้าก็ได้ ขอเพียงแต่...แม่นางต้องคอยรับใช้ข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“คุณหนูหมายความว่าอย่างไร?”
หลิงหรงหยักยิ้มน่าเอ็นดูแต่แววตาร้ายกาจ
“เผอิญ...ในบ้านข้ามีคนที่ข้าไม่ชอบขี้หน้าอยู่คนหนึ่ง หากแม่นางสามารถช่วยขัดขวางคนผู้นี้ไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามกับข้าได้ ข้าก็ยินดีรับแม่นางไปอยู่ด้วย...แม่นางเห็นด้วยกับข้าหรือไม่?”
สตรีแปลกหน้าทำท่าลังเลตรึกตรองนิ่งนาน...นานราวกับผ่านไปครึ่งค่อนวัน ก่อนนางจะเงยหน้าถามว่า
“แล้วบิดามารดาของคุณหนูจะไม่คิดว่าข้าเป็นตัวภาระหรือ เพราะถ้าข้าไปอยู่กับคุณหนู ข้าก็จำเป็นต้องมีอาหารมีน้ำกิน แน่นอนว่าข้าคงไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องช่วยคุณหนูทำงาน เช่นนั้นจะไม่เบียดเบียนเบี้ยหวัดของบ่าวไพร่ที่อยู่มาก่อนแล้วหรอกหรือ?”
หลิงหรงยิ้มแป้น รีบกางแขนออกสุดแขน ขณะบอกว่า “อย่าห่วงเลย ท่านพ่อข้าร่ำรวยที่สุดในต้าโจว กะอีแค่เพิ่มบ่าวไพร่ขึ้นอีกสักคนหนึ่ง ขนหน้าแข้งท่านพ่อข้าไม่ร่วงหร๊อก”
สตรีแปลกหน้ายังทำหน้าลังเลใจอีกชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า ถามว่า
“เช่นนั้น...คุณหนูอยากให้ข้ารับใช้ท่านเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่?”
หลิงหรงหยักยิ้มสมมาดปรารถนา ก่อนทำตาเล็กตาน้อยบอกว่า
“เป็นไม้กันหมาให้ท่านพ่อข้า!!!”