ซ่งเฉียนหยางฮ่องเต้สาวเท้ายาวๆ อย่างไม่เร่งไม่ร้อนเข้าไปในพระที่นั่งหนิงเอี่ยนเพื่อพบซ่งไทเฮา...เสด็จแม่ ที่มีเรื่องสำคัญจะตรัสกับเขา ซ่งเฉียนหยางเดินผ่านร่างของสนมห้านางที่เขาจำต้องรับเข้ามาตามธรรมเนียมคัดเลือกสาวงามหน้าพระที่นั่งทุกสามปี แต่ทว่า...สายตาของเขามิได้กวาดมองใบหน้าสตรีที่สวยสดงดงามเหล่านั้นแม้สักคนเดียว สายตาของเขาพุ่งตรงไปยังพระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความเมตตาอารีของพระมารดาที่นั่งมองเขาด้วยรอยยิ้มแจ่มใสอยู่บนบัลลังก์ทอง เยื้องๆ กันคือบัลลังก์มังกร
ซ่งเฉียนหยางคำนับพระมารดาอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะก้าวเดินขึ้นบันไดไปนั่งลงบนบัลลังก์ประจำตัวด้วยท่วงท่าน่าเกรงขาม ผึ่งผายราวกับต้นไม้หยก
“ฮ่องเต้มาตรงเวลาจริงๆ” ซ่งไทเฮาสัพยอกเล็กน้อย ซ่งเฉียนหยางยิ้มอบอุ่น ตอบกลับว่า
“รับสั่งของเสด็จแม่ ลูกจะเพิกเฉยได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดเช่นนี้ยิ่งทำให้แม่ดีใจมากขึ้นไปอีก รู้หรือไม่?”
ซ่งเฉียนหยางเลิกคิ้วขึ้นสูง รู้สึกแปลกใจพอๆ กับนึกฉงน
“เกรงว่าเสด็จแม่คงมีรับสั่งบางอย่างที่ต้องการให้ลูกกระทำตามใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งไทเฮายิ้มกริ่ม ขณะคว้ามือหนาคล้ำมากุมหลวมๆ พลางพยักหน้า “ฮ่องเต้ช่างรู้ใจแม่ที่สุด”
ซ่งเฉียนหยางมิได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างไร เพราะเรื่องอันใดที่พระมารดาไหว้วานให้เขากระทำนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เขาสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องปริปากบ่น เพราะมิใช่การบังคับฝืนใจแต่อย่างไร
“เป็นเรื่องอันใดที่เสด็จแม่อยากให้ลูกรับปากหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่ก็สองปีแล้วตั้งแต่เจ้าขึ้นครองราชย์ แต่กับยังไม่แต่งตั้งสนมคนใดเป็นฮองเฮา...”
เหล่าสนมทั้งห้านางต่างมีอาการตื่นตัวขึ้นมาทันที ภายในใจของพวกนางเต็มไปด้วยความหวังว่าตนอาจจะเป็นตัวเลือกหนึ่งในสายตาของไทเฮา
แม้พวกนางจะแต่งเข้าวังหลวงมาสองปีตามพิธีคัดเลือกสาวงามหน้าพระที่นั่งครั้งแรกของซ่งเฉียนหยางฮ่องเต้ แต่สิ่งเดียวที่พวกนางได้รับจากซ่งเฉียนหยางเหมือนๆ กันคือ ความห่างเหินจากฮ่องเต้ที่มุ่งมั่นสนใจอยู่แต่กับการบริหารปกครองบ้านเมือง แม้แต่การทำศึกกับต่างแคว้นเมื่อปีที่แล้ว พระองค์ก็นำทัพใหญ่ด้วยตัวเองจนคว้าชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่กลับมา สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับแผ่นดินซ่ง
ดังนั้น...พวกนางทั้งห้าคนจึงมิเคยได้ ‘ถวายตัว’ ให้แก่ซ่งเฉียนหยางสักคนเดียว อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เสด็จมายังตำหนักของพวกนางเลย ดังนั้นพวกนางจึงต้องเป็นฝ่ายเข้าหาฮ่องเต้ก่อนด้วยการทำอาหารขึ้นทูลถวาย หรือต้มชาชั้นดีฝากขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ไปให้ฮ่องเต้เสวย บางครั้งหากพวกนางได้ยินได้รู้ว่าฮ่องเต้ประชวรแม้เพียงน้อยนิดก็จะรีบนำยาชั้นดีจากจวนสกุลเดิมส่งผ่านหมอหลวงไปให้
แต่ทว่า...ซ่งเฉียนหยางฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยเหลียวแลพวกนางแม้สักคนเดียว เช่นเดียวกับซ่งไทเฮา...ที่ไม่เคยพูดตักเตือนให้พระโอรสเสด็จเยี่ยมเยียนตำหนักใดตำหนักหนึ่งราวกับพระนางปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปตามความต้องการของพระโอรสเท่านั้น พระนางไม่อยากก้าวก่าย คล้ายกับว่าซ่งไทเฮาเองก็มิได้หวังให้ฮ่องเต้มีพระโอรสพระธิดาสืบทอดบัลลังก์ต้าซ่งเร็วนัก เนื่องจากซ่งเฉียนหยางฮ่องเต้เพิ่งมีพระชนมพรรษาเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น ถือว่าอายุยังไม่มาก ยังไม่ต้องรีบร้อนมีรัชทายาทก็เป็นได้
พระดำรัสของซ่งไทเฮาทำให้พระพักตร์ของซ่งเฉียนหยางฮ่องเต้ขึ้งเครียดขึ้นมาทันที
“ลูกยังไม่พบสตรีนางใดที่คู่ควรกับตำแหน่งดังกล่าวพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเฉียนหยางตอบด้วยน้ำเสียงชืดชา แต่คำตอบของเขาราวกับสายอสุนีบาตที่ฟาดลงกลางกระหม่อมของสนมทั้งห้านาง พวกนางได้แต่เก็บความชอกช้ำใจและน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ในอก สองมือกำแน่นอยู่ใต้โต๊ะ มิกล้าหายใจแรงแม้แต่น้อย
“แต่แม่เห็นว่ามีสตรีผู้หนึ่งคู่ควรกับเจ้า และแม่ก็ได้พูดคุยเจรจาเรื่องนางกับครอบครัวของนางไว้แล้ว”
“เสด็จแม่...” น้ำเสียงของซ่งเฉียนหยางเข้มขึ้นมาเล็กน้อย ขณะมองสบสายตายิ้มๆ ของพระมารดาอย่างไม่ชอบใจเล็กน้อย “เหตุใดไม่นำเรื่องนี้มาบอกกล่าวลูกก่อน”
“แม่ต้องการประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าเหล่าสนมของเจ้า เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีของเจ้า ย่อมสมควรจะต้องรู้จักว่าที่ฮองเฮาของเจ้าล่วงหน้า”
ซ่งเฉียนหยางกวาดตามองใบหน้าของเหล่าสนมที่เงยหน้าสบสายตาเขาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจด้วยสายตาว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
“อีกอย่าง...แม่รู้มาว่าพักนี้เหล่าขุนนางพูดแต่เรื่องให้เจ้าแต่งตั้งผู้คุมวังหลังเพื่อความมั่นคงของทั้งภายในและภายนอกของต้าซ่ง แม่จึงมิอาจนิ่งดูดายได้เหมือนอย่างเจ้า”
ซ่งเฉียนหยางฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะ “มิทราบว่าสตรีผู้นั้นเป็นลูกหลานสกุลใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษหนุ่มเปิดปากถามอย่างยอมรับความพ่ายแพ้
“นางเป็นพระธิดาองค์เล็กสุดของเสวียนจงฮ่องเต้แห่งต้ามู่...ดินแดนที่เจ้าเพิ่งตีแตกพ่ายเมื่อปีที่แล้วและอยู่ใต้อาณัติของเรา...องค์หญิงมู่อันอัน”
มู่อันอันมองดูพระเชษฐาผูกล่อของนางไว้กับโคนต้นไม้ใหญ่รวมกับอาชาเหงื่อโลหิตขนสีน้ำตาลทอง ขณะที่นางถือคันเบ็ดคันหนึ่งกับถังใบไม่เล็กไม่ใหญ่ พอพระเชษฐาผูกล่อของนางเสร็จ เขาก็รับคันเบ็ดกับถังน้ำมาถือไว้เอง
“อันอันเดินลงมาตามตลิ่งช้าๆ นะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะลื่น” มู่หรงชิงพยายามเดินนำทางพระขนิษฐาอย่างช้าๆ มู่อันอันจับชายแขนเสื้อของมู่หรงชิงเพื่อพยุงตัวเองให้ก้าวเดินลงไปนั่งริมตลิ่งอย่างระมัดระวัง
“วันนี้เสด็จพี่ต้องจับปลาตัวใหญ่ให้ได้นะเพคะ เพราะจะทำน้ำซุปปลาได้หลายหม้อ พอเสด็จพ่อได้ดื่ม ไข้ก็จะได้หายไวๆ”
“อืม” มู่หรงชิงรับคำเบาๆ แต่ภายในใจรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก
นี่เป็นครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ใช้เวลากับน้องสาวคนเล็กตามลำพังโดยไม่มีบ่าวไพร่มาวุ่นวาย การมาเที่ยวใกล้แม่น้ำสายน้อยที่ไหลผ่านแคว้นมู่ซึ่งเป็นดินแดนที่ค่อนข้างแห้งแล้งกันดารเพราะอยู่ทางตอนเหนือ เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์เสียมาก การมาเที่ยวในครั้งนี้เป็นการมาเที่ยวครั้งแรกของมู่อันอัน ซึ่งเขาขออนุญาตจากเสด็จแม่แล้ว เพราะมู่อันอันอยากได้ปลาตัวใหญ่มาทำน้ำซุปปลาให้เสด็จพ่อดื่มบำรุงร่างกาย อาการไข้ที่เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหายจะได้ทุเลาลงจนหายดี
ความจริง...เสด็จพ่อมิได้เจ็บป่วยแต่อย่างใด เพียงแต่พระองค์ทรงกริ้วจนลมขึ้น หน้ามืดมาหลายวันที่ถูกซ่งไทเฮาส่งสาสน์มาบีบบังคับให้พระองค์ต้องส่งมู่อันอันไปยังเมืองฉงอันเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับโอรสสวรรค์แห่งต้าซ่งซึ่งมีพระสนมถึงห้านาง หาไม่...ซ่งไทเฮาจะมีพระราชเสาวนีย์เป็นการลับมิให้พ่อค้าต้าซ่งทำการค้ากับพ่อค้าต้ามู่ และเรียกร้องให้เก็บภาษีเสบียงอย่างหนักเป็นห้าเท่า
พระมารดา มู่หรงชิงในฐานะรัชทายาท กับน้องชายอีกสองคนได้รู้เรื่องสาส์นลับนี้แล้วพากันโกรธแค้นยิ่งนัก เพราะมู่อันอันเป็นน้องสาวที่ทั้งเสด็จพ่อเสด็จแม่รวมทั้งพี่ชายอย่างพวกเขาเฝ้าดูแลฟูมฟักทะนุถนอมราวกับไข่ในหินมาตั้งแต่นางเกิด เพราะตอนที่นางเกิดมามีร่างกายอ่อนแอ เจ็บออดๆ แอดๆ ทำให้พวกเขาเลี้ยงดูนางไว้แต่ในกระโจมหลวง มิอาจปล่อยให้เดินเที่ยวเล่นนอกเขตกระโจมหลวงได้หากไม่มีพี่ชายคนใดคนหนึ่งคอยติดตามดูแล
มู่หรงชิงจดจำยามที่มู่อันอันถือกำเนิดแล้วธิดาเทพหลวงประจำแคว้นได้ทำนายเอาไว้ว่ามู่อันอันเป็นดาวนำโชคของแคว้นมู่ แต่นางก็จะประสบเคราะห์ร้ายครั้งหนึ่งในชีวิต หลังจากนั้นชีวิตของนางจะสงบราบรื่นโดยตลอด
ยามนี้ทั้งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่และพี่ชายอย่างพวกเขาต่างพากันคิดว่าเคราะห์ร้ายที่มู่อันอันต้องประสบคือการแต่งงานกับซ่งเฉียนหยาง ฮ่องเต้ผู้มัวเมาในกามารมณ์ แต่พวกเขาก็คิดไม่ตกว่า...ชีวิตของมู่อันอันจะราบรื่นไปตลอดชีวิตได้อย่างไรหากต้องแต่งงานเข้าไปใช้ชีวิตในวังหลวงของต้าซ่ง
มู่หรงชิงลอบมองน้องสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งคว้ากระปุกใบเล็กๆ ใบหนึ่งขึ้นมาเปิดฝาออกดูด้วยสายตาสงสารเวทนา พอได้ยินเสียงนางร้องอุทานออกมาเบาๆ ก็รีบถามไถ่อย่างห่วงใยทันทีว่า
“เกิดอันใดขึ้น อันอัน เจ้าตกใจอะไรหรือ?”
“นิ...นี่มันตัวอะไรกันเพคะ?” มู่อันอันยื่นกระปุกใบเล็กมาตรงหน้ามู่หรงชิง ภายในกระปุกมีสัตว์ตัวยาวสีแดงตัวเล็กตัวน้อยนอนเลื้อยไปมาอยู่
“อ๋อ...เขาเรียกกันว่าไส้เดือน เอาไว้เป็นเหยื่อตกปลาน่ะ”
“ไส้เดือน? เหยื่อตกปลา?” มู่อันอันทวนคำไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนใบหน้าของนางจะถอดสีลง
“ไม่ได้นะเพคะ เสด็จพี่ เราจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้”
มู่หรงชิงยิ้มบางๆ หลังจากลอบถอนหายใจเบาๆ กับความขี้สงสารของน้องสาว
“หากไม่ใช้ไส้เดือนเป็นเหยื่อตกปลา เช่นนั้นจะตกปลาได้อย่างไรเล่า?”
“ตะ..แต่ว่า...” มู่อันอันพูดไม่ออก สีหน้าอับจนถ้อยคำคล้ายจะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ แต่จู่ๆ สีหน้าของนางก็ดีขึ้นเหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบถามเขาเสียงใสว่า
“น้ำนี่ลึกมากไหมเพคะ?”
“ไม่มาก หากพี่ลงไปยืนในน้ำก็จะสูงท่วมหัวเข่าได้กระมัง” มู่หรงชิงเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำตามชนเผ่านักรบ “แต่หากอันอันลงไปยืน คงสูงท่วมเอวน่ะ”
จู่ๆ คนเป็นน้องก็ยิ้มแป้นออกมาจนเผยเห็นฟันขาวกระจ่างใสราวกับเม็ดไข่มุกเรียงตัวกัน
“เช่นนั้นเสด็จพี่ลงไปยืนในน้ำนะเพคะ เดี๋ยวน้องจะเป็นเหยื่อล่อให้เอง”
“เจ้าน่ะหรือจะเป็นเหยื่อล่อ?” มู่หรงชิงมีสีหน้าประหลาดใจแกมวิตกกังวล แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีความเชื่อมั่นสูงยิ่ง ถึงขนาดพยักหน้ารับแรงๆ
มู่หรงชิงตัดสินใจก้าวลงไปในน้ำหลังจากทิ้งคันเบ็ดไว้บนตลิ่ง เขามองดูน้องสาวที่ยังคงยิ้มหวานสดใสให้เขาด้วยสีตาเป็นกังวล
จวบจนกระทั่ง...
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง
โลหิตสีแดงฉานไหลหยดจากนิ้วมือที่มู่อันอันกัดจนเป็นแผลเหวอะลงไปในสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ หยดแล้วหยดเล่า มู่หรงชิงไม่อยากเชื่อสายตาว่าน้องสาวของตนจะมีความคิดเช่นนี้
มิใช่ว่า...มู่อันอันเป็นเด็กสาวจิตใจดีงามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วหรอกหรือ?
“อันอัน...เจ้า!...” มู่หรงชิงยังพูดไม่ทันจบประโยค มู่อันอันก็ชี้มือแล้วร้องตะโกนบอกว่า
“เสด็จพี่...ปลามาแล้วเพคะ!”
มู่หรงชิงรู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่ามีบางสิ่งที่ค่อนข้างใหญ่ไหลผ่านร่างของเขาตรงไปยังจุดที่โลหิตสีแดงผสมปนเปกับสายน้ำจนแดงฉาน มู่อันอันยังไม่หยุดบีบนิ้วให้หยดเลือดหยดลงไปในน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
“เสด็จพี่...รีบจับสิเพคะ ปลาตัวนั้นตัวใหญ่มากเชียวนะเพคะ”
มู่หรงชิงพอจะรู้มาบ้างว่ามีปลาบางจำพวกจะลอยมาตามกลิ่นเลือด เขาได้ยินว่าปลาเหล่านั้นมักเป็นปลาที่อยู่ในผืนมหาสมุทรกว้างใหญ่ แต่ในแม่น้ำสายน้อยนี้ปลาที่จะว่ายมาตามกลิ่นเลือดนั้นไม่น่าจะมี
แต่สิ่งหนึ่งที่มู่หรงชิงรับรู้ก็คือ ร่างกายของมู่อันอันมีกลิ่นหอมประหลาดที่เรียกให้ผีเสื้อมาบินวนเวียนรอบร่างได้ทุกครั้งที่นางเดินเล่นในทุ่งดอกไม้ ดังนั้น...ไม่ต้องพูดถึงเลือดของนางเลยว่าจะทั้งหอมและหวานเพียงใด
เพราะเหตุนี้...เสด็จแม่จึงอยากให้มู่อันอันเป็นธิดาเทพเพื่อจะไม่ต้องประสบเคราะห์กรรม ใช้ชีวิตอยู่แต่ในวิหารธิดาเทพ แต่ธิดาเทพหลวงบอกว่าหากลิขิตสวรรค์ฝืนได้จริง มู่อันอันก็จะได้เป็นธิดาเทพตอนอายุสิบแปดหนาว
แต่ทว่า...มู่อันอันเพิ่งมีอายุสิบห้าหนาวก็ต้องจากบ้านเมืองไปเสกสมรสกับราชันย์ผู้มักมากคนนั้นเสียแล้ว
“เสด็จพี่...ยืนเหม่อมองหน้าน้องทำไมเพคะ รีบจับปลาเร็วเข้า!”
“อ้อ อ้อ ได้ ได้ เจ้าเตรียมถังใส่ปลาเอาไว้ให้ดีล่ะ อันอัน”
สิ้นคำ มู่หรงชิงก็โถมร่างเข้าปลุกปล้ำจับปลาตัวใหญ่ที่ว่ายวนไปมาอยู่ภายใต้สายน้ำที่ย้อมด้วยหยาดโลหิต
ปลาตัวนั้นฤทธิ์เยอะมิใช่เล่น มันสะบัดตัวสะบัดหางฟาดต้นขาของมู่หรงชิงจนเขาต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่ก็พยายามไม่ปริปากร้องครวญออกมาให้ต้องเสียหน้าน้องสาวที่สามารถกัดนิ้วจนเป็นแผลใหญ่แต่ไม่ร้องสักคำ เพียงเพื่อจะเอาปลาไปต้มเคี่ยวเป็นน้ำซุปมาให้พระบิดาดื่ม
กว่าจะจับปลาตัวนั้นได้ มู่หรงชิงก็เปียกปอนไปทั้งตัว เขาโยนตัวปลาขึ้นไปบนตลิ่ง ปลาดิ้นปัดๆ อยู่ใกล้ตัวมู่อันอันที่รีบจับหางปลาอย่างคล่องแคล่วแล้วโยนใส่ลงถังทันที
“น้องอยากให้ปลาตัวนี้ขาดอากาศตาย หรือให้พี่ตีหัวมันตายดี” มู่หรงชิงถาม ขณะถลกแขนเสื้อเดินขึ้นฝั่ง
มู่อันอันนั่งยองๆ มองดูปลาในถังที่ยังคงดิ้นไปมา แต่เพราะถังใบนี้ใหญ่กว่าตัวมันอยู่บ้างอีกทั้งเป็นถังก้นลึก ปลาจึงไม่หลุดออกจากถังโดยง่าย
สีหน้าของผู้เป็นน้องมีทั้งความสงสารเห็นใจและลังเลระคนกัน มู่หรงชิงแทบจะเห็นหยดน้ำปริ่มดวงตากลมโตดุจผลซิ่งของน้องสาวได้ชัดเจน
“ในเมื่อสัตว์บางจำพวกทั้งหลายเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ อันอันก็อย่าได้เศร้าเสียดายชีวิตของพวกมันเลย” มู่หรงชิงปลอบ
มู่อันอันพยักหน้า แล้วใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาหยดเล็กๆ ที่หางตา ก่อนจะตอบเสียงกังวาน
“ให้มันค่อยๆ ขาดอากาศตายดีกว่าทุบหัวมันให้เจ็บจนตายเพคะ”
“แล้วแต่อันอันเถอะ” มู่หรงชิงหิ้วถังขึ้นมา ก่อนจะคว้ามือเล็กนุ่มนิ่มของน้องสาวขึ้นมาดูแผลที่นิ้วชี้
“เจ็บมากไหม?”
มู่อันอันส่ายหน้า “ถือเสียว่านี่เป็นการชดใช้ให้กับปลาตัวนี้ที่น้องทำให้มันต้องตายเพคะ” นางตอบด้วยน้ำเสียงสลดเล็กน้อย มู่หรงชิงอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วลูบหัวนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงพานางไปขึ้นล่อ เพราะพระบิดาเห็นว่าขี่ล่ออันตรายน้อยกว่าขี่ม้า อีกทั้งมู่อันอันมีรูปร่างเล็กบอบบาง ไม่จำเป็นต้องขี่ม้าตัวใหญ่ที่แม้แต่เหยียบโกลน นางยังยกขาเหยียบไม่ถึง
เมื่อพี่ชายพลิกกายขึ้นหลังม้าเรียบร้อยหลังยัดถังใส่ปลาไว้ในถุงหนังใบใหญ่ที่ผูกติดกับอาน มู่อันอันก็กระตุ้นล่อให้เดินเหยาะย่างเคียงข้างอาชาคู่ใจของคนเป็นพี่
“อันอัน...เดือนหน้าเจ้าก็จะต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้ต้าซ่งแล้ว เจ้าหวาดกลัวหรือไม่?” มู่หรงชิงชวนคุย เหตุผลที่เขาพาน้องสาวมาที่แม่น้ำแห่งนี้ตามลำพัง ประการหนึ่งก็เพื่อจะพูดคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวกับมู่อันอัน
“เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้ต้าซ่งเป็นอย่างไรหรือเพคะ เสด็จพี่ชิง”
มู่หรงชิงอยากยกมือตบหน้าผาก เขาลืมไปได้อย่างไรว่าทั้งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่รวมถึงพี่ชายทั้งสามอย่างพวกเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องราวทั้งภายในและภายนอกใต้หล้าให้น้องสาวฟัง นอกจากให้นางอ่านหนังสือที่เป็นนิทานปรัมปราประจำแคว้นมู่เสียเป็นส่วนใหญ่
แม้มู่อันอันจะเคยเข้าร่วมงานแต่งงานของคนในเผ่าที่เป็นถึงขุนนางประจำแคว้น แต่พวกเขาก็ไม่เคยอธิบายให้พวกนางได้รู้ว่าการแต่งงานคืออะไร การเป็นสามีภรรยาคืออะไร เด็กถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร
พวกเขาจำเป็นต้องกักตัวมู่อันอันไว้ในกระโจมหลวง เฝ้ารอจนนางอายุครบสิบแปดหนาวค่อยเข้าพิธีบวงสรวงรับการแต่งตั้งเป็นธิดาเทพหลวงคนต่อไปเท่านั้น
แต่คาดไม่ถึงว่า...ลิขิตสวรรค์มิอาจฝืนได้จริงๆ!
“อ่า...ก็เหมือนอย่างที่คนในเผ่าของเราแต่งงานกัน ทำพิธีสาบานว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า แม้ฟ้าถล่มดินทลายก็จะขอมิคลายรักกันนั่นแหละ”
“อ้อ...แต่ว่ารักคืออะไรหรือเพคะ?” มู่อันอันยังคงตีหน้าสงสัย ดรุณีนางเบิกตากลมโตจ้องหน้าพี่ชายตาแป๋ว
มู่หรงชิงรู้สึกอับจนถ้อยคำที่จะตอบน้องอีกครั้ง ก่อนเขาจะตอบมั่วๆ ส่งๆ ไปว่า
“ก็เหมือนกับที่อันอันกลัวปลาตัวนี้จะต้องตายอย่างทรมานเพราะถูกทุบหัวจนเจ็บตายนั่นแหละ”
“อ้อ” มู่อันอันพยักหน้าหงึกหงัก “น้องเข้าใจแล้ว ที่แท้การรักใครสักคนคือการไม่อยากเห็นเขาตายนั่นเอง”
มู่หรงชิงรู้สึกสับสนขึ้นมาบ้างแล้ว เขาคิดว่าบางทีความคิดนี้ของมู่อันอันล้วนถูกต้อง แต่พอคิดอีกทีมันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวนัก
จนกระทั่ง...มู่อันอันพูดขึ้นมาว่า
“เช่นนั้นน้องจะดูแลฮ่องเต้คนนั้นเหมือนที่ดูแลสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของน้องนะเพคะ!”