๑
ชีวิตอันราวไร้ชีวา นอนน้ำตาไหลอยู่ในห้องส่วนตัวบนบ้านของ ‘เขา’ กี่ปีแล้วที่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ตั้งแต่พี่สาวย้ายเข้ามาอยู่จนวันที่ไม่มีพี่สาวแล้ว จากเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งจะเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จนถึงวันนี้ จบปริญญาตรีแล้ว สมควรจากไปหางานทำตามวิถีทางของตนเอง จะดักดานอยู่ไย ความคิดสับสนเหมือนวันแรก ๆ ที่ย้ายจากบ้านพ่อแม่มาอยู่บ้านเขาหรือพูดให้ถูกคือตามพี่สาวมาอยู่บ้านเขา ตอนแรกวดีมั่นใจว่าจะอยู่ได้ ตกบ้านรับคำดิบดี เพราะจะว่าไปบ้านของพี่เขยสะดวก สบายทุกอย่าง แต่เอาเข้าจริง ไม่เป็นอย่างที่คิด เด็กหญิงที่ไม่เคยจากบ้านเกิดมาก่อน ย่อมคิดถึงพ่อแม่พีน้องเพื่อฝูงเป็นที่สุด แม้พี่สาวจะบอกว่าให้มาอยู่เป็นเพื่อน เนื่องจากไม่เคยรู้จักใครมาก่อน อีกอย่างพี่เขยรับปากจะส่งเสียให้เล่าเรียนจนกว่าจะเรียนไปไหมไหว ปริญญาตรี โท เอกว่าไปตามความสามารถ ขออย่างเดียวให้อยู่ที่นี่ตลอดไป
เด็กสาวนิ่งฟ้ง ปาดน้ำตา แล้วยิ้มร่า พี่เขยเย้าว่าถ้าไม่อยากเรียนจะส่งไปประกวดแฟชั่นหรือนางงามจักรยาน ฟังไม่ผิดหรอก เขาพูดอย่างนั้นจริง ๆ คงอยากให้เธอยิ้มแย้มเหมือนเดิมนั้นเอง
“ได้ใส่เสื้อผ้าสวย ๆ ด้วยใช่ไหมล่ะ”
“แน่นอน จะเอาชุดไหน พี่จะหาให้หมดเล้ย..”
“โชโย ฉันจะได้เป็นนางงาม...”
นิสัยของเด็กหญิงสุชาวดี ไม่เหมือนพี่น้องคน
อื่น ๆ บทจะดี ดีใจหาย บทจะร้าย ยิ่งกว่าม้าพยศ มีอยู่คืนหนึ่ง ถึงเวลากินข้าวมื้อค่ำกันแล้ว แต่ไม่มีสุชาวดีมาร่วมรับประทานอาหาร ตามหาอย่างไรไม่เจอ ไปถามเพื่อนนักเรียน ไปถามครูต่างส่ายหน้าว่าไม่พบไม่เห็น เลิกโรงเรียนแล้วต่างกลับบ้านกันเลย
“หรือว่ามันจะหนีกลับบ้านที่ต่างจังหวัด...”
“จะไปได้ไง ไปไม่ได้ดอก รถโดยสารประจำทางหมดไปตั้งนานแล้ว ..”
“ฉันเคยได้ยินมันพูดว่า จะเดินไป...”
วรรณฤกษ์ส่ายหัวระอา เป่านกหวีดเรียกคนงานมารวมตัวกันแล้วให้กระจายออกตามหาสุชาวดีกว่าหกทุ่มจึงไปพบว่าเธอซ่อนอยู่ในแท้งก์น้ำร้างหรือเก่าเขลอะสนิทที่อยู่ใกล้ ๆ คอกไก่บ้านในไร่ที่ซึ่งคิดไม่ถึงว่าเธอจะหลบเข้าไปแอบซ่อน
หัวเราะกันไม่ออกกับพฤติกรรมเยี่ยงนั้น
เมื่อโตเป็นสาวยังไม่ละทิ้งนิสัยประหลาดพรรค์นั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลบไปซ่อนอยู่คนเดียวเงียบ ๆ หนีหายเข้าไปไร่ แล้วเลือกโพรงไม้ใหญ่เป็นที่หลบซ่อน ไม่สนใจข้าวปลาอาหาร สาเหตุเพราะเธอไม่พอใจพี่เขยที่กลับบ้านดึก ปล่อยให้เธออยู่เฝ้าลูกสาวลูกชายตัวเองซึ่งร้องกระจองอแง เรียกหาพ่อไม่หยุด ปลอบออยอย่างไรไม่ฟังน้าสาว ทั้งโกรธทั้งเหนื่อย แทนที่จะโทษตัวเอง กลับมาลงที่เธอ หาว่าเธอไม่มีความสามารถ กะแค่ปลอบหรือหลอกล่อให้หลานนอนยังทำไมไม่เป็น
แม้บางครั้งเขาจะดุ พูดด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ไม่ถนอมน้ำใจเธอ ทว่าเมื่อคิดได้เขาจะมาเป็นเจ้าชายใจดีของเธอและลูกเช่นเคย ว่างจะพาขับรถเที่ยว ไปทะเล ไปเที่ยวเขา ทุกที่ทุกแห่งมี ‘เขา’ จะต้องมี ‘เธอ’
ตอนที่พี่สาวตายเธอเพิ่งจะพ้นวัยเด็กไม่กี่ปี ร่างยังผอมเก้งก้างอยู่เลย อย่างว่าอายุเพียง 14 ปี นึกแล้วขัน พี่สาวนึกอย่างไร ถึงจะมอบพี่เขยให้เรา สามีมิใช่มรดกที่จะมอบหรือส่งต่อกันได้
“นะ-นะรับปากพี่ได้ไหม เมื่อเธอโตขึ้น –หะ ให้เธอเป็นเมียเขา...”
“พี่วรรณรับปากเมียได้ไหมว่าจะไม่แต่งงานกับใครอื่น นอกจากน้องสาวของฉันคนนี้...”
ตอนนั้นทั้งสุชาวดีและวรรณฤกษ์ต่างตกตะลึงกับข้อเสนอของคนป่วยซึ่งรู้สภาวะของตัวเองว่าฟ้าดินคงประทานลมหายให้อีกกี่เพลา...
ใบหน้าซีดเซียว กับน้ำเสียงที่แหบโหยตรงหน้า ไม่อาจให้คนทั้งสองปฏิเสธได้
จากวันนั้นเป็นต้นมา กี่ปีแล้ว..!?
‘สัญญาลับ’
ใช่ล่ะ, เรียกอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะหลังจากพี่สาวจากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วมีบุคคลเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้ คือ
เขาและเธอ
พ่อแม่หรือคนอื่น ๆ ไม่มีวันล่วงรู้ได้เลย เพราะทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ เธอไม่ได้ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกับพ่อแม่ สาเหตุเพราะเขาขอร้องให้อยู่ช่วยเลี้ยง ‘ใบหม่อน’ ‘ตัวไหม’ ในขณะเดียวกันเธอยังติดภาระการเรียน การเรียนที่มีพี่เขยเป็นคนส่งเสีย จะว่าเป็นให้เปล่าไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะเธอรับภาระเลี้ยงดูเด็ก ๆ ลูกของเขาไม่ต่างกับแม่คนหนึ่ง เด็กเองแทนที่จะเรียกเธอว่าน้า กลับเรียก “แม่” ทุกคำ
เธอได้เป็นแม่ของคนตั้งแต่อายุ 14 -15 ทั้งอายทั้งขันเมื่อถูกถามว่า หนูเป็นแม่ของพวกเขาจริง ๆ หรือจ๊ะ..? วันไหนขี้เกียจ สุชาวดีจะผงกศีรษะ ยิ้ม ๆ วันไหนอารมณ์ดีมีแก่ใจอธิบาย จะไขปริศนาละเอียดยิบ ยกเว้นอยู่ข้อเดียว คือ
พันธสัญญาจากพี่สาว...
อะไรไม่อะไร ถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อให้นี้สิ มันอายนัก อธิบายอย่างไร พวกมันยังแกล้งไม่เข้าใจอยู่ดี เพื่อนผู้ชายตัวดีบางคนยังดันพูดอีกว่า – เธอกำลังถูกเลี้ยงต้อยรู้มั้ย
“เชื่อเถอะน่า เธอต้องได้เป็น ‘แม่’ เด็ก ๆ พวกนั้นแน่นอน”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว