พริบตาที่ เนตรสะกด ถูกใช้งานพันธนาการล่องหนก็ทำการหน่วงแขนขาชนชั้นผู้ฝึกสอนคนนั้น สีหน้าของผู้ฝึกสอนคนนั้นเปลี่ยนแปลงไปในชั่วครู่ขณะ ตามข่าวที่ได้ยินก็ย่อมเข้าใจดีว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับอาการ ผีอำยามตื่น
ทว่าด้วยพื้นฐานลมปราณและความแข็งแกร่งที่สูงล้ำ พันธนาการเหล่านี้ทำได้เพียงหน่วงรั้ง มิอาจสะกดให้ค้างชะงักงัน หากมีสมาธิแน่วแน่ก็ยังพอประคองร่างมิได้ล้มคว่ำคะมำหงายลงได้ แต่ก็ต้องยืนนิ่งรักษาสมดุล ไม่อาจร่ายรำเพลงทวนต่อไปได้อีกแล้ว
“ผีอำยามตื่น งั้นหรือ...” ผู้ฝึกสอนคนนั้น กล่าวออกมาเสียงต่ำ... ทำให้หมู่ศิษย์โดยรอยใบหน้าตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย ทั้งยังเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะอะไร ผู้ฝึกสอนคนนี้จึงหยุดการร่ายรำอย่างกะทันหัน
ซุน หรี่ตาแคบมอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ซุน ใช้พลังสะกดกับยอดฝีมือชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นต้น ซึ่งในทุก ๆ ครั้งยอดฝีมือระดับนี้จะไม่มีอาการล้มคว่ำใด ๆ ปรากฏ เพียงแค่ชะงักงันร่างกายหนักหน่วงฝืนเคืองเท่านั้น และสำหรับชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นกลางก็จะยิ่งมีผลน้อยลงตามลำดับ
ส่วนชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นปลาย และชนชั้นลมปราณสีส้ม แทบจะไร้ผลใด ๆ จากความแข็งแกร่งของลมปราณ ที่มากพอจะระเบิดพันธนาการได้อย่างหมดจรด... จริงอยู่ที่การเข้าไปในระยะ เนตรสะกด ยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ จะยิ่งเพิ่มอำนาจการสะกดได้ดียิ่งขึ้น ทว่ามันก็เสี่ยงจะถูกจับได้เช่นกัน...
ขณะที่ ซุน กำลังจมจ่อมครุ่นคิดอยู่กับการทดลองและวิเคราะห์ผลลัพธ์ รอบ ๆ ยังมีสายตาจำนวนหลายสิบคู่ มองทุกอากัปกิริยาที่เกิดขึ้น... กลุ่มคนเหล่านั้นมองเห็นถึงสายตาที่ ซุน ใช้ มองเห็นถึงผลลัพธ์ของชนชั้นผู้ฝึกสอนที่ปรากฏ มองเห็นถึงการเปล่งแสงวาบวับของอัญมณีเนตรมรกต...
ยามนี้ชนชั้นผู้ฝึกสอนที่เป็นหน่วยตรวจสอบหลายคนเริ่มมั่นใจแล้ว ว่าทั้งหมดคงเป็นฝีมือของ ซุน ดังนั้นเมื่อหัวหน้าหน่วยให้สัญญาณขึ้น จึงกระจายกำลัง 10 ทิศ ระเบิดพลังค่ายกลบางอย่างออกมาในชั่วพริบตา...
“ขอบข่ายอาคม ค้นหาปราณอณู!!”
ภายใต้การระเบิดพลังของชนชั้นผู้ฝึกสอน 10 คน ทั้งหมดล้วนเป็นชนชั้นยอดฝีมือลมปราณสีเหลือง ผนวกกับวัตถุอาคมเฉพาะบางอย่าง จึงสร้างเป็นโดมแสงขอบค่ายพลังปิดล้อมพื้นที่รัศมี 100 จั้งขึ้นในชั่วพริบตา
เหล่าศิษย์บริเวณนี้ทั้งหมด ล้วนเผยแสดงท่าทีตื่นตระหนก ไม่เว้นแม้แต่ ซุน เองที่งุนงงกับภาพเหตุการณ์นี้ ยังไม่แน่ชัดในสถานการณ์... ทว่าในตอนนั้นเอง ที่ ซุน เริ่มมองเห็นอณูลมปราณอ่อน ๆ คลายเป็นควันเจือจางยาวต่อกันเป็นเส้น เชื่อมโยงจากร่างของชนชั้นผู้ฝึกสอนที่ใช้เพลงทวนผู้นั้น ตรงมายังอัญมณีเนตรมรกตของ ซุน
ดวงตาของ ซุน เบิกโพรงขึ้นทันที ถึงเวลานี้หากยังคาดเดาไม่ออกก็ไม่ใช่ ซุน แล้ว...
“บ้าเอ้ย!! คิดจะมาจับกุมข้าหรือนี่”
อณูลมปราณที่เชื่อมโยงนี้ แม้จะเจือจางแต่ก็ทำให้หลายคนสังเกตเห็น... ร่างกายของผู้ฝึกสอนที่ถูกโอบล้อมด้วยควันเจือจาง ต้นทางของกลุ่มควันยังมาจากตำแหน่งของ ซุน ทั้งก่อนหน้านี้ผู้ฝึกสอนคนนั้นยังเอ่ยถึง ผีอำยามตื่น ทั้งหมดทั้งมวลที่เชื่อมโยงเหล่านี้ ทำให้ดวงตาของหมู่ศิษย์ที่ไม่โง่เขลาเหล่านั้นเบิกโพรง
“แมวสวรรค์!! ที่แท้ ผีอำยามตื่น เป็นฝีมือของแมวสวรรค์!!” ศิษย์ผู้หนึ่งคำรามเสียงขึ้น ปลุกเร้าให้ศิษย์คนอื่น ๆ กระจ่างชัด มีหลายคนในนี้เคยถูกเล่นงานด้วยอาการผีอำยามตื่นจนล้มคว่ำคะมำหงาย อับอายต่อหน้าคนมาแล้ว
“สารเลวเอ้ย!! นึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นฝีมือของเจ้านั่น!!” สายตาของศิษย์เกือบทั้งหมดที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล เขม็งมองตรงไปยัง ซุน ที่กำลังเผยท่าทีกระอักกระอ่วนร้อนรน ใบหน้าของ ซุน ถอดสีทันที เริ่มรู้สึกแล้วว่า หากตนยังอยู่ที่นี่ก็ไปคงไม่ใช่เรื่องดี
ถึงระเบิดฝีเท้าถอยกรูดเป็นทางยาวในพริบตา...
ขอบข่ายพลัง เป็นขอบข่ายสำหรับตรวจสอบอณูลมปราณที่มองไม่เห็น ให้กระจ่างชัดขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีอำนาจป้องกันอะไรมากมายนัก... ซุน ต่อยโครมออกไปหนึ่งหมัด ก็เปิดเส้นทางหลบหนีอย่างง่ายดาย เฝิงน้อย ก็ราวกับรู้ใจผู้เป็น โฉบถลาบินลงต่ำมารับตัว ซุน โบยบินขึ้นฟ้า
เสียงก่นด่าไม่น่าฟัง สาดโครมเป็นระลอกคลื่นมืดทะมึน ซุน ได้แต่ใบหน้าบิดเบี้ยว กระแอมไอแห้ง ๆ พลางประสานมือโค้งตัวจากบนหลังของวิหคพาหนะ... “ขออภัยทุกท่าน ตัวข้ามีธุระด่วน ดังนั้นคงต้องขอตัวก่อน”
กล่าวจบ เงาร่างของ ซุน และ เฝิงน้อย ก็บินหายไปจากท้องฟ้าตำแหน่งนั้น... ทว่าการเอ่ยวาจาขออภัย กลับยิ่งทำให้ไฟโทสะของทุกคนเดือดดาลมากยิ่งขึ้น ชัดเจนว่าเป็นการหลบหนีเพราะไม่มีคำอธิบาย เหตุการณ์ที่ทุกคนหวาดหวั่น และอับอายตลอดสัปดาห์มานี้ย่อมปะทุถึงขีดสุด
เพียงครึ่งวัน ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนัก… เสียงครหานินทาของ แมวสวรรค์ จากที่ลดฮวบฮาบไปก่อนหน้านี้ กำลังไต่ระดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีมากยิ่งกว่าในอดีตอย่างไม่อาจเทียบได้... ซุน แม้อยู่บนท้องฟ้า ยังได้ยินเสียงด่าทอแจ่มชัดนัก จึงได้แต่เกาศีรษะอย่างรุนแรง หากมิใช่เพราะตนจมจ่อมอยู่กับการวิเคราะห์หาขอบเขต เนตรสะกด ก็คงไม่พลาดท่าตกม้าตายเช่นนี้
เฒ่าชีเปลือย หัวเราะร่า... ชัดเจนมากว่า เฒ่าชีเปลือย ย่อมรู้การเคลื่อนไหวที่ผิดแผกของเหล่าผู้ฝึกสอนทั้ง 10 คน อยู่ก่อนแล้ว ทว่าก็ไม่ได้มีความคิดที่จะตักเตือน ซุน แม้แต่น้อย ถูกมองเป็นเรื่องตลกขบขัน ตามประสาของวิญญาณเฒ่าชรา...
นับจากวันนั้น... ทุก ๆ ครั้งที่ ซุน ออกไปด้านนอก จะต้องพบเจอกับสายตาและเสียงครหาทิ่มแทงอยู่ตลอด กิจกรรมของหมู่ศิษย์ทั้งหมดไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ เมื่อพบเจอเงาร่างของ ซุน เข้ามาใกล้ ทุกกิจกรรมจะถูกหยุดชะงักทันที เพราะทุกคนหวั่นเกรงว่าจะถูก ผีอำยามตื่น เล่นงาน
แม้ ซุน จะอธิบายอยู่หลายครั้ง ว่าตนเพียงแค่มาเดินเล่นเท่านั้น ก็ไม่มีใครรับฟังทั้งยังมีสายตามาดร้ายถูกส่งมาจากหมู่ศิษย์รอบทิศทาง... แต่ด้วยตำแหน่งและสถานะของ ซุน ชนชั้นศิษย์สามัญไหนเลยที่จะสามารถทำอะไรได้ มีแต่ส่งเรื่องร้องเรียนที่ยาวเป็นหางว่าว ไปยังเบื้องบนเท่านั้น...
เจ้าสำนักอวิ๋น เรียกตัว ซุน ไปดุด่าชุดใหญ่เสียจนหน้าถอดสี ทั้งยังถูกลงโทษให้นั่งเข้าฌานในสถานที่ปิดอยู่นานหลายวัน ห้ามออกไปเกเรที่ไหน... ซุน ได้แต่ยิ้มขมขื่นก้มหน้ายอมรับ ไหนเลยที่จะไม่ทราบว่าการลงโทษของเจ้าสำนัก ก็เพื่อให้โทสะของหมู่ศิษย์ลดน้อยลง หากไม่สั่งการลงโทษอะไรเลย ทางเบื้องบนก็อาจถูกครหา และสูญเสียความเชื่อมั่นจากหมู่ศิษย์ได้...
“บ้าเอ้ย!! ออกไปนอกสำนักก็ไม่ได้ อยู่ในสำนักก็ถูกเกลียดชัง เห็นได้ชัดว่าไม่มีความยุติธรรมกับข้าเลยสักนิด!!” ซุน ได้แต่จนใจ แต่การทดลองวิเคราะห์พลังของ เนตรสะกด ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างชัดเจนมากแล้ว เหลือก็แต่หาวิธีการร่นระยะเวลาในการใช้งาน ให้ดึงออกมาใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้นเท่านั้น...
ชนชั้นผู้นำของสำนักถึงกับปวดหัว แม้จะทราบว่าทั้งหมดไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก เป็นเพียงแค่การทดสอบทักษะที่ไม่มีใครได้รับอันตรายถึงขั้นบาดเจ็บ ทว่าด้วยชื่อเสียงของ แมวสวรรค์ ก่อนหน้า ก็จึงไม่แปลกที่มันจะกลายเป็นระลอกคลื่นมวลชนขนาดใหญ่เช่นนี้
อวิ๋นหยางหลิ่ง ถอนหายใจยาวหนักหน่วง ภายในที่ประชุมเหล่าผู้อาวุโส...
“เจ้า ซุน มันก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน อีกทั้งครั้งนี้ไม่ต้องกล่าวถึงหมู่ศิษย์ แม้แต่ชนชั้นผู้ฝึกสอนหลายคนก็เริ่มไม่สบอารมณ์กับการกระทำของเจ้าเด็กคนนี้บ้างให้แล้ว หากปล่อยไว้แม้จะไม่มีเรื่องร้ายแรง แต่พวกเราก็คงต้องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน
ข้าก็คิดมาสักระยะแล้ว หากจบเรื่องการเข้าไปในหอคอยสุสานเทพอสูรพยัคฆ์ขาว ข้าจะพิจารณาเรื่องที่ทาง พรรคมังกรฟ้า ยื่นเสนอธรรมเนียมแลกเปลี่ยนศิษย์ชั่วคราว เพื่อให้ศิษย์หลักบางส่วนของเรา มีโอกาสได้เรียนรู้ศึกษากับทาง พรรคมังกรฟ้า เป็นเวลา 2 ปี อีกครั้งหนึ่ง...
หากเป็นที่ พรรคมังกรฟ้า ขุมกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าสำนักสายลมประจิมของเราหลายสิบเท่า ต่อให้กลุ่มมังกรทองมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งเพียงใด ก็คงไม่มีทางทำอันตราย ซุน ได้แน่นอน... ทั้งยังเป็นการเปิดเส้นทางฝึกฝนที่กว้างไกลยิ่งขึ้น จากทรัพยากรของพรรคมังกรฟ้า ที่เหนือล้ำกว่าขุมกำลังใด ๆ อีกด้วย...”
เตียมู่หยง และ เป่ยเตียวหุย ที่ได้ยินเรื่องนี้ ก็ถอนหายใจพร้อม ๆ กัน อย่างไรเสียการไปเรียนรู้ศึกษาที่ พรรคมังกรฟ้า ก็นับเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่ง เพราะศิษย์หลักที่ถูกส่งไปตามธรรมเนียมนี้ จะมีศักดิ์และฐานะเทียบเท่าศิษย์หลักของพรรคมังกรฟ้าในทันที สามารถเรียนรู้ศึกษาเคล็ดวิชาจากพรรคมังกรฟ้าได้อย่างไร้ขอบเขต ถือเป็นการหยิบยื่นรากฐานสำคัญให้กับขุมกำลังใหญ่ภายในทวีปพยัคฆ์ขาว เพื่อมิให้อ่อนด้อยกว่าอีก 3 ทวีปที่เหลือ…
…………………………………
2 วันต่อมา...
ผู้อาวุโสจาง ผู้อาวุโสสูงสุดแผนกวรยุทธประยุกต์ เวลานี้ได้กลับมาจากภารกิจแล้ว หลังจากออกเดินทางไปนานนับเดือนเศษ... ที่สำคัญก็คือการกลับมาครั้งนี้ มิได้กลับมาเพียงลำพัง แต่เดินทางมาพร้อมกับ ขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งซึ่งเป็นชายชราที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดา ในราชวงศ์ไป๋หู่
อีกทั้งยังเกิดการเรียกประชุมเร่งด่วนขึ้นภายในสำนัก ผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักราว 20 คน ไม่ว่าจะประจำหอธาตุ หอศาสตรา หรือตำหนักใด ๆ ต่างก็ถูกเรียกตัวครบถ้วน แม้แต่ชนชั้นผู้ฝึกสอนในระดับแนวหน้าอีก 4-5 คน ก็ยังถูกเรียกประชุมด้วย ถือเป็นการระดมยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของสำนักสายลมประจิมเข้าร่วมประชุม บ่งบอกถึงสถานการณ์พิเศษบางอย่าง...
ภายในโถงประชุมใหญ่ ตำหนักสายลมเหนือ คับคั่งไปด้วยยอดฝีมือ แต่ละคนล้วนใบหน้าเคร่งเครียดอย่างที่สุด โดยเฉพาะระดับชนชั้นผู้นำของสำนัก... อวิ๋นหยางหลิ่ง ใบหน้ามืดทะมึน เพราะการมาของ ขุนนางชั้นสูงผู้นี้คือการส่งมอบ ราชโองการ จากองค์จักรพรรดิ แห่งราชวงศ์ไป๋หู่
สำนักสายลมประจิม สำนักบุปผาประจิม และพรรคราชสีห์สวรรค์ สามขุมกำลังใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ทั้งยังเป็นขุมกำลังระดับต้น ๆ ของทวีปพยัคฆ์ขาว การที่สามารถเจิดจรัสได้อย่างในคงนั้น เพราะทั้งสามขุมกำลังนี้ขึ้นตรงกับทางราชวงศ์ไป๋หู่ เปรียบเสมือนแขนขาที่คอยให้การปกป้องเมืองหลวงและราชวงศ์ไป๋หู่
ทั้งยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง... นั่นคือการเป็นแนวหน้าหากเกิดสงครามหรือการต่อสู้!!
ทุกครั้งที่มี ราชโองการ มักจะเป็นเรื่องใหญ่เสมอ ในรอบหลายสิบปี อาจจะมีเพียงแค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น เพราะราชวงศ์ไป๋หู่ คือหน่วยราชการแผ่นดิน หากลงมือด้วยตนเองอาจถูกผู้คนครหาได้ จึงมีสามขุมกำลังนี้คอยจัดการเรื่องบางเรื่องอย่างลับ ๆ แลกกับความมั่นคงภายในเมืองหลวง และทวีปพยัคฆ์ขาวใต้ร่มบารมีของราชวงศ์ไป๋หู่...
ขุนนางชั้นสูงผู้นั้นเปิดอ่าน ราชโองการ... เนื้อหาเป็นเรื่องของการก่อกบฏ ของขุมกำลังในเงามืดที่ค้นพบหลักฐาน ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ ผู้อาวุโสจาง ออกเดินได้ไปพร้อมกับ ผู้อาวุโสใหญ่ของพรรคบุปผาประจิมเช่นกัน(ตอนที่ 133)...
และเมื่อ ผู้อาวุโสจาง และผู้อาวุโสใหญ่สำนักบุปผาประจิม ได้ค้นหาหลักฐานสำคัญเพื่อมัดตัวในส่วนนี้จนพบที่มา ก็ได้แจ้งนี้กับทางราชวงศ์ไป๋หู่โดยตรง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ องค์จักรพรรดิ ได้ส่งราชโองการมาในครั้งนี้...
และเนื้อหาที่สรุปได้ก็คือ...
“องค์จักรพรรดิ มีคำสั่ง... สำนักสายลมประจิม สำนักบุปผาประจิม และพรรคราชสีห์สวรรค์ ทั้งสามขุมกำลังใหญ่แห่งเมืองหลวง จะต้องนำกำลังยอดฝีมือส่วนหนึ่ง... ทำภารกิจ สังหารดับทำลาย กวาดล้างตระกูลหนึ่ง ห้ามให้หลงเหลือผู้รอดชีวิตแม้แค่คนเดียว...
เป้าหมายก็คือ... ตระกูลเกา หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง...”
..................................................
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่