เหยาซาน และ เปียวเฟยหง เผชิญหน้ากันอีกครั้ง... ทว่าในความรู้สึกมันย่อมแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เหยาซาน มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า หากแต่ เปียวเฟยหง กลับเผยดวงตาไร้แววมั่นใจเฉกเช่นคราแรก อีกทั้งกายร่างยังอาบไปด้วยสิ่งปฏิกูลส่งกลิ่นคละคลุ้งมองอย่างไรก็ไร้ราศี...
“ศิษย์พี่เปียว... ผู้น้องบอกย้ำเตือนท่านแล้ว ว่าการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ ไม่มีสิ่งใดระหว่างเราที่จะดีขึ้นมาเลย ตัวท่านและพรรคพวกควรจะเลิกแล้วต่อกันไปเสียแต่เนิ่น ๆ รักษาความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักใคร่กันเอาไว้ จะเป็นผลดีกับพวกเรามากยิ่งกว่า... ตัวข้า เหยาซาน พื้นฐานมิใช่คนเกเรระรานผู้อื่น เว้นเสียแต่จะถูกเอารัดเปรียบหรือถูกรังแก ไยพวกท่านไม่เข้าใจส่วนนี้บ้าง?
หากแต่ตัวท่านและหมู่พ้องก็ยังดื้อด้านดันทุรัง คิดจะรังแกศิษย์น้องผู้อ่อนแอและสงบเสงี่ยมผู้นี้โดยไม่ฟังถึงเหตุและผล ไม่รู้จักปลดปลงให้อภัยเสียเลย ส่งผลให้มันเกิดเรื่องราวจนบานปลายใหญ่โต อย่างที่ข้าเองก็มิได้ต้องการให้เกิดขึ้นเลย...” เหยาซาน ทอดถอนหายใจหนักหน่วง เผยสีหน้าแววตาแห่งความรู้สึกผิดและละอายใจยิ่ง
ทว่าวาจาถ้อยทีถ้อยอาศัยเช่นนั้น มันเกิดขึ้นหลังจากที่ เหยาซาน ได้เล่นงานทุกคนจนย่ำแย่หมดสภาพไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเป็นการเล่นงานด้วยวิธีฉ้อฉล ไม่สมกับเป็นวิธีการของชาวยุทธ มันจึงกลายเป็นการกระตุ้นโทสะของ เปียวเฟงหง มากขึ้นไปอีก จนแทบมิอาจอดกลั้น...
“สารเลว!! เจ้ามันไร้ยางอาย ต้องเป็นคนเยี่ยงไรกัน ถึงจะกล้ากล่าววาจาเอาดีเข้าสู่ตน โยนชั่วให้ผู้อื่นได้เช่นนั้น!! เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับข้าตรง ๆ ด้วยซ้ำ!!”
เหยาซาน เงยหน้าควับขึ้นมา พร้อมแสยะยิ้มกว้าง...
“ข้าก็มาแล้วนี้ไง?! เอาเถอะ...ข้าเองก็มีส่วนผิดที่เคยไปรังแกน้องชายท่าน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะยอมปะมือกับศิษย์พี่สักกระบวนก็ได้ แต่ไม่ว่าผลมันจะออกมาเช่นนั้น ถือว่าการสะสางของพวกเราเป็นอันสิ้นสุด จากนั้นพวกเราก็เลิกแล้วต่อกัน ตกลงหรือไม่?”
เปียวเฟยหง ถึงกับใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ตัวมันในเวลาใช้ลมปราณส่วนใหญ่ไปกับการประคบประหงมหยุดยั้งคลื่นลมที่ปั่นป่วนภายในท้อง กระทั่งจะเจียดมาสร้างปราณคุ้มกัน หรือต่อสู้ก็แทบไม่เหลือหลอ แน่นอนว่า เหยาซาน ย่อมรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงหาญกล้าเข้ามาท้าทาย
ในฐานะศิษย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นถึงลำดับที่ 7 แห่งศิษย์หลัก... เมื่อถูกศิษย์สายนอกผู้หนึ่งท้าทายจะทนได้เยี่ยงไร?! อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากฝีมือของ เหยาซาน มันก็เกินกว่าขอบเขตที่จะสามารถอดทนได้แล้ว
หากว่า เปียวเฟยหง ไม่รับปากเสียตอนนี้ เกรงว่า เหยาซาน ก็คงโดดขึ้นหลังวิหค และหลบหนีไปอยู่ดี... ถึงแม้ในตอนนี้สภาพของ เปียวเฟยหง จะไม่พร้อมต่อสู้ แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ว่าเพียงแต่หมัดเดียวของตน ก็นับว่าเพื่อพอจะทำให้ชนชั้นลมปราณสีน้ำเงินขั้นต้นผู้หนึ่งม่อยกระรอก ขอแค่ เหยาซาน ไม่ถึงขั้นพิการหรือตกตาย มันก็พอจะมีข้อแก้ตัวกับสำนักได้อยู่บ้าง
“หาญกล้า ก็เข้ามา!!” เสียงของ เปียวเฟยหง แผดก้องดัง
เหยาซาน แสยะยิ้มขึ้นอีกครา ก่อนจะทะยานร่างถลาพุ่งเข้าหาในทันที!! หมัดขวาเปล่งรัศมีเงาขวานจากการขับขานเศษเสี้ยวเจตจำนง มวลกล้ามเนื้อเต้นระรัวปลุกกระตุ้นในพริบตา... ด้าน เปียวเฟยหง เผยแววตาคมกล้า สะบัดร่างแรง ๆ ครั้งหนึ่งทั่วร่างก็อาบย้อมไปได้รัศมีแห่งดาบ ดูไม่ยิ่งหย่อนเช่นกัน...
“กระบวนท่าไร้ดาบ... ตัดสายธารา!!”
เงาดาบของ เปียวเฟยหง น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ทั้งที่มิได้ถือดาบในมือ และใช้ลมปราณได้เพียงแค่ส่วนน้อย แต่ตัวของ เหยาซาน ยังสัมผัสได้ถึงวิกฤตรุนแรงจากรังสีที่เฉียบคม หากตนถูกกระบวนท่านี้เข้าไป แม้ไม่ตกตายแต่ก็คงบาดเจ็บนอนติดเตียงนับสิบวันเป็นแน่...
ทันใดนั้นเองแววตาของ เหยาซาน ก็เจิดจรัสขึ้น...
ปลายเท้าก่อเกิดสายลมสีเขียวหมุนวนระลอกหนึ่ง...
“เหยียบพสุธา!!”
พริบตาที่เคล็ดวิชาตัวเบา วายุทะยานเหยียบเมฆา ระเบิดออกมา... ความเร็วของ เหยาซาน พลันพุ่งพรวดราวกับประกายแสงสีเขียว หลบกระบวนท่าไร้ดาบของ เปียวเฟงหง พร้อมเข้าประชิดร่างอีกฝ่าย จนเหลือระยะแค่เพียงครึ่งก้าว...
แววตาของ เปียวเฟยหง เผยความไม่อยากจะเชื่อออกมา...
“เป็นไปไม่ได้!! วิชาตัวเบา วายุทะยานเหยียบเมฆา งั้นหรือ!!”
เหยาซาน แย้มยิ้มอ่อน ก่อนจะกำหมัดแนบแน่น กระแทกหมัดเข้าไปยังท้องของ เปียวเฟยหง ที่บัดนี้มีปราณคุ้มกันอ่อนแอราวกับกระดาษหนา ๆ แผ่นหนึ่ง... หมัดนี้จมหายเข้าไปในท้องกว่าครึ่งหมัด หากไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิม อวัยวะภายในคงสลับที่ไปแล้ว...
ใบหน้าของ เปียวเฟยฟง บิดเบี้ยวอัปลักษณ์...
แต่มิใช่ความอัปลักษณ์จากความเจ็บปวด!!
สิ่งที่ชายผู้นี้พยายามประคบประหงมมาโดยตลอด ใช้ลมปราณโอบอุ้มเอาไว้อย่างเนืองแน่น บัดนี้สิ่งที่โอบอุ้มเหล่านั้น ได้พังทลายลงไปทั้งหมดแล้ว ด้วยหมัดของ เหยาซาน... ก่อนจะเกิดเสียงที่น่าพรั่นพรึง ดังออกมาจากทวารหนักของ เปียวเฟยหง...
ปู๊ดดดด...
“!!!!!!!!!!” เหยาซาน เบิกตากว้างขึ้น
ก่อนจะถอยกรูดออกมาอย่างรวดเร็ว...
แน่นอนว่า เหยาซาน มิได้มีเจตนาตั้งใจจะกระทำการถึงขั้นนี้ ตั้งใจเพียงแต่จะใช้ขี้นกสร้างความอับอายให้ทุกคน และเล่นงานเพียงหอมปากหอมคอ ทุกครั้งจึงเพ่งเล็งไปที่เพียงแค่ที่ขาเท่านั้น... ส่วนกับ เปียวเฟยหง ก็ตั้งใจเพียงแค่จะสั่งสอนมิให้ลำพองใจมากนัก ตั้งใจให้บอบช้ำภายในกลับไป...
ทว่า... กลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถึงขั้นของเสียขับไหลทะลัก จากการโจมตีด้วยความไม่ได้คาดหวัง ผลมิจงใจเช่นนี้... สีหน้าของ เปียวเฟยหง มืดดำสนิท มันกล่าวอันใดไม่ออก ไม่เคยรู้สึกอับอายมากมายเช่นนี้ เหล่าศิษย์หลักที่ด้านหลังต่างเผยใบหน้าเหยเกขึ้น ทุกคนย่อมทราบดีถึงผลลัพธ์ แม้มันจะไม่ชวนให้น่านึกถึงก็ตามที...
เหยาซาน ใบหน้าเผือดซีด ก่อนจะรีบประสานมือสุภาพ...
“สะ...ศิษย์พี่ ขะ...ข้ามิได้ตั้งใจ พอดีข้ามีธุระสำคัญคงต้องขอตัวก่อน...”
กล่าวจบพลันโดดทะยานขึ้นไปบนหลังของ วิหคพาหนะ พุ่งทะยานหายลับไปในทันที...
แววตาของ เปียวเฟยหง ยังคงเลื่อนลอยท่ามกลางสายลมที่ผ่านพัด ชายร่างกำยำยืนแน่นิ่งมิอาจขยับ อาภรณ์ที่สวมใส่เกรอะกรังไปด้วยคราบมูลขี้นก ทว่ามันก็มิอาจเทียบได้กับกางเกงผ้าแพรสีขาวด้านในเสื้อคลุมยาว ที่บัดนี้ด้านหลังมันมิใช่สีขาวอีกต่อไปแล้ว...
“ข้าจบสิ้นแล้ว....” น้ำเสียงของ เปียวเฟยหง ทั้งแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความน่าเวทนา หลงลืมความโกรธที่มีต่อ เหยาซาน ไปจนหมดสิ้น จมจ่อมอยู่กับความน่าอับอายของตนเอง ที่ตลอดชีวิตนี้ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น...
ด้านหน้าขุนเขาลูกที่ 1 หมู่ศิษย์นับร้อยคนกำลังเฝ้ารอดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอก เนื่องด้วยพื้นที่ด้านหลังขุนเขาลูกที่ 1 มิใช่พื้นที่ซึ่งศิษย์สายนอกและศิษย์สายในจะสามารถเข้าไปเพ่นพ่านได้ มีเพียงแค่เฝ้ารอดูผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่ออยู่ด้านหน้าขุนเขากันเท่านั้น...
ทว่า... เมื่อทุกคนมองเห็นวิหคตนหนึ่ง ที่มี เหยาซาน นั่งอยู่บนหลังพุ่งทะยานออกไป สายตาของเหล่าศิษย์นับร้อยโดยรอบล้วนเผยความไม่อยากจะเชื่อ บางคนยังขยี้ตาและเพ่งมองให้แน่ชัดอีกรอบเสียด้วยซ้ำ...
“บะ...บ้าน่า!! เหยาซาน หนีออกมาแล้ว ทั้งยังดูไม่มีท่าทีบาดเจ็บอันใดเลย”
“เป็นไปได้ยังไง?! หรือว่าเจ้านั้นมันไร้ยางอาย เมื่อพบเจอกลุ่มศิษย์พี่ ก็หนีทะยานขึ้นวิหคในทันที... ใช่แล้ว! มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ”
“เหอะ... แมวสวรรค์ สุดท้ายก็ยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน เมื่อเหล่าศิษย์หลักออกหน้างั้นสินะ!! แผนกวรยุทธดั้งเดิมของพวกเรา กลับมาสงบสุขอีกครั้งแล้ว!!”
เสียงเซ็นแทรกพรั่นพรึงไปต่าง ๆ นานา กระหึ่มตามเงาร่างที่บินผ่านไปของ เหยาซาน... และคนโดยมากก็ยังรู้สึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่เห็น แมวสวรรค์ หลบหนีไปด้วยสภาพที่ยังสมบูรณ์พร้อม หมายใจอยากจะเห็นใบหน้าที่บอบช้ำ หรือใบหน้าที่เศร้าสลดของ เหยาซาน อยู่ไม่น้อย
ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นาน...
กลับปรากฏเงาร่างที่เดินกะโผลกกะเผลก 7 ร่าง ค่อย ๆ ย่างกรายออกมาจากมุมเขาด้านหลัง ปลายขบวนกลุ่มเงาร่างทั้ง 7 คน ยังมีบุรุษร่างกำยำที่แววตาเลื่อนลอย คล้ายวิญญาณหลุดออกไปแล้ว ค่อย ๆ เดินโซซัดโซเซติดตามมารั้งท้าย...
คราแรกหมู่ศิษย์ที่เฝ้าดูอยู่ ไม่อาจจดจำคนทั้ง 8 นี้ได้... เนื่องด้วยไม่มีผู้ใด สามารถนำภาพกลุ่มคนเก้ ๆ กัง ๆ เหล่านี้ มาทับซ่อนกับกลุ่มคนท่าทีองอาจสง่างาม สวมอาภรณ์ขาวขุ่นอันแสนภาคภูมิใจของสำนักที่ลับหายเข้าไปยังมุมหลังขุนเขาก่อนหน้านี้ มิได้...
แต่หลังจากเพ่งมองกันสักระยะ ดวงตาของทุกคนก็พลันเบิกโปน เผยความตกตะลึงอันไม่อยากจะเชื่อออกมาอย่างต่อเนื่อง คลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าซัดสาดเข้าสู่จิตใจเป็นระวัง ลมหายใจถี่กระชั้นดังต่อเนื่อง...
อีกทั้งเมื่อฝ่ายคนทั้ง 8 อยู่ตำแหน่งเหนือลม กลิ่นคละคลุ้งตลบอบอวลชวนอาเจียน ยังเตะจมูกพลันสาดโครมเข้ามายังหมู่ศิษย์เหล่านี้อย่างรุนแรง บ้างก็ย่นหน้าจมูกกระตุก... บ้างก็ยกมือขึ้นบีบจมูกรุนแรง... บ้างก็ยกแขนอาภรณ์ปิดบังพร้อมใบหน้าอัปลักษณ์
“สวรรค์!! นั่นมันกลุ่มศิษย์หลัก!!”
“โอ้... เป็นไปไม่ได้ อย่าบอกนะว่าแม้แต่กลุ่มศิษย์หลัก ยังถูกแมวสวรรค์ดับรัศมี!!”
“บ้าเอ้ย! เจ้านั่นมันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว เช่นนี้ใครกันจะกล้าแตะต้องมันอีก!!”
เหล่าศิษย์หลักเผยแววตาเศร้าสลดไม่กล้ามองหน้าผู้ใด ทั้งยังพยายามปกปิดใบหน้าของตนเองอย่างที่สุด ไม่อยากให้ถูกผู้ใดจดจำได้เช่นกัน... จะมีก็แต่ เปียวเฟยหง ผู้ที่ใบหน้าเลื่อนลอยที่สุด มันอับอายจนเกินกว่าความอับอายไปมากมายแล้ว คาดว่าคงต้องใช้เวลารักษาจิตใจอีกสักระยะ...
ทั้ง 8 คน ไม่มีใครพูดคุยกันแม้สักคนเดียว... ถึงจะโกรธแค้น เหยาซาน หากแต่พวกมันกลับโกรธแค้นตนเองเสียมากกว่า ความร้ายกาจของ เหยาซาน สำหรับพวกมันมิใช่พลังฝีมือ แต่เป็นวิธีการอันแสนชั่วช้า ทั้งยังความสามารถของ นิ้วชี้ทุกข์ทรมาน ที่พวกมันไม่อาจอธิบายได้นั่นอีก...
ความโกรธแค้นใช่ว่าเลือนราง หากแต่ความคิดแก้แค้นต่างหากที่เลืองราง... ศักดิ์ฐานะของ เหยาซาน ไม่ใช่คนที่พวกมันสามารถเล่นงานตรง ๆ อย่างหนักหน่วงได้ หากแต่พวกมันเสียอีกที่อาจถูก เหยาซาน เล่นงานได้อย่างเต็มที โดยไม่ถูกเจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสลงโทษ...
และถึงแม้ทุกคนจะเล่นงาน เหยาซาน ได้... แต่จะไปมีคุณค่าอันใด?! การที่ศิษย์หลักทั้งกลุ่มรังแกศิษย์สายนอกผู้หนึ่ง หากกล่าวออกไปรังแต่จะเกิดคำครหาไร้สิ้นสุดกลับมาเท่านั้น เรียกได้ว่าพวกมันคิดผิดอย่างยิ่งที่จะนำไม้สั้นไปรันขี้ สุดท้ายขี้ก้อนนั้นจึงโจนทะยานแตกกระจายใส่หน้าของพวกมันแทน...
ความอับอายไร้สิ้นสุดเช่นนี้ ย่อมเพียงพอจะทำให้พวกมันทุกคนไม่กล้าเข้ามาที่เขตสำนัก 4 ขุนเขา 1 ทะเลสาบไปอีกนานเนิ่น...
เหยาซาน เฝ้ามองกลุ่มศิษย์หลักเดินจากไปจากบนยอดเขาลูกที่ 3 อดไม่ได้ที่จะกระแอมไอเบา ๆ กับตนเอง พึมพำต่อเนื่องขึ้น... “ข้ามิได้ตั้งใจนะศิษย์พี่... หากจะกล่าวโทษ พวกท่านก็ควรโทษตนเอง ที่พยายามมารังแกตัวข้าผู้สงบเสงี่ยม...”
เหยาซาน ไม่เข้าใจเช่นนั้น ว่าทั้งที่ตนไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามกับผู้ใดมากนัก แต่เพราะอะไรจึงมักจะถูกเกลียดชังเช่นนี้... เพียงเพราะตนเก่งกาจเกินไปงั้นหรือ?! ได้อภิสิทธิ์เหนือล้ำกว่าผู้อื่นงั้นหรือ?! มีวิหคพาหนะโผบินงั้นหรือ?! ไม่ว่าจะเรื่องใด ก็หาได้สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด ไยทุกคนจึงต้องมาสนอดสนใจเรื่องของตนมากนัก...
“เฮ้อ... ดูท่าคงต้องแสร้งรับบทเป็น แมวสวรรค์ ทิ้งระยะห่างกับพูดอื่นไปสักระยะเช่นนี้นี่แหละ จะได้ไม่ต้องมีใครกล้ามายุ่มย่ามกับข้าอีก...” หลังกล่าวจบพึมพำ ก็โดดขึ้นหลังวิหคพาหนะ กลับไปยังถ้ำย่อยปิดด่านอีกครั้ง เพื่อที่จะได้เริ่มต้นการหมักบ่มสุราอย่างสบายใจเสียที...
....................................................
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่