ร่างสถิตเทพ (God Spirit)-ตอนที่ 61 สหายของนายน้อยตระกูลตง

โดย  MR.FAT

ร่างสถิตเทพ (God Spirit)

ตอนที่ 61 สหายของนายน้อยตระกูลตง

แล้วดูเหมือนฝ่ายหญิงสาวจะรู้สึกตัวจากเสียงกลอนที่ลั่นดัง นางเริ่มมีการขยับก่อนใช้สายตาที่งัวเงียกวาดมองไปรอบ ๆ จึงได้เห็นใบหน้าของบุรุษชายที่นางคุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้าประตู

“ตะ..ตายจริง หลินซินลืมตัวเผลอหลับไป” หญิงสาวรีบลุกขึ้นมาจากเก้าอี้พร้อมกับจัดเสื้อผ้าของนางที่ยับยู้จากการนอนให้กลับมาเรียบร้อยแล้วจึงยืนอย่างสงบเสงี่ยมพร้อมทั้งถอนสายบัวเบา ๆ ให้กลับหลิวเจี้ยน “ต้อนรับนายน้อยกลับเจ้าค่ะ”


ตอนนี้หลิวเจี้ยนระแวงเป็นที่สุด ตัวคนไม่กล้าเดินเข้าไปในบ้าน ไม่รู้ว่าท่านย่าของมันมีแผนอะไรหรือใช้วิธีไหนที่ทำให้สตรีสาวผู้สวมโซ่ตรวนมาอยู่ที่นี่ได้ “จะ..เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”


“เป็นเจ้าสำนักลู่ที่จัดแจงเรื่องทั้งหมดเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบ


“ท่านเจ้าสำนัก? เจ้าสำนักมาเกี่ยวอะไรด้วย?” หลิวเจี้ยนมึนงงเป็นอย่างมาก มันนึกว่าออกมาจากบ้านตระกูลแล้วเรื่องพวกนี้ควรจะหมดไป ไหนเลยหลินซินถึงได้ตามมาหลอกหลอนมันถึงที่..ที่มันคิดว่าปลอดภัยจากการชักจูงของท่านย่าของมันได้กัน


“เท่าที่หลินซินทราบ แต่ก่อนตอนท่านเจ้าสำนักลู่ยังเล็ก ก็ได้คุณท่านอุปถัมภ์เหมือนกับหลินซิน คุณท่านจึงถือเป็นผู้มีพระคุณต่อท่านเจ้าสำนักลู่ การที่หลินซินมาอยู่ที่นี่ก็เป็นความประสงค์ของคุณท่านที่ผ่านการรับรองของท่านเจ้าสำนักลู่แล้ว”


“นี่ก็เท่ากับว่าท่านเจ้าสำนักรู้แล้วว่าข้าคือหลานของท่านย่า? และท่านเจ้าสำนักลู่ก็อนุญาตให้เจ้ามาอยู่ที่นี่?” หลิวเจี้ยนเอ่ยถามออกไป ซึ่งฝั่งนั้นก็ผงกหัวตอบรับ “บ้าน่า!! นี่ท่านย่าถึงกับขอร้องต่อท่านเจ้าสำนักให้ละเมิดกฎของสำนักเลยรึ”


“ไม่ผิดกฎของสำนักเจ้าค่ะ” หลินซินเอ่ย “จริง ๆ ศิษย์ฝ่ายในหรือผู้ที่มีอภิสิทธิ์มีบ้านส่วนตัวในสำนักจะสามารถหาสาวใช้หรือบ่าวใช้มาคอยปรนนิบัติได้หลังละคน การที่หลินซินมาที่นี่จึงมิเท่ากับผิดกฎของสำนักสี่ขุนเขา” กล่าวถึงตรงนี้ สตรีสาวก็ได้หยิบซองจดหมายออกมาฉบับหนึ่ง ก่อนเดินตรงเข้าหาบุรุษชาย “นี่คือจดหมายที่คุณท่านเขียนถึงนายน้อยเจ้าค่ะ”


หลิวเจี้ยนตอนนี้ตะขิดตะขวงใจแปลก ขณะที่ยื่นมือไปรับซองจดหมายนั้นก่อนแกะซองเปิดอ่าน

ซึ่งข้อความในจดหมายมีดังนี้

'เจี้ยนเจี้ยนเอ๋อร์... ย่ารับรู้ถึงความตั้งใจของหลานแล้ว หลานคงมีใจตั้งมั่นในมรรคายุทธ์ที่แน่วแน่เพราะฉะนั้นเลิกระแวงได้แล้ว สบายใจได้.. ย่าไม่ได้ส่งซินซินเอ๋อร์มาด้วยจุดประสงค์อื่นนอกจากให้นางมาคอยปรนนิบัติรับใช้หลาน เพราะการฝึกยุทธ์นั้นต้องมีใจที่ตั้งมั่น หลานคงไม่มีเวลาดูแลตนเองสักเท่าไหร่ เรื่องงานในบ้านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซินซินเอ๋อร์เสีย หลานเพียงตั้งมั่นในสิ่งที่หลานตั้งใจเป็นพอ

ด้วยรัก จากย่า

ปล..หลานสามารถสั่งอะไรหลินซินก็ได้ หรือหากหลานเหงาหลานก็สามารถสั่งให้นางไปนอนอุ่นเตียงกับหลานได้ทุกเมื่อ'


ในเนื้อความจดหมาย หลิวเจี้ยนต่างเห็นถึงจุดประสงค์ที่จริงแท้ของคนเป็นย่าแล้ว หลิวเล่าฮูหยินคงเลิกคิดเรื่องอยากมีเหลนไว ๆ แล้วแน่นอน

'อ่า.. เขียนดีหมดข้าติดใจแต่ตรง ปล. เนี่ยแหละ'

หลิวเจี้ยนรอบคิดในใจก่อนเก็บซองจดหมายลงไป

ตอนนี้ความหวาดระแวงของหลิวเจี้ยนต่างไม่มีแล้ว ก็จริงอย่างที่ย่ามันบอก การฝึกยุทธ์นั้นจำเป็นต้องใส่สมาธิลงไปเป็นอย่างมาก ไหนจะเป็นสำนักสี่ขุนเขาที่มีกฎแตกต่างจากสำนักอื่นเรื่องการทำภารกิจอีก

การที่ไม่ต้องพะวงเรื่องภายในบ้านก็ดูเหมือนจะลดภาระของหลิวเจี้ยนลงไปได้มากโขเลยทีเดียว

“แล้วท่านย่าส่งเจ้ามาเช่นนี้ แล้วท่านย่าจะเหลือใครอยู่เคียงข้าง”


“นายน้อยโปรดวางใจ ตอนนี้คุณท่านได้ย้ายไปอยู่ที่จวนของท่านเจ้าเมืองแล้ว ที่นั่นรับรองว่าคุณท่านจะมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน ส่วนเรื่องบ้านตระกูล ท่านเจ้าเมืองได้ให้สัญญาว่าจะส่งคนไปคอยทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง”


“ย้ายไปอยู่จวนเจ้าเมืองรึ ก็ดีเหมือนกัน ที่นั่นน่าจะเป็นที่..ที่ปลอดภัยที่สุดแล้วมั้ง” หลิวเจี้ยนถอนใจโล่งอกก่อนกวาดสายตาดูภายในบ้าน

ของใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านเรียกว่ามีทุกอย่างเหมือนบ้านของซุนโหวหวังเลย แตกต่างตรงที่ว่าบ้านของหลิวเจี้ยนนั้นสะอาดกว่า

“นี่เจ้ามาตั้งแต่ตอนไหน บ้านถึงได้สะอาดถึงเพียงนี้?”


“ราว ๆ ชั่วยามก่อนเจ้าค่ะ” หลินซินกล่าวตอบก่อนเดินหลีกทางให้หลิวเจี้ยนได้เดินเข้าไปภายในบ้าน “ตอนนี้ก็ค่ำมากแล้ว หลินซินได้เตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว นายน้อยโปรดรอสักครู่ ประเดี๋ยวหลินซินไปอุ่นอาหารมาให้นายน้อยได้ทาน”


“ชั่วยามเดียวเจ้าทำความสะอาดทั้งบ้านจนสะอาดสะอ้านแบบนี้แถมยังมีเวลาเตรียมกับข้าวรอข้าอีก?” หลิวเจี้ยนถึงกับแปลกใจ ฝีมืองานบ้านของหลินซินเองนับว่าเข้าขั้นมืออาชีพ แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงบ้านตระกูล ความแปลกใจของหลิวเจี้ยนพลันลดน้อยถอยลง

เพราะบ้านตระกูลของหลิวเจี้ยนนั้น นับว่าหลังใหญ่ใช้ได้ อีกภายในบ้านต่างมีแต่หลินซินที่เป็นสาวใช้เพียงคนเดียวไม่นับรวมคนครัวที่คอยทำอาหาร การที่นางจะทำความสะอาดบ้านหลังเล็กเท่านี่ได้สะอาดหมดจดภายในเวลาอันสั่นนั้นคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสตรีหญิงนางนี้นัก

หลิวเจี้ยนได้แต่รู้สึกชื่นชมภายในใจ


หญิงสาวหายไปราวห้านาที อาหารสำรับใหญ่ก็ได้เดินทางมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ

หลินซินผู้เชี่ยวชาญด้านงานบ้านต่างคอยตักอาหารและวางจานไว้รอบโต๊ะและหลังจากเสิร์ฟวางจนแล้วเสร็จ หญิงสาวก็ได้หลบมุมไปแอบอยู่ทางด้านหลังของหลิวเจี้ยนเพื่อให้ฝ่ายบุรุษเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารอย่างเต็มที่ สายตาของมันจะได้ไม่แลเหลือบมองไปเป็นนางเพื่อรบกวนความสุขสำราญใจ


“เจ้าไม่กินด้วยรึ? หรือว่าเจ้ากินเรียบร้อยแล้ว ?” หลิวเจี้ยนพลันเอ่ยถามออกไปด้วยรู้ว่าการเตรียมอาหารทำความสะอาดบ้านนั้น นางคงยังไม่ได้ทานอาหารแน่ จึงได้เอ่ยถามออกไป


“หามิได้เจ้าค่ะ!!” หัวใจของหลินซินเต้นดังไปมา ความหวาดวิตกของนางเหวี่ยงขึ้นถึงขีดสุด นางรีบก้มหัวโค้งเป็นไก่ขึ้นลงไปมา “หละ..หลินซินไม่อาจกินอาหารก่อนนายน้อยได้เป็นอันขาด ต้องรอให้นายน้อยทานเสร็จก่อนหลินซินถึงจะทานได้ในภายหลัง”


หลิวเจี้ยนหรี่สายตามองหลินซินพร้อมด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปม ตะเกียบในมือชี้ไปที่หญิงสาวก่อนชี้ไปที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของตนเอง

“นี่มันปี 2,005 แล้ว เขาเลิกแบ่งชนชั้นกันไปตั้งนานนมแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าหิว ก็แค่ไปยกถ้วยมาเพิ่มอีกใบแล้วนั่งกินซะ”


“มะ..ไม่ได้เจ้าค่ะ หากคุณท่านรู้เข้า หละ..หลินซินคะ..คง”


“ท่านย่าบอกว่าข้าสามารถสั่งอะไรเจ้าก็ได้ อีกอย่างตอนนี้ท่านย่าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่มานั่งกินเป็นเพื่อนข้า ข้าจะส่งเจ้ากลับไปหาท่านย่าแล้วยังจะบอกท่านย่าด้วยว่าเจ้าขัดคำสั่งข้า”

หลิวเจี้ยนกล่าวเสียงเข้มขัดการพูดแก้ต่างของหญิงสาว ก่อนที่คิ้วที่ขมวดเป็นปมบนใบหน้าจะคลายลงเมื่อเห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกของหญิงสาว

“เอาเถอะ..ข้าไม่ส่งเจ้ากลับไปหลอก แค่ข้าไม่ชินกับการนั่งกินข้าวเพียงลำพัง... เจ้ามานั่งกินเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?” น้ำเสียงคนสุดอ่อนโยน “ยกเว้นเจ้าจะรังเกียจข้า..”


“หะ..หามิได้เจ้าค่ะ หลินซินจะไปรังเกียจนายน้อยได้อย่างไร” มือของหญิงสาวโบกไปมาระรัวถี่ยิบ โซ่ตรวนที่คล้องอยู่ต่างชนกันไปมาจนเกิดเสียงแหลมบาดหู


“เช่นนั้นก็ไปยกถ้วยมาอีกใบแล้วนั่งกินเป็นเพื่อนข้าเสีย หากเจ้ายังปฏิเสธอีกข้าชักเริ่มระแวงแล้วว่าในอาหารอาจมียาพิษผสมอยู่เจ้าถึงปฏิเสธข้าหัวชนฝาขนาดนี้” หลิวเจี้ยนใช่ตะเกียบชี้จี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง


หลินซินตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากยืนกรานไม่นั่งกินอาหารกับชายหนุ่ม ฝั่งนั้นก็คงไม่ยอมทานอาหารแน่ แต่หากนางยอมทำตามที่มันขอร้อง แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเป็นบ่าวแต่พยายามตีตัวเสมอนายหรอกหรือ

แต่เมื่อชั่งใจดูแล้ว นางจึงได้ยึดถือคำสั่งของหลิวเล่าฮูหยินเป็นหลัก ตอนก่อนเดินทางมาที่นี่คุณท่านของนางได้สั่งไว้ว่าให้เชื่อฟังหลิวเจี้ยน และด้วยเหตุผลประการนี้ หลินซินจึงได้ยอมทำตามหลิวเจี้ยนแค่โดยดี

“จะ..เจ้าค่ะ หละ..หลินซินขอตัวไปหยิบถ้วยมาเพิ่มก่อน” หญิงสาวกล่าวจบจึงได้เดินลากโซ่ตรวนของนางกลับเข้าห้องครัวแล้วจึงเดินถือถ้วยใบน้อยพร้อมตะเกียบกลับออกมา


นางค่อย ๆ ลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของหลิวเจี้ยนออกช้า ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง ก่อนย่อตัวลงนั่งหลังตรงตัวเกร็งทื่อ นางไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้เลย

ขนาดตอนอยู่ที่บ้านตระกูลหลิว แม้หลิวเล่าฮูหยินจะรักและเอ็นดูนางเหมือนลูกแต่ด้วยก่อนหน้านั้นที่ทั้งบ้านเต็มไปด้วยสาวใช้บ่าวใช้ นางก็ได้ถูกสาวใช้รุ่นพี่สั่งสอนเรื่องชนชั้นวรรณะเอาไว้ ว่าจงระลึกเสมอว่าตนเป็นบ่าว อย่าได้ตีตัวเสมอนาย นางเองก็ยึดถือแนวทางนั้นมาตลอดแม้ในภายหลังบ่าวใช้สาวใช้ภายในบ้านจะถูกหลิวเล่าฮูหยินจ้างออกจนเหลือแต่นางคนเดียวก็ตามที

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนั้นไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ฝ่ายหญิงก็เกร็ง ๆ จะตักกับข้าวเข้าปากแต่ละทีต้องแอบชำเลืองสายตามองหลิวเจี้ยนอยู่หลายครั้งด้วยความกลัว ด้านบุรุษชายเองแม้จะพยายามพูดพยายามคุยกับฝ่ายหญิงแล้ว แต่ทว่าฝ่ายนั้นก็พูดโต้ตอบมาอย่างตะกุกตะกักถามคำตอบคำ บุรุษคิ้วบางจึงได้แต่ทำใจ คงเป็นนางยังไม่ชินกับการนั่งทานอาหารกันมันและพวกมันเองก็ไม่ได้สนิทกันมากจึงยังหาเรื่องพูดคุยกันได้ยากด้วย

คงต้องใช้เวลากว่าที่ทุกอย่างจะลงตัว


หลังกินข้าวเสร็จ ตอนนี้หลิวเจี้ยนได้นั่งตบท้องอิ่มแปล้ นอกจากข้าวเช้าที่กินก่อนออกจากบ้านตระกูลหลิวแล้ว นี่ก็คือข้าวอีกมื้อหลังจากนั้น ไหนจะวันนี้หลิวเจี้ยนยังใช้พลังงานไปเยอะมากอีกร่างกายยังเหน็ดเหนื่อยเหลือแสน มันจึงเผอเรอยัดข้าวเข้าท้องเยอะไปหน่อยจึงได้แต่นั่งย่อยอยู่ที่เก้าอี้ในขณะที่หญิงสาวได้ทำการเก็บถ้วยเก็บจานพร้อมทั้งเช็ดโต๊ะ


“นายน้อยจะอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าค่ะ หลินซินจะได้ไปต้มน้ำให้ท่านอาบ” หญิงสาวเอ่ยถามออกมาหลังจากทำการล้างถ้วยล้างจานเสร็จแล้ว


“ยัง เดี๋ยวข้าว่าจะเข้าไปห้องฝึกวิชาสักหน่อย” หลิวเจี้ยนกล่าว มือยังคงลูบท้องไปมา


“ฝึก? นายน้อยเพิ่งสอบเข้าสำนักมาเหนื่อย ๆ นายน้อยยังจะฝึกอีกหรือเจ้าค่ะ?” หญิงสาวถึงกับแปลกใจ ตั้งแต่ที่บ้านตระกูลแล้วที่หลิวเจี้ยนมักจะหมกตัวฝึกวิชา บุรุษคนนี้คงจะบ้าฝึกวิชาขึ้นสมองแล้วกระมัง


“ฝึกเบา ๆ น่ะ..ไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่” หลิวเจี้ยนเอ่ยก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ไม่ต้องอดนอนอยู่เฝ้าข้าล่ะ หากเจ้าง่วงก็นอนก่อนได้เลย ห้องนอนข้ายกให้”


“ห้องนอน? มะ..ไม่ได้เจ้าค่ะ หะ..” ในขณะที่หญิงสาวกำลังอ้าปากกล่าว สายตาของนางก็ได้สบแลเห็นสายตาที่จริงจังของหลิวเจี้ยน นางรู้ซึ้งแล้วถึงฝีปากของมันและความเอาแต่ใจ ต่อให้นางพยายามพูดเท่าไหร่บุรุษชายก็คงหาเหตุผลมาร้อยแปดพันข้อบีบให้นางยอมได้อยู่ดี

แล้วเมื่อรู้แล้วว่าพูดอะไรหรือเถียงด้วยเหตุผลไปก็ไร้ประโยชน์ นางจึงได้แต่จำใจหุบปากก่อนผงกหัวตอบตกลง “จะ..เจ้าค่ะ หละ..หลินซินขอบพระคุณนายน้อยเจ้าค่ะที่เมตตามอบห้องนอนให้หลินซิน”


“ดีมาก ง่วงก็นอนเลย ข้าไปฝึกวิชาแล้ว กู๊ดไนท์” บุรุษชายกล่าวพร้อมโบกมือเดินหายลับเข้าไปในห้องฝึกวิชาที่อยู่ติดกับห้องอาบน้ำตรงสุดทางเดิน


หญิงสาวได้แต่ยืนมองร่างที่หายเข้าไปในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมากมายหลายคำถาม

เหตุใดมันถึงปฏิบัติกับนางเช่นนี้ จะว่าเป็นคนดี..ก็ใช่ จะว่าเป็นคนเอาแต่ใจ..ก็ถูก จะว่าเป็นคนบ้า..ก็คล้ายมากที่สุด

หลินซินไม่เข้าใจในตัวหลิวเจี้ยนจริง ๆ เลย


ภายในห้องฝึกวิชา

ห้องฝึกวิชานี้เป็นห้องฝึกวิชาขนาดเล็ก มีพื้นที่เท่าเวทีมวยเวทีหนึ่ง ขนาดกำลังพอดี

หลิวเจี้ยนเข้าไปในห้องก็ได้หามุมนั่งลงขัดสมาธิโดยที่มือทั้งสองข้างจะแบหงายแนบชิดกับหัวเข่าทั้งสองข้างของมัน และในทันทีที่จัดแจงร่างกายเรียบร้อย ดวงตาของคนจึงหลุบปิดลง

ในทันทีที่ดวงตาปิดสนิท ที่มือขวาปราณสีครามพลันสว่างไสวขึ้น หยาดเหงื่อค่อย ๆ หลั่งริน คิ้วบาง ๆ ต่างขมวดปมแน่น ผ่านไปหลายช่วงลมหายใจที่มือซ้ายของคนจึงค่อยมีปราณสีชาดจุดติดขึ้นที่มือข้างนั้น

การเรียกพลังปราณสองสายออกมาพร้อมกัน เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่โหดหินเอามาก ๆ

ครั้งแรกที่หลิวเจี้ยนเริ่มฝึกทำแบบนี้ ในครานั้นต้องมีช่างซื่อค่อยกำกับดูแลเพื่อไม่ให้เลือดลมตีกลับ เพราะพลังทั้งสองสายนั้น เป็นสายพลังที่แตกต่างกันมาก พลังสายหนึ่งคือพลังแห่งห้วงสมาธิกับพลังสายหนึ่งคือพลังแห่งความปั่นป่วนในห้วงอารมณ์ ด้วยพลังที่ต่างกันสุดขั้วเช่นนี้ การคงสภาพพวกมันให้ยังคงอยู่ร่วมกันบนฝ่ามือจึงเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญเป็นอย่างมาก

หลิวเจี้ยนมั่นใจ ว่าหากพลังสายใดสายหนึ่งเปลี่ยนเป็นพลังปราณพฤกษ์ที่อาศัยพลังธรรมชาติแทนสองพลังที่ต่างการสุดขั้วแบบนี้ อะไร ๆ มันคงจะง่ายกว่านี้หลายเท่าตัวนัก

ส่วนเหตุผลที่หลิวเจี้ยนต้องฝึกเรียกพลังปราณสองสายออกมาพร้อมกันนั้น ก็เนื่องด้วยคำบอกเล่าของช่างซื่อ ว่าหากเมื่อใดที่หลิวเจี้ยนสามารถผสานพลังปราณทั้งสองสายให้เข้าหากันได้จนเป็นหนึ่งเดียวกัน

ไม่แน่... หลิวเจี้ยนอาจจะมีพลังที่อยู่เหนือขีดจำกัดของคนอื่นไปไกลหลายขุม และแม้จะเป็นเพียงการคาดเดาสุ่ม ๆ ที่ไร้หลักฐานหรือสิ่งใดยืนยันว่าจะสามารถทำได้ แต่กระนั้นหากสามารถทำได้จริง ๆ

มันก็คงเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อไปเลย...


หลิวเจี้ยนทำการฝึกคงรูปของพลังปราณสองสายให้คงอยู่ได้นานที่สุด บุรุษหนุ่มยังไม่รีบร้อนที่จะผสานพลังปราณทั้งสองสายเข้าหากัน

ในตอนนี้ไร้ช่างซื่อกำกับดูแล หากเกิดความผิดพลาดขึ้น ก็คงทำให้หลิวเจี้ยนถึงแก่ชีวิตได้ในทันที บุรุษหนุ่มจึงไม่ได้รีบร้อนเร่งเร้าตนเองมากจนเกินไป เพราะการฝึกแบบนี้ก็ทำให้จุดตันเถียนภายในร่างของหลิวเจี้ยนขยายใหญ่ขึ้นในทุก ๆ วินาที และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลิวเจี้ยนที่ฝึกเพียงแค่สองปีและไร้พื้นฐานด้านการฝึกยุทธ์มาก่อน ถึงก้าวหน้าได้ทันคนอื่นในช่วงวัยเดียวกันทั้ง ๆ ที่คนพวกนั้นได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเล็ก


หลิวเจี้ยนทำการฝึกอยู่อย่างนั้นเกือบชั่วยาม ก่อนที่ร่างกายของมันจะถึงขีดจำกัดตัวคนจึงได้เลิกฝึกแล้วจึงเดินออกจากห้องฝึกแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงเข้าห้องน้ำไปในทันที

แล้วเมื่อเข้าไปในห้องน้ำ หลิวเจี้ยนก็ได้เห็นว่าอ่างน้ำนั้นยังคงอุ่นอยู่ ดูท่าก่อนหลินซินจะเข้านอนนางได้เตรียมอ่างน้ำไวให้มันใช้ชะล้างร่างกายแล้ว

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว