ดวงตาคนยังคงจ้องมอง แม้จะไม่รู้ว่าคนที่เหลือนั้นเป็นใคร แต่อย่างไรคนในแผ่นดินนี้ คนที่มีดวงตาสีทอง ต้องเป็นตนแน่ ๆ
“เอ็งอ่านอะไรอยู่รึ?” ซุนโหวหวังที่เดินมองภารกิจทางด้านขวาเสร็จหมดแล้วได้เดินมาหาหลิวเจี้ยนก่อนหันมองไปดูตามสายตาของสหาย “อ๋อ..คำทำนายของท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งรึ”
“โหวหวัง..เจ้าคิดหรือไม่ว่าคนแรกนี้ มันคือข้า?” หลิวเจี้ยนเร่งเอ่ยถามออกไป
“เอ็ง? ไม่มีทางเป็นไปได้ หากเอ็งบอกว่าคนแรกที่เขียนอยู่ในคำทำนายของท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง เช่นนั้นคนที่สามก็คงเป็นฉันแล้ว” ซุนโหวหวังพูดพร้อมกับโบกมือไปมาอย่างไม่นำพา
“เป็นข้าจริง ๆ โหวหวัง” หลิวเจี้ยนละสายตาจากบทกลอนก่อนหันมองสหายของมันด้วยดวงตาเนตรมังกรที่เลืองสีทองขึ้นมาอย่างสุดฤทธิ์
ซุนโหวหวังถึงกับนิ่งเงียบ แม้ก่อนหน้าในตอนที่ใช้อุบายรับมือกับกลุ่มคนตระกูลอุสางิ หลิวเจี้ยนจะใช้วิชาเนตรนี้ในการสอดส่องมองผ่านม่านหมอกได้ แต่โหวหวังไม่รู้มาก่อนว่าดวงเนตรนี้มันจะทองสุกสว่างขนาดนี้
“ยังไง..ยังไงไอ้คนแรกนี่ก็ต้องเป็นข้า ข้ามั่นใจ.. เจ้าเคยเห็นคะ..ใคร”
ขณะพูด หลิวเจี้ยนก็หันกลับไปมองบทกลอนอีกครั้ง แต่ครานี้ สิ่งที่หลิวเจี้ยนเห็นมันกลับเปลี่ยนไป ตัวอักษรบนแผ่นหนังทั้งหมดค่อย ๆ หมุนวนราวกับกระแสน้ำวนที่เชี่ยวกราก แล้วมันไม่เพียงแต่หมุนเร็วขึ้นเท่านั้น ตัวอักษรจากที่เคยมีสีดำ กลับค่อย ๆ สว่างขึ้น..สว่างขึ้นและสว่างขึ้นจนกลายเป็นสีเหลือง จากสีเหลืองค่อย ๆ ส่งรัศมีทองอร่าม
ฟิ้ว!!
จู่ ๆ ก็มีลำแสงบางอย่างพุ่งเข้ากลางหน้าผากของหลิวเจี้ยน แม้ว่าตัวคนจะมีปฏิกิริยากับลำแสงสายนั้นแล้ว ทว่าความเร็วของลำแสงนั้นมันเร็วมาก เร็วเกินกว่าหลิวเจี้ยนหลบได้ทัน
'ข้ารอเจ้าอยู่..หนุ่มน้อย'
คล้ายมีเสียงที่บางเบากระซิบอยู่ที่ข้างหูของหลิวเจี้ยน ทว่าเสียงที่สุดเบานั้นกลับชัดถ้อยชัดคำดั่งวาจานั้นดังอยู่ข้างในหัวของหลิวเจี้ยนเสียเอง
มิหนำซ้ำ เสียงนี้ต่างให้ความรู้สึกคาดหวังและอบอุ่น ราวกับเสียงของบุพการีเรียกหาลูกหลานของตนเองก็มิปาน
“เอ็งเป็นอะไรไปเกลอ? หรือสมองของเจ้ากลับด้านไปแล้ว?” ซุนโหวหวังเอ่ยถามออกมาด้วยเห็นสหายของมันทำตัวแปลก ๆ
“เจ้าได้ยินเสียงเมื่อครู่หรือไม่?” หลิวเจี้ยนตอนนี้หน้าตาตื่นผวา เหงื่อหลายหยดไหลย้อยลงบนใบหน้าที่เย็นชืด
“ได้ยินสิ..ฉันไม่ได้หูหนวก ในนี้คนเยอะมากมายเสียงจอแจดังนัก”
“ไม่ใช่! ข้าหมายถึงเสียงที่ดังผ่านมาจาก...” ขณะคนกล่าว มันก็ได้หันหน้ากลับไปมองพร้อมกับชี้ไปที่คำทำนายของผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขาอีกครั้ง ครานี้ ตัวอักษรบนแผ่นหนังก็ได้แปลงเปลี่ยนไปอีกแล้ว จากที่เคยเป็นตัวอักษรที่หมุนวน
ในตอนนี้
กลับกลายเป็นภาพวาดภาพวาดหนึ่งที่หลิวเจี้ยนไม่เคยเห็น
แต่แม้จะไม่เคยเห็น หลิวเจี้ยนก็ยังพอเดาออกว่ามันคือภาพของแผนที่ คิดได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นแผ่นที่ของยุทธทวีป ซึ่งบนตัวแผนที่นั้น ได้วงจุด..จุดหนึ่งเอาไว้
“โหวหวังเจ้า...” หลิวเจี้ยนกำลังจะเอ่ยถามต่อสหายว่าเห็นเหมือนกันหรือไม่ ทว่าเมื่อคิดจากคำพูดก่อนหน้าของสหาย ย่อมเป็นแน่นอนว่าซุนโหวหวังต้องไม่เห็นเหมือนตนแน่ “โหวหวัง... เจ้ามีแผนที่ทวีปนี้หรือไม่”
“แผนที่ทวีป? แน่นอนฉันต้องมี” ซุนโหวหวังกล่าว
ด้วยความที่มันเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลซุนรุ่นต่อไป นายน้อยซุนคนนี้ย่อมมีแผนที่ทวีปพกติดตัวแน่นอนด้วยเพราะมันต้องคอยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะภูมิศาสตร์นี้ และยังต้องศึกษาเกี่ยวกับภูมิประเทศข้อดีข้อด้อยของแต่ละดินแดนแต่ละเมืองเอาไว้ เผื่อในอนาคตมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างเช่นสงคราม มันจะได้ล่วงรู้ได้ท่วงทันว่าควรยึดจุดไหนเป็นชัยภูมิ
“ดี..เช่นนั้นกลับไปบ้านข้าก่อน ข้าจำเป็นต้องดูแผนที่ของทวีปนี้” กล่าวจบ เจ้าคนคิ้วบางก็ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มอีก ตัวคนกวาดสายตาจดจำรายละเอียดบนตัวของแผนที่อยู่อีกประเดี๋ยวก่อนคลายเนตรจ้าวมังกรของมันลงไปแล้วจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังบ้านของตนเองโดยมีซุนโหวหวังตามไปติด ๆ
และแม้ว่าซุนโหวหวังจะไม่รู้อะไรถึงทำให้สหายของมันดูรีบร้อนปานนี้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับคำทำนายของท่านผู้ก่อตั้งแน่
หลิวเจี้ยนวิ่งตรงจนถึงบ้านโดยไม่หยุดพัก ประตูบ้านเร่งเปิดอ้าออกภาพแรกที่เห็นคือตอนนี้หลินซินกำลังก้มลมคุกเข่าใช้ผ้าผืนหนาถูกพื้นอยู่ แต่หลิวเจี้ยนก็ไม่ได้สนใจนางในตอนนี้ มันรีบเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารนำพวกเครื่องปรุงต่าง ๆ ลงจากโต๊ะโดยนำไปวางไว้บนเก้าอี้ ก่อนส่งสายตาร้อนรนมองไปที่คนที่เอื่อยเฉื่อยที่ตามหลังมา
“เร็วเข้าโหวหวัง”
“เอ็งจะรีบไปไหนกัน.. โอ้ว..แม่ซิน แม่ก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ” ซุนโหวหวังบ่นอุบอิบก่อนเลิกคิ้วมองไปที่หญิงสาวที่กำลังมีใบหน้ามึนงงของความรีบด่วนนี้ของสองสหาย
“สวัสดี..คุณชายซุน” หญิงสาวรีบลุกเหยียดแบกโซ่ตัวก่อนทำท่าถอนสายบัวให้แก่มันแล้วจึงก้มหยิบถังใส่น้ำและผ้าเดินหายลับเข้าไปในครัว “ดะ..เดี๋ยวหลินซินไปนำน้ำชามาให้พวกท่าน”
“เร็วเข้าโหวหวัง!” หลิวเจี้ยนกล่าวเร่งเร้าด้วยใจที่ร้อนรน
“อ้ายบ้านี่..” บุรุษหน้าขนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ ก่อนดีดนิ้วคราหนึ่ง แหวนที่สวมอยู่ตรงหัวแม่มือข้างขวาพลันส่องสว่างด้วยสีแดงทับทิม ในทันทีก็มีม้วนกระดาษปรากฏขึ้นที่มือข้างขวาก่อนโยนออกไปทางหลิวเจี้ยนในทันที
“อะ..เอาไป”
หลิวเจี้ยนรีบรับแผนที่นั้นมาและกางออก ก่อนที่ดวงตาของคนจะเปล่งประกายแห่งความยินดี
แผนที่..ที่หลิวเจี้ยนเห็นเมื่อก่อนหน้ามันใช่แผนที่ทวีปนี้จริง ๆ ด้วย แม้โดยรวมรายละเอียดต่าง ๆ จะไม่เหมือนกันสักทีเดียว น่าจะเป็นไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปตามที่หลิวเจี้ยนคาด
“โหวหวัง เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าตรงนี้คือที่ไหน” เจ้าคนคิ้วบางรีบจิ้มนิ้วชี้ลงไปบนแผนที่ซึ่งเป็นสถานที่ในอาณาจักรปัญจมิตรแห่งนี้ที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยอยู่ไม่ไกลจากเมืองมังกรธารานัก
“ตอนเหนือของเมืองมังกรธารารึ? ดูจากสัญญาลักษณ์ที่เขียนบอกไว้ ตรงนั้นน่าจะเป็นผืนป่าธรรมดาไม่ได้มีหมู่บ้านหรือเมืองตั้งอยู่”
ซุนโหวหวังกวาดตาดูสัญญาลักษณ์ที่เขียนกำกับไว้ก่อนกล่าวบอกตามความรู้ด้านแผนที่..ที่ร่ำเรียนมาออกไป
“เมืองมังกรธารา? เขตการปกครองของคนตระกูลตง?”
“ไม่ผิด.. เมืองนั้นเป็นเมืองของคนตระกูลตง..หรือสกุลปีกมังกร” ซุนโหวหวังกล่าว ก่อนย่นคิ้วแล้วเอ่ยต่อ “อย่างไร..เอ็งรู้อะไรมา?”
“ข้าเพียงเห็นมันปรากฏขึ้นบนคำทำนายของท่านผู้ก่อตั้ง” หลิวเจี้ยนเอ่ยก่อนเล่าในสิ่งที่มันได้ยินและเห็นต่อสหายในขณะที่หลินซินนำน้ำชาพร้อมทั้งขนมขบเคี้ยวมาบริการ
ซุนโหวหวังกอดอก ใบหน้าเคร่งเครียด “แล้วเอ็งมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เอ็งเห็นหรือได้ยินเป็นความประสงค์จริง ๆ ของท่านเจ้าคุณผู้ก่อตั้ง? และไหนเลยต้องเป็นเอ็ง?”
“ต้องให้ข้าบอกกี่รอบ ว่าไอ้คนแรกสุดอย่างไรมันก็คือข้า” หลิวเจี้ยนกล่าวย้ำอย่างอารมณ์เสีย “โหวหวัง..เจ้าเป็นคนดินแดนนี้ เจ้าเคยได้ยินใครที่มีดวงตาสีทองหรือมีวิชาเนตรเช่นข้าหรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่! แต่เอ็งแน่ใจได้อย่างไรว่าเอ็งคือคนที่ท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งต้องการจริง ๆ นี่ผลัดเปลี่ยนท่านเจ้าคุณมากี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว เหตุใดถึงมีเพียงเอ็งเท่านั้นที่เห็นสิ่งนั้น ทั้ง ๆ ที่ผ่านตั้งหลายมาหลายสหัสวรรษแล้ว เอ็งไม่คิดบางหรือว่านี่อาจเป็นเล่ห์กลของใครบางคนที่จงใจกลั่นแกล้งแสร้งทำขึ้นมา อีกอย่าง คำนำนายนี้ก็มีมาตั้งแต่ยุคสมัย 'ประวัติศาสตร์ที่ขาดหาย' รวม ๆ แล้วก็หลายพันปี”
“ก็เพราะมีแต่ข้าอย่างไรเล่าที่มีวิชาเนตรนี้..ในคำทำนายก็บอกไว้แล้วว่า วิชาเนตรของข้าสามารถมองเภทภัยได้ท่วงทัน” หลิวเจี้ยนในตอนนี้ไม่ได้ดูใจเย็นเสียเท่าไหร่ หลักเหตุผลต่าง ๆ ของมันต่างบิดเบี้ยว ด้วยความแน่ใจที่มีมาก ว่ามันคือบุคคลในคำทำนายจริง ๆ
“เอ่อ..คุณชายซุน..นายน้อย ลองเช่นนี้เป็นอย่างไรเจ้าค่ะ” หลินซินที่ยืนเงียบอยู่พลันเอ่ยออกมา ถึงกับเรียกสายตาที่ดุดันของสองบุรุษที่กำลังถกเถียงกันให้หันมามองนางจนทำให้นางรู้สึกสั่นกลัวเล็กน้อย
นางกัดฟันก่อนเอ่ย “พวกท่านทั้งสองลองหาภารกิจสักภารกิจที่ทำให้เดินทางไปที่เมืองมังกรธารา ระหว่างกลับพวกท่านก็ยังสามารถแวะไปตรวจสอบดูว่าสิ่งที่นายน้อยเห็นนั้นมีจริงหรือเป็นเพียงเรื่องลวงหลอก หากเป็นจริงก็ดี หรือเป็นเท็จก็แค่เสียเวลาเพิ่มไม่กี่วันเท่านั้น”
“ฉลาดไม่เบาเลย..แม่ซิน เหตุผลฟังเข้าทีอยู่” ซุนโหวหวังเอ่ยออกมาพรัอมผงกหัวอย่างเห็นพ้อง “เช่นนั้นเอาตามแม่ซินว่าก็แล้วกัน.. ฉันเองก็อยากจะรู้นักว่าความมั่นใจที่เอ็งบอกว่าเป็นคนตามคำทำนายของผู้ก่อตั้งจะจริงหรือเท็จ แล้วถ้าเอ็งเป็นคนแรกในคำทำนายจริง เช่นนั้นฉันก็ขอจองเป็นคนที่สามตามคำทำนายก็แล้วกัน”
ซุนโหวหวังยกปากยิ้มน้อย ๆ ด้วยความที่การไปในครั้งนี้ไม่ได้ขาดทุนอะไรนอกจากเวลาสักวันสองวันเท่านั้นแถมยังได้ทำภารกิจไปด้วย
“มีนงคราญและโฉมสะคราญรายล้อมงั้นรึ.. ก็ฟังดูเข้าทีไม่หยอก”
“เอายังไงก็ได้..” หลิวเจี้ยนกล่าวก่อนหันไปยิ้มให้หลินซิน..รูปปากคนลอบพูดขอบใจอย่างไม่มีเสียง
แม้เหตุผลที่นางเอ่ยออกมาจะดูเหมือนเป็นการกระทำที่ไม่มีอะไรเสียหาย แต่หลิวเจี้ยนก็พอเดาได้ถึงเหตุผลจริงที่ทำให้นางกล่าวออกมาเช่นนั้น
คือนางพยายามเข้าข้างตนเองและปัญหาสิ่งที่ดูมีเหตุผลมาเติมใส่ให้น่าเชื่อถือเท่านั้น
หลังจากสรุปหาเหตุผลกันได้ สองสหายก็ได้ย้อนกลับไปที่ตำหนักแจกจ่ายภารกิจอีกครั้ง
สองสหายต่างช่วยกันสอดส่องหาภารกิจที่เดินทางไปยังเมืองมังกรธาราซึ่งก็พบภารกิจอยู่หลายภารกิจที่มีจุดหมายอยู่ที่เมืองแห่งนั้น
หลังจากนั้นทั้งสองจึงเลือกมาหนึ่งภารกิจ ซึ่งภารกิจนั้นคือภารกิจคุ้มกันสินค้าจากท่าเรือไปที่เมืองมังกรธาราที่ให้เวลาในการทำภารกิจถึงสองอาทิตย์ ตามคำบอกเล่าของซุนโหวหวัง การเดินทางจากเมืองนพบุรีไปที่เมืองมังกรธารานั้นใช้เวลาเดินเท้าเพียงห้าวัน เท่ากับว่า..ไปกลับในภารกิจนี้ใช้เวลาเพียงสิบวันจึงทำให้มีเวลาเหลือสำหรับทำการสำรวจถึงสี่วัน ทั้งสองสหายจึงตัดสินใจเลือกภารกิจคุ้มกันสินค้าภารกิจนั้น
“ว่าแต่โหวหวัง ไอ้ 'ประวัติศาสตร์ที่ขาดหาย' ที่เจ้ากล่าวเอาไว้เมื่อก่อนหน้ามันคืออะไรรึ?” หลิวเจี้ยนเอ่ยถามต่อซุนโหวหวังในระหว่างที่พากันเดินกลับบ้านพัก
“มันคือช่วงเวลากว่าหลายร้อยปีที่ไม่มีบันทึกใด ๆ ที่เป็นทางการจดถึงช่วงเวลานั้น..” ซุนโหวหวังกล่าวอธิบายด้วยท่าทางเฉยเมย “ตามการคาดการณ์ ช่วงเวลาที่ไม่มีการจดบันทึกนั้นน่าจะกินระยะเวลา 100 ถึง 350 ปีโดยประมาณ”
“นานขนาดนั้นเชียว?” หลิวเจี้ยนกล่าวด้วยความสงสัย “แล้วพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นหายไป ในเมื่อไม่มีการจดบันทึกอะไรเอาไว้?”
“เห้อ..” บุรุษหน้าขนถอนใจอย่างเหน็ดหน่าย สายตาสุดอ่อนเพลียมองไปที่สหายคิ้วบางของตน “อ้ายเจี้ยน.. เอ็งรู้ตัวหรือไม่ว่าบางครั้งความสงสัยของเอ็งมันสุดน่ารำคาญ..”
ในช่วงสองวันมานี้ ซุนโหวหวังต้องมาคอยตอบคำถามต่าง ๆ ให้สหายของมันคนนี้หลายเรื่องต่อหลายเรื่อง ซึ่งทำให้บุรุษหน้าขนผู้นี้สุดรำคาญใจเป็นที่สุด
“เอาน่า.. เจ้าก็รู้ข้าไม่ได้เกิดหรือเติบโตในทวีปนี้ มีหลายเรื่องที่ข้าไม่เคยรู้หรือสงสัยก็ถามใครไม่ได้นอกจากเจ้า” หลิวเจี้ยนส่งสายตาวิงวอนมองไปที่สหายหน้าขนของมัน
ซึ่งจะโทษซุนโหวหวังก็ไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญในความขี้สงสัยของหลิวเจี้ยน เพราะบุรุษคิ้วบางมันเป็นคนขี้สงสัยจนน่ารำคาญจริง ๆ มันรู้ตัว แต่เมื่อที่นี่เป็นทวีปใหม่ดินแดนใหม่ที่มันเพิ่งมาอยู่ ต่อมความสงสัยใคร่รู้ของคนก็เหมือนจะขยายใหญ่ขึ้น เมื่อพบเรื่องที่น่าสนใจต่อมความสงสัยนั้นของคนก็ทำงานตนคล้ายว่าตัวของหลิวเจี้ยนมีผื่นคันขึ้นตามตัว ต้องใช้ความเข้าใจในการเกลาแทนมือมิเช่นนั้นตัวคนก็คงไม่หายคัน
เห็นสายตานั้นของสหาย ซุนโหวหวังก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาอีกคำ “เอาเถอะ..เอาเถอะ.. ฉันก็จะเล่าเท่าที่ฉันรู้ เอ็งก็อย่าคาดหวังให้มากว่าฉันจะตอบคำถามของเอ็งได้ทุกเรื่องเล่า..”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว