ร่างสถิตเทพ (God Spirit)-ตอนที่ 38 เงินตรา..ตราเงิน ตอน หก

โดย  MR.FAT

ร่างสถิตเทพ (God Spirit)

ตอนที่ 38 เงินตรา..ตราเงิน ตอน หก

“เกิดอะไรขึ้นหลานข้า” ฮูจินพลันล่อนร่างลงสู้พื้นสนามประลองเมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของหลานมันทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยท่าทางผิดปกติ


“พี่หลิวตอนนี้กำลังเลื่อนระดับพลังฝึกปรือขอรับน้ารอง”


“เลื่อนระดับฝีมือหลังจากจบการแข่งขัน? คนอะไรดวงมันจะดีถึงเพียงนี้.. หากเมื่อครู่เจ้าทนได้อีกสักห้าอึดใจ เจ้าย่อมชนะมันแน่..” ฮูจินกล่าวออกมาพร้อมคิ้วที่ขมวดชนเป็นปม

ตามที่ฮูจินกล่าว สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ การเลื่อนระดับฝีมือนั้นนับเป็นสิ่งประเสริฐที่ผู้ฝึกยุทธ์คนล้วนยินดีให้ประสบพบเจอในทุก ๆ วัน แต่บางช่วงเวลาก็ควรหลีกเลี่ยง

เพราะทุกครั้งที่เหตุการณ์เช่นนี้มาถึง ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ๆ จะรู้สึกเจ็บที่จุดตันเถียนที่อยู่เหนือสะดือราวสองนิ้วราวกับตัวของคนมีแผลที่เหวอะหวะแล้วมีคนนำเท้ามาย่ำเหยียบอยู่ตลอดเวลา เพราะตรงจุดตันเถียนของผู้ฝึกยุทธ์กำลังขยายตัวจากพลังปราณสายใหม่ที่เอ่อล้นออกมา ทำให้ในทุกครั้งของการก้าวผ่านขั้น..ระดับหรือช่วงชั้น ผู้ฝึกยุทธ์จำต้องอยู่ในสถานที่..ที่รู้สึกปลอดภัย เพื่อทำการหน่วงพลังปราณสายใหม่ที่ปะทุออกมาจากจุดตันเถียน ใช้จิตช่วยกรุยทางนำพาพลังปราณเหล่านั้นผ่านไปที่เส้นปราณทีละนิด ค่อย ๆ ให้ทำพลังปราณคุ้นเคยกับเส้นปราณไปทีละหน่อย

ส่วนระยะเวลานั้นก็แล้วแต่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ในตอนนั้นกำลังเลื่อนจากจุดไหนไปจุดไหน แล้วก็แล้วแต่พรสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นว่ามีมากหรือมีน้อยเพียงใด


“พักสนามประลองอย่างไม่มีกำหนด!” ฮูจินประกาศออกไปเสียงดังกึกก้องพร้อมทั้งส่งสัญญาณไปทางผู้ซ่อมแซมสนามประลองและแพทย์สนามให้พวกมันเหล่านั้นเตรียมพร้อม..รอคำสั่งของคน


หลังจากฮูจินประกาศออกไปเช่นนั้น ผู้ชมในสนามประลองใช่ไปพักทำธุระส่วนตัวอย่างที่ควรจะทำหลังการจบการประลอง

ทุกคนต่างอยากรู้ว่าหลิวเจี้ยนนั้นจะใช้เวลาในการก้าวผ่านจากขั้นต้นไปขั้นกลางนานเท่าไหร่ เพราะยิ่งนาน เท่ากับว่าพลังปราณของมันที่เพิ่มเข้ามาจะยิ่งมีมาก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดได้อย่างชัดเจนถึงระดับพรสวรรค์ของเจ้าบุรุษคิ้วบาง


ด้านหลิวเจี้ยนนั้น แม้จะเคยผ่านช่วงเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ตัวคนก็ไม่ชินเสียทีในทุก ๆ ครั้งที่สัญญาณการเลื่อนระดับเดินทางมาถึง

ทำให้มันต้องตัดสิ้นสัมผัสรอบกายทุกอย่างออกไปจนหมดสิ้น ได้แต่จมจ่อมอยู่ในห้วงแห่งสมาธิ ใช้จิตช่วยกรุยทาง..นำพาพลังปราณสีครามและสีชาดค่อย ๆ เวียนไหลไปตามทางที่มันกำหนดทั่วเส้นปราณทีละหน่อย ค่อย ๆ ทำให้เส้นปราณคุ้นเคยกับพลังปราณสายใหม่ทีละน้อย

จนเมื่อพลังปราณทั้งสองสีไหลเวียนจนทั่วร่างและคุ้นเคยกับเส้นปราณดีแล้ว ครานี้ก็เป็นทีของปราณมาศที่วิ่งพล่านอยู่ในเส้นปราณ จุดตันเถียนแม้จะไม่มีขนาดระบุตายตัวว่าใหญ่เล็กเท่าไหร่ แต่ในความรู้สึกของหลิวเจี้ยน ก่อนหน้าจุดตันเถียนของตนราวกับเป็นบึงขนาดเล็ก มีพื้นที่ให้มัจฉาแหวกว่ายอย่างจำกัด แต่ตอนนี้กลับมีขนาดเท่าสายชลธารที่เชี่ยวกราก มันสามารถมอบพลังให้หลิวเจี้ยนพูนเพิ่มจากเดิมหลายเท่าตัวนัก

จนเมื่อพลังปราณและเส้นปราณของตนรู้จักกันอย่างสนิทสนมแล้ว ดวงตาของคนจึงค่อย ๆ แง้มเปิดออก ภาพแรกที่หลิวเจี้ยนเห็นก็คือกลุ่มคนตระกูลซุนพร้อมด้วยเจ็ดมงกุฎทั้งหกที่ยืนรายล้อมตนเองอยู่


“อย่างไรเล่าเกลอ.. รู้สึกเช่นไร” ซุนโหวหวังเป็นคนแรกที่เอ่ยออกมาหลังจากเห็นสหายของมันออกจากสมาธิ


“สุดยอดไปเลยพวก..” หลิวเจี้ยนยิ้มตอบ ตัวคนนั้นรู้สึกได้ว่าตอนนี้ตนเองมิใช่คนเดิมจากเมื่อเช้า สายตาคนแลมองไปที่แขนทั้งสองข้างราวกับแขนทั้งสองข้างนั้นมีอะไรผิดปกติหรือเปลี่ยนรูปไป

ตอนนี้หลิวเจี้ยนมั่นใจ ว่าหากได้ประลองกับหม่าชุนเฟิงอีกครั้ง ตนเองสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนได้ง่ายดายยิ่ง มันสามารถเอาชนะได้ด้วยกำลังเพียว ๆ มิต้องปวดสมองคิดค้นหาวิธีรับมือให้ยุ่งยากเช่นก่อนหน้า

พรึ๊บ..พรึ๊บ..พรึ๊บ.. ฯลฯ

หลิวเจี้ยนลองเรียกปราณธาตุอัคคีขึ้นมาพร้อมกับบังคับให้มันดับลงไปในทันตาสลับไปมากับการเรียกขึ้นมาใหม่

หลิวเจี้ยนสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ว่าปราณธาตุของมันนั้นดูจะเชื่อว่าง่ายกว่ากาลก่อน มันใช้จิตนึกคิดในการเรียกเปลวเพลิงขึ้นมาได้เร็วกว่าแต่ก่อนมาก

ตอนนี้หลิวเจี้ยนรู้สึกเปรมปรีดิ์เป็นอย่างมากกับสิ่งที่ตนบรรลุในวันนี้


“หากทะลวงเสร็จก็รีบลงจากสนามประลองไป.. อยากลองอะไรก็ให้ไปลองที่อื่น นี่เกินเวลาประลองในคู่สุดท้ายของรอบเช้ามานานมากแล้ว” ฮูจินพลันเอ่ยต่อหลิวเจี้ยนด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง แต่วาจาการสั่งนั้นยังมีความแตกตื่นคละคลุ้งอยู่เล็กน้อย

ตามหลักแล้ว จากขั้นต้นของระดับสัมผัสสรรพวิถีสู่ขั้นกลาง นานสุดสมควรไม่เกินครึ่งชั่วยาม แต่นี่กระไร เจ้าคนคิ้วบางตรงหน้าใช้เวลาร่วม ๆ ชั่วยามในการทำสมาธิ

ซึ่งการใช้เวลานานกว่าเวลาปกตินี้คิดได้สองแง่ หากมันไม่มากด้วยพรสวรรค์หรือมีสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ตอนก่อนเกิดมากจนเกินคนทั่วไป มันก็คือคนโง่ที่กว่าจะเข้าใจถึงพลังของตนเองได้เชื่องช้า

แต่เมื่อมองจากอายุของหลิวเจี้ยนแล้ว อีกความสามารถที่ผ่านตามาในทุกการประลองของมัน

ไหนเลยฮูจินจะกล้าตีตราว่าคนเช่นหลิวเจี้ยนคือคนโง่ได้


หลังจากคนทั้งหมดลงจากสนามประลองไป หน่วยช่างก็ใช้เวลากว่าสองเค่อในการซ่อมแซมสนามประลองให้กลับมาพร้อมสำหรับการประลองในรอบต่อไป

แต่ในระหว่างนั้น คนทั้งสนามประลองเอาแต่พูดถึงชื่อเพียงคน..คนเดียว โดยลืมไปเลยว่าสองคนที่จะทำการแข่งขันในรอบต่อไปนั้น พวกมันทั้งสองมาจากตระกูลห้าเสาหลักด้วยกันทั้งคู่

ทุกคนล้วนแต่พูดถึงแซ่และนามของคนเพียงคนเดียว

นั่นก็คือหลิวเจี้ยน


ทุกคนนั้นไม่อยากคิด ขนาดทะลวงจากขั้นต้นสู่ขั้นกลางของระดับสัมผัสสรรพวิถี มันยังใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม พลังใหม่ที่มันได้รับนั้นจะต้องมากมายถึงเพียงไหน แล้วหากมีครั้งหน้าในขั้น..ระดับหรือช่วงชั้นที่สูงขึ้น มันจะไม่นานกว่านี้หรอกหรือ

ทุกคนได้แต่รู้สึกทั้งชื่นชม..ชื่นชอบ หรือกระทั่งเกรงกลัวเลยก็มี


“การประลองสายบนรอบสี่คู่สุดท้าย อุสางิซากิแห่งบ้านตระกูลศศะ ปะทะ ตงเสวี่ยซานแห่งบ้านตระกูลปีกมังกร ข้าให้เวลาพวกเจ้าหกสิบชั่วลมหายใจในการขึ้นมาบนสนาม” ฮูจินเร่งกล่าวทำเวลา เพราะกว่าจะซ่อมแซมสนามประลองเสร็จก็ใกล้เที่ยงแล้ว ประเดี๋ยวมันจะกินเวลาคู่ในรอบบ่ายมากจนเกินไป

ซึ่งผู้เยาว์ทั้งสองที่มันเรียกขานต่างไม่ทำให้ผิดหวัง ไม่นานทั้งหญิงชายก็ได้ยืนเหยียบสนามประลอง


ตงเสวี่ยซานวันนี้ดูเหมือนเช่นเคย ถึงแม้คนตรงหน้ามันจะเป็นลูกหลานของคนจากตระกูลห้าเสาหลักเช่นเดียวกับตน ออกจะมีสถานะที่สูงกว่าด้วยซ้ำด้วยตำแหน่งว่าที่ผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปที่พ่วงมาด้วย ผิดกับตงเสวี่ยซานที่เป็นพวกเกล็ดเงินที่ได้รับการเลือนระดับเป็นเกล็ดทอง ไม่ได้พ่วงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมืองเช่นนาง แต่กระนั้นสายที่ตงเสวี่ยซานใช้มองอุสางิซากิ ก็ยังเป็นสายตาแห่งความดูถูกดูแคลน ตีตราว่าคนตรงหน้านั้นต่ำชั้นกว่าตน

ส่วนอุสางิซากินั้น วันนี้สตรีผู้งดงามกลับมิได้มีดวงตาที่เฉื่อยชาเช่นเคย ๆ นางกลับมีโทสะที่นางมิอาจสงบใจได้จากเมื่อสองวันก่อนประดับอยู่ แม้ผ่านข้ามวันมาสองวันแล้ว แต่ความโกรธานั้นก็ยังแต่งแต้มอยู่บนดวงเนตรน้ำแข็งของนางกว่าสองส่วน ยิ่งในตอนนี้ ตอนที่นางยืนอยู่บนเวที นางยังเห็นคนหันไปกระซิบกับคนข้าง ๆ แล้วมองมาที่นาง อุสางิซากิยิ่งรู้สึกเดือดดาลเป็นที่สุด

จะไม่ให้นางรู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่คนอื่นพูดถึงนางล้วนแล้วแต่เป็นเท็จ

สิ่งเดียวที่นางจะทำได้คือระบายความอัดอั้นในการประลองในวันนี้ให้หมดก็เท่านั้น


“วันนี้ไม่ต้องกล่าวอะไรมากความ เดี๋ยวจักเลยเวลามากไปกว่านี้ ข้าให้เวลาหยิบศาสตราออกมาห้าชั่วลมหายใจเข้าออกและรอสัญญาณจากข้า!” ฮูจินกล่าวอย่างรวบรัด


อุสางิซากิพลันหยิบพัดหยกของนางออกมาตามคำสั่งของฮูจิน แต่ตงเสวี่ยซานนั้นตรงกันข้าม ฝ่ายบุรุษกลับยื่นนิ่งมือไพล่หลังราวกับใจลอยจนไม่ได้ยินความของฮูจิน

แต่ท่าทางของตงเสวี่ยซานก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะรอบที่ผ่าน ๆ มา ตงเสวี่ยซานต่างใช้มือเปล่าในการประลองมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน


“หากพร้อมแล้ว.. การประลองคู่สุดท้ายของสายบนในรอบสี่คนสุดท้าย! เริ่มได้!”


ด้านตงเสวี่ยซานนั้นต่างทำในแบบที่เคย ๆ ทำคือยืนอยู่กับที่ด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่ดูแล้วน่าเกรงขาม สายตาเองก็ได้แลมองไปที่ร่างของอุสางิซากิอย่างวางอำนาจราวกับตนนั้นเหนือกว่า

อุสางิซากิเองตอนนี้ก็ได้ยืนหยัดอยู่กลับที่ แม้อารมณ์โทสะจากสะภาพแวดล้อมยังมีอยู่ แต่ด้วยรู้ว่าตนนั้นเสียเปรียบ หากรุดโจมตีเข้าไปโดยไม่มีแผนรองรับ ผลที่ได้รับอาจไม่สวยสักเท่าไหร่


“อุสางิซากิ..” เมื่อดูแล้วอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาหาตนก่อน ตงเสวี่ยซานจึงได้เอ่ยออกมา “เราใคร่รู้ยิ่งนักว่าด้วยเหตุผลใด เจ้าถึงได้เลือกลงแข่งขันในปีนี้ ทั้ง ๆ ที่ปราณธาตุ..เจ้ายังใช้ได้ไม่คล่องแคล่ว อายุอย่างเจ้า..ปีหน้าก็ยังสามารถลงแข่งขันได้สบาย ๆ แต่เหตุใดถึงเลือกที่จะเอาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเจ้ามาย่ำยีที่ศึกปัญจมิตรในปีนี้ เราไม่เข้าใจ.. เจ้าไม่กลัวทำให้อีกสี่ตระกูลที่เหลือเสื่อมเสียไปด้วยหรือ.. โดยเฉพาะตระกูลตงของเรา..”


“ชื่อเสียงตระกูลของข้ามันไม่ใช่กงการอะไรขอเจ้า ชื่อเสียงของตระกูลเจ้าด้วยเช่นกัน.. มันไม่ใช่อะไรที่ข้าต้องใส่ใจ..” หญิงสาวกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสุดขุ่นเคือง เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าคนผู้อื่นนินทาถึงตระกูลของนางว่าเช่นไรบ้างในตอนนี้ ส่วนเรื่องการลงแข่งขันในปีนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

อุสางิซากิรู้อยู่เต็มอกว่าตนนั้นลงแข่งเร็วเกินไปปีหนึ่ง หากมีเวลาให้นางอีกสักปีหรือนางแก่กว่านี้สักครึ่งปี อุสางิซากิมั่นใจว่าตงเสวี่ยซานคงมิกล้ายืนปากมากวางท่าเช่นนี้แน่

แต่ที่นางจำต้องลงแข่งขัน ก็ด้วยฝ่ายมารดาของนาง..อุสางิยูกิได้ให้เงื่อนไขเอาไว้เมื่อแปดเดือนก่อน ว่าหากผลประลองแข่งขันของนางในปีนี้นั้นย่ำแย่ นางจะถูกบังคับให้กลับบ้านตระกูลในทันทีหลังจบศึก ซึ่งเป็นสิ่งที่นางยอมรับไม่ได้ ในเมื่อนี่คือหนทางเดียวที่นางจะเดินตามชายที่นางรักได้อย่างสง่าผ่าเผยที่สุด

สิ่งที่นางต้องทำคือการประลองให้ดี ทำให้แม่ของนางพอใจที่สุดเท่านั้น นางจึงจะยังคงสถานะศิษย์สำนักสี่ขุนเขาของนางเอาไว้ได้


“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องของเรา..” ปากของบุรุษขยับ มือซ้ายพลันกวาดออกเป็นวงกว้าง ใบหน้าคนในตอนนี้จริงจังเป็นอย่างมาก “เจ้าไม่เข้าใจถึงความสำคัญของศึกในรุ่นมัธยุทธ์หรือ.. ว่ามันมีไว้ด้วยซึ่งเหตุผลใด.. มันมิได้มีไว้สร้างความบันเทิงให้ผู้คนเหล่านี้ แต่มันมีไว้เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ชาวปัญจมิตร ว่ารุ่นหลังของห้าตระกูลที่อยู่เหนือพวกมัน มีสามารถพอที่จะปกครองอาณาจักรแห่งนี้สืบต่อไป มันทำให้ตระกูลทั้งห้ายังคงเป็นเสาหลักที่คอยค้ำอาณาจักรนี้ต่อไปได้ มิใช่ที่เอาไว้ให้เจ้าเล่นสนุกเก็บประสบการณ์ไปวัน ๆ มันไม่ใช่ที่เด็กเล่น!”

ตงเสวี่ยซานแสยะยิ้มคราหนึ่ง สายตามองตรงไปที่อุสางิซากิอย่างรังเกียจ “หากเรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจ ภายภาคหน้าตระกูลอุสางิก็ไม่คู่ควรที่จะถูกเคารพบูชาในฐานะ 'ตระกูลห้าเสาหลัก' อีกต่อไป”

ทุกการกล่าว ตงเสวี่ยซานต่างใช้เสียงที่เบาพอที่จะทำให้อุสางิซากิเท่านั้นที่ได้ยิน มีเพียงจอมยุทธ์ระดับช่วงชั้นเข้าถึงเช่นห้าผู้นำตระกูลและห้าผู้เฒ่าเท่านั้นที่ได้ยิน ส่วนฮูจินนั้นอยู่ใกล้ ย่อมได้ยินเป็นธรรมดา


“สามหาว!!” อุสางิยูกิกรีดเสียงออกมาเล็กแต่ยาว ทุกคำทุกตัวอักษรที่เอ่ยออกมาล้วนเต็มไปด้วยโทสะ ร่างของนางเองก็ได้ลุกขึ้นจากบัลลังก์ เตรียมที่จะทะยานลงไปเอาเรื่องเจ้าเด็กปากเสียตรงหน้า

การที่ตงเสวี่ยซานกล้าหยามเหยียดตระกูลของนางต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ผู้นำตระกูลเช่นนางจะยอมรับได้หรือ ตงเสวี่ยซานมันไม่เห็นหัวนางบ้างหรืออย่างไร


“นั่งลง..ยูกิ!” เสียงสุดแก่ชราคล้ายเสียงของใบไม้เสียดสีกันของหญิงสตรีนางหนึ่งที่มีอายุสี่สิบกลาง ๆ กล่าวห้ามอุสางิยูกิเอาไว้

แม้จะเห็นว่าสตรีนางนี้อายุสี่สิบกลาง ๆ ทว่าความจริงแล้ว สตรีนางนี้อายุปาเข้าไปเลขหกแล้ว นางมีนามว่า อุสางิ ซึยุ (น้ำค้าง) แม่ฒ่ากระต่ายขาวจากสภาห้าผู้เฒ่า มีศักดิ์เป็นป้าและเป็นยายของสองแม่ลูกอุสางิ

การที่ตัวของอุสางิซึยุยังดูสาวกว่าวัยนั้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะตระกูลอุสางิมีชื่อเสียงด้านปรุงยาและปลูกสมุนไพร นางจึงมีโอสถมากราคาคอยบำรุงอยู่ไม่ขาด

และตอนนี้นี้แม่เฒ่ากระต่ายขาวได้ส่งสายตาติเตียนมองไปทางหลานสาวของนางด้วยความไม่พอใจ

“แก่จนลูกสาวนมตั้งเต้าแล้ว.. เจ้ายังอารมณ์ร้อนเป็นสาวแรกรุ่นไปได้! เจ้าลืมสถานะของเจ้าแล้วหรือ..อุสางิ..ยู..กิ!”


“แต่เจ้าเด็กแซ่ตงคนนั้นมันว่าร้ายถึงตระกูลอุสางิของเรา! ท่านจะให้ข้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยอย่างนั้นรึ!”


“ที่ข้าบอกให้เจ้าหยุด.. มิใช่เพื่อเจ้า.. แต่เพื่อหลานสาวของข้าต่างหาก!” แม่เฒ่ากระต่ายพลันกล่าวออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย สายตาเจนโลกของคนชราแล้วพลันมองไปที่อุสางิซากิอย่างคาดหวัง “ภายภาคหน้าอย่างไร ซากิย่อมสืบต่อตำแหน่งของเจ้า นางเติบใหญ่มาด้วยความเคารพยกย่อง.. ในวันนี้ที่ถูกตงเสวี่ยซานดูแคลนก็นับเป็นสิ่งที่ดี ข้าอยากให้ตงเสวี่ยซานมันพูดหนักกว่านี้เสียด้วยซ้ำ.. เพื่อตัวของซากิของข้า!”

“ไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามสอดมือยุ่งเรื่องในครานี้!”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว