ร่างสถิตเทพ (God Spirit)-ตอนที่ 42 เงินตรา..ตราเงิน ตอน ปลาย

โดย  MR.FAT

ร่างสถิตเทพ (God Spirit)

ตอนที่ 42 เงินตรา..ตราเงิน ตอน ปลาย

ซุนโหวหวังยังคงแบกหิ้วหนานหงส์เซียไปพร้อมตนตลอดทาง เจ้าคนหน้าขนอาศัยแสงดาวในการนำทาง ความหวังสุดท้ายของมันคือจุดมุ่งหมายแต่แรกเริ่มของการเดินทางในครั้งนี้ แม้คราแรกบุรุษหน้าขนจะมองว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ทว่าตอนนี้มันได้แต่ภาวนาให้มีสถานที่นั้นอยู่จริง แม้จะต้องใช้บุญชั่วชีวิตของมันให้บันดาลเรื่องนี้ให้เกิดผลก็ตามที

'เป็นผู้ที่มีดวงนารีหนุนนำงั้นรึ.. เหตุใดตอนนี้ฉันถึงได้อับจนคล้ายจะดวงดับเพราะนารีกันเล่า!! '

ซุนโหวหวังพลันหวนคิดถึงเรื่องที่พูดคุยกับสหายของมันที่สำนัก ตอนนั้นหลิวเจี้ยนยืนกรานว่าตัวมันคือบุรุษคนที่หนึ่งในคำทำนาย ครั้งนั้นซุนโหวหวังยังพูดอย่างสนุกปากว่าตนคือคนที่มีดวงนารีหนุนนำ แต่ไหนเลยตอนนี้มันต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะสตรีกันเล่า..

คำทำนายนั้นมันเชื่อถือได้มากน้อยเท่าไหร่กัน


พรึบ!!!

จู่ ๆ ก็มีร่าง..ร่างหนึ่งเหินมาดักทางที่ซุนโหวหวังกำลังจะไป มันผู้นั้นถือกระบี่คู่อยู่ที่มือทั้งสองข้างแถมกระบี่ในมือของมันทั้งสองเล่มยังอาบท้นไปด้วยเปลวอัคคีสุดน่าหวาดหวั่น

ใช่แล้ว มันคือจอมยุทธ์ระดับสัมผัสสรรพวิถีที่ซุนโหวหวังเกรงกลัวที่สุด เพราะไม่ใช่แค่ระดับพลังที่ห่างกันถึงหนึ่งระดับ อีกฝ่ายยังสามารถทำในสิ่งที่ซุนโหวหวังยังทำไม่ได้คือการเรียกปราณธาตุออกมา

การต่อสู้ด้วยปราณธาตุกับปราณธรรมดาแน่นอนความได้เปรียบย่อมเป็นของคนผู้ที่มีปราณธาตุ และด้วยเหตุนี้ในทันทีที่อีกฝ่ายสามารถรุดมาดักทางของตนได้ ดวงตาของซุนโหวหวังถึงหดเล็กลีบ เจ้าคนหน้าขนพลันตบเท้าข้างหนึ่งลงบนพื้นก่อนที่จะเบี่ยงตัววิ่งฉีกหนีไป

ทว่าแค่ซุนโหวหวังออกตัววิ่งได้สามก้าว ทางเบื้องหน้ามันก็มีอัคคีสุดร้อนแรงพุ่งมาดักทางเอาไว้ หัวสมองคนคิดอย่างถี่ถ้วน หากหยุดและเปลี่ยนทางอีกครั้ง มันก็ไม่ต่างกับหนูติดจั่นที่วิ่งเป็นวงกลม

คิดได้เช่นนั้น ซุนโหวหวังพลันโยนกระบองของตนเองข้ามกำแพงไฟไปก่อนที่มันจะถอดชุดคลุมของตนเองออกด้วยมือเพียงข้างเดียวห่อร่างของหนานหงส์เซียเอาไว้แล้วจึงตัดสินใจวิ่งทะลุผ่านเปลวเพลิงนั้นไปด้วยความบ้าดีเดือด

เปลวเพลิงต่างผลาญสร้างแผลพุพองตามตัวของซุนโหวหวังเป็นแห่ง ๆ หนวดเคลาของคนเองก็ถูกเพลิงไฟโลมเลียจนหงิกงอส่งกลิ่นเหม็นแต่ซุนโหวหวังไม่สนใจ มันไม่มีเวลามาร้องโอดครวญจากบาดแผลที่ได้รับ

บุรุษที่มีขนหงิกงอรีบเลิกชุดคลุมของตนเองขึ้นเปิดให้หญิงสาวได้หายใจแถมยังสวมชุดนั้นกลับไปเพื่อดับเปลวเพลิงย่อมเล็ก ๆ ที่ยังคงติดอยู่บนเสื้อผ้าของตนเองแล้วรับกระบองที่มันโยนนำทางมาจับถือไว้อีกครั้ง


จอมยุทธ์ผู้ใช้ปราณอัคคีเลิกคิ้วขึ้นมองคนใจกล้าที่วิ่งผ่านเปลวเพลิงของตนเองด้วยความประหลาดใจ มันต้องมีใจกล้าบ้าบิ่นประมาณไหนถึงกล้าวิ่งฝ่าเปลวเพลิงที่สร้างจากพลังปราณนั้นไปได้โดยไม่มีท่าทีลังเลเช่นนี้

“ได้.. หากเจ้าดูถูกเพลิงของข้าเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าดูถูกได้เกินพอ”

มันผู้นั้นกล่าวก่อนที่จะใช้ท่าร่างของตนเองออกตัววิ่งไล่กรวดไล่ตามเป้าหมายของตนเอง

เพลิงไฟต่างฉาบไปทั่วกระบี่ทั้งสองของจอมยุทธ์ระดับสัมผัสสรรพวิถี ครานี้มันค่อย ๆ สะบัดกระบี่ของตนเองจนเกิดเป็นเปลวเพลิงพุ่งดักทางของเป้าหมายเอาไว้


“หลบขวา!!” หนานหงส์เซียที่ส่งสายตามองจอมยุทธ์ผู้นั้นพลันเอ่ยบอกบุรุษผู้ห้าวหาญ ทำให้ซุนโหวหวังสามารถหลบเพลิงอัคคีร้อนแรงนั้นได้อย่างเฉียดฉิวด้วยการกระโดดหมุนควงกลางอากาศแล้วจึงใช้ปลายเท้าถีบไปที่ต้นไม้เพื่อส่งตัวของตนเองพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

“ซ้ายกับขวามาพร้อมกัน!!” หนานหงส์เซียร้องเตือนซุนโหวหวังอีกครั้ง


หัวสมองอันเปรื่องปราดของบุรุษผู้มีขนหงิกงอที่มักจะไม่ค่อยได้ใช้ตอนนี้ต่างคิดคำนวณอยู่ในหัวอย่างเร็วรี่

ซุนโหวหวังตบเท้าลงพื้น เกร็งตัวทั้งตัวออกแรงใช้กระบองของมันฟาดใส่ต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ทางด้านหน้าให้โค่นลงมาจนสามารถใช้เป็นกำบังปราณอัคคีทั้งสองสายได้

ซุนโหวหวังออกตัววิ่งอีกรอบหนึ่ง หัวของคนเฝ้าคิดจนปวดตุบ หากเป็นแบบนี้ต่อไปถ้ามันไม่หมดแรงก่อนก็อาจถูกฝ่ายนั้นจัดการได้ในท้ายที่สุด ซุนโหวหวังต้องหนีออกจากเกมส์แมวไล่หนูนี้ให้ได้


“วิ่งต่อไป..รั้นต่อไป!! ข้ามีเวลาเล่นกับเจ้าได้ทั้งคืน!” จอมยุทธ์ผู้ใช้ปราณอัคคีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกู่ก้อง หากไม่ติดว่าได้รับคำสั่งมาให้จับคนทั้งสองกลับไปเป็น ๆ ป่านนี้มันคงกระโจนเข้าไปฉีกกระชากทารกน้อย ๆ ทั้งสองคนด้วยมือของมันแล้ว


ส่วนเหตุผลที่ต้องตามจับหนานหงส์เซียและซุนโหวหวังกลับไปนั้น ก็ด้วยตราพิมพ์เงินเถื่อนที่หายไป

ด้วยความที่ว่ามีเครื่องพิมพ์เงินเถื่อนสี่เครื่องถูกพังไปแต่ว่ามีสองเครื่องที่สภาพดีอยู่ ที่หายไปคือตราพิมพ์เงินเถื่อนเท่านั้น หัวหน้าของมันจึงได้สั่งให้ตามจับคนทั้งสองกลับไปเพื่อเค้นหาความจริงถามถึงตราพิมพ์เงินเถื่อนที่น่าจะสภาพดีอยู่กลับคืนมา เพราะตราพิมพ์เงินเถื่อนนั้นคือของที่ทำขึ้นได้ยาก การจะปลอมได้เหมือนการจะเลียนแบบได้คล้ายนับเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก อย่างน้อย ๆ หากสามารถตามกลับไปได้สองอัน โทษทัณฑ์ที่พวกมันจะได้รับจากเบื้องบนที่สั่งการลงมาก็จะลดลง


“มีจอมยุทธ์มาซ้ายสองคน..ทางขวามีหนึ่ง!!” หนานหงส์เซียเร่งรายงานสถานการณ์รอบข้างให้ซุนโหวหวังได้รับรู้


ด้านคนที่ถูกแจ้งข่าวก็ลงมืออย่างเร็วรี่ “แม่หงส์เซียจับเอาไว้แน่ ๆ ฤทธิ์กระบองบ้านสกุลซุน ก้องปฐพี!!”

ปกติท่านี้ของวิชากระบองตระกูลซุนจะต้องใช้มือทั้งสองข้างหมุนควงกระบองสร้างแรงเหวี่ยง ทว่าตอนนี้มือของซุนโหวหวังว่างควงกระบองอยู่เพียงข้างเดียว ทำให้ตอนนี้ลูกหลานตระกูลซุนผู้นี้คิดแผลง..ดัดแปลงวิชาประจำตระกูลใหม่ มือข้างเดียวที่เหลืออยู่ต่างควงกระบองไปมาขณะที่ตัวของมันเองก็ได้หมุนไปรอบ ๆ สร้างแรงเหวี่ยงทดแทนเสริมกำลังที่ขาดหายไปก่อนที่จะกะจังหวะคาดคำนวณอย่างดิบดี รอจนจอมยุทธ์ทั้งสามคนเข้าใกล้ได้มากพอแล้วจึงเหวี่ยงกระบองที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณที่เสริมแรงจากการควงและเหวี่ยงตัวผนวกกับกำลังที่มากมายเหนือกว่าคนอื่นฟาดลงพื้นจนเกิดแรงอัดสุญญากาศขึ้นใส่พื้นดินใต้เท้าของตนเอง

การโจมตีของซุนโหวหวังต่างกระแทกผลักร่างศัตรูทั้งสามคนกระเด็นออกไป พร้อมทั้งสร้างฝุ่นผงคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้น ซึ่งมันก็ได้ผลดี ไม่เพียงขจัดลิ่วล้อของจอมยุทธ์ปราณอัคคีผู้นั้นได้ ผู้ใช้พลังเพลิงเองก็มิสามารถมองเห็นทัศนียภาพบริเวณนั้นได้อีกด้วย ซ้ำด้วยฝุ่นผงที่คลุ้งไปทั่ว ทำให้มันที่เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับสัมผัสสรรพวิถีขั้นต้นที่ยังไม่มีความคุ้นชินกับการใช้ปราณธาตุมากนัก มิอาจใช้เพลิงไฟได้อีกเพราะในบรรดาฝุ่นที่ฟุ้งอยู่นั้นมีเศษใบไม้กิ่งไม้ผสมอยู่ หากใช้พลังอัคคีธาตุในตอนนี้อาจทำให้เปลวเพลิงนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้


แน่นอนสิ่งนี้ที่ซุนโหวหวังทำขึ้นล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ บุรุษที่มีขนหงิกงอเพียงคิดที่จะจัดการขวางหนามที่รายล้อมมันเพียงเท่านั้น ไม่ทันได้คิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นทำให้จอมยุทธ์ระดับสัมผัสสรรพวิถีขั้นต้นผู้นั้นต้องลำบากโดยไม่รู้ตัว

แล้วก็เช่นหลาย ๆ ครั้งก่อนหน้า ซุนโหวหวังอาศัยฝุ่นหนาอำพรางกายอาบความมืดในยามราตรีวิ่งหนีไปในทันที

ตอนนี้จอมยุทธ์ผู้ใช้ปราณอัคคีทำได้เพียงแต่ยืนแน่นิ่ง มันไม่อาจตามคนทั้งสองต่อไปได้ด้วยฝุ่นผงที่หนาตา แถมเสียงที่เกิดขึ้นสี่เสียงจากสี่ทิศทางนั้น สามในสี่เสียงคือเสียงที่เกิดจากการกลิ้งถลาของสหายของมัน ทำให้จอมยุทธ์ผู้ใช้ปราณอัคคีมิอาจแยกแยะได้ว่าเหยื่อของมันมุ่งหน้าไปทิศทางใด


ซุนโหวหวังตอนนี้ถือได้ว่าหนีรอดมาได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่แลกมากับอิสรภาพระยะสั้นนั้นกลับทำให้ซุนโหวหวังมีสภาพน่าอดสูยิ่งนัก ความเร็วของบุรุษเรียกได้ว่าช้าลงกว่าก่อนหน้าจนน่าสังเวช ด้วยการที่มันได้บีบบังคับฝืนตนเองใช้วิชาที่ไม่สามารถทำได้ด้วยมือข้างเดียวโดยใช้ร่างกายของตนเองทดแทนสิ่งที่ขาดหาย แล้วด้วยเหตุนี้ ร่างกายของซุนโหวหวังจึงสะบักสะบอมเป็นอย่างมาก

เส้นเลือดตามร่างกายต่างปวดระบม กล้ามเนื้อในร่างต่างประท้วงให้เลิกฝืนสังขาร แต่เจ้าของร่างกับรั้นฝืนบังคับตนเองวิ่งต่อไม่ยอมหยุดพักตามที่ร่างกายร้องขอ


“ถ้าไม่ไหวก็ยอมจำนนเถิด..ท่านชายซุน” เสียงของหนานหงส์เซียในอ้อมอกบุรุษกล่าวออกมาในเชิงขอร้อง นางที่อยู่ในอ้อมกอดซุนโหวหวังจนชินนั้นรับรู้ได้ถึงความเหนื่อยล้าขอบุรุษผ่านลมหายใจเข้าออกของมันที่ไม่เป็นเหมือนเก่า พระราชนัดดาองค์นี้นั้นอยากที่จะให้บุรุษทิ้งนางไว้ที่ตรงนี้เสียด้วยซ้ำ นางไม่อยากที่จะเพิ่มภาระให้แก่บุรุษผู้ห้าวหาญอนาคตไกลผู้นี้


“แม่หงส์เซีย...... ฉันทำ...ขนาดนี้...แม่กลับบอกให้ยอมจำนน... มันไม่ใจร้ายเกินไปหรือ....”

ซุนโหวหวังกล่าวออกมาโดยที่ขาทั้งสองข้างที่สุดอ่อนล้ายังคงก้าวต่อไปที่ทิศทางเบื้องหน้า

“อีกอย่าง... แม่จำเมื่อสองวันก่อน...ได้หรือไม่... พวกโฉดชั่ว...พวกนั้น.... มันคิดทำ...อะไรกับตัวของแม่.... หากแค่ตาย...ก็ดีไป แต่ถ้าพวกชั่วพวกนั้น... คิด...เล่นสนุกกับแม่... วิญญาณ...ของฉันคงไม่สงบ... เพราะฉะนั้น... แม่เลิกคิด... ยอมแพ้อีกเป็นอันขาด... ถ้าข้าสองข้าง...ของฉันยัง...ขยับไหว...”


ภาพในวันนั้นต่างหลั่งไหลเข้าสู่สมอง คำพูดทุกคำที่เจ้าสัมผัสปราณขั้นกลางคนนั้นกล่าว หนานหงส์เซียยังจำได้ มันได้บอกว่าจะสังหารพี่ชายของนางแต่จะปล่อยให้นางรอดต่อไปอีกสักพักเพราะอยากเล็กสนุกกับตัวของนางก่อน

เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น หนานหงส์เซียจึงไม่กล่าวอะไรอีก ใช่..นางกลัวที่จะถูกข่มเหงรังแก.. แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่นางกลัวมากกว่านั้น

คือการทรยศความพยายามทั้งหมดของซุนโหวหวังที่ปกป้องนางมาตลอดทาง..


ซุนโหวหวังอุ้มแบกร่างของหนานหงส์เซียมาได้ไกลระยะหนึ่ง.. หนทางเบื้องหน้าจากที่เคยมืดมาตลอดเริ่มมีแสดงสว่างทอดยาวมาตามทาง

จันทราตอนนี้ได้ลาลับ ดวงตะวันที่แอบอยู่พลันถีบตัวขึ้นจากขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า ซุนโหวหวังเองตอนนี้ก็ล้าจนแทบจะถึงขีดจำกัดแล้ว

'ไม่ดีแน่... หากตะวันขึ้นตอนนี้.. พวกมันต้องหาพวกเราพบโดยง่ายแน่..' ซุนโหวหวังที่ความเร็วในการวิ่งนั้นลดเหลือแค่การวิ่งเหยาะ ๆ เริ่มเป็นกังวลมากกว่าเก่า หากผืนป่าแห่งนี้ถูกแสงดวงอาทิตย์ส่องลงมาจะทำให้การใช้ความมืดห่มกายของซุนโหวหวังไร้ผล ยิ่งตอนนี้ตัวของคนรู้ดีถึงขีดจำกัดที่ใกล้มาถึง ทางเดียวที่ซุนโหวหวังทำได้คือหาที่หลบซ่อนเพื่อพักเอาแรง อย่างน้อย ๆ พักทำแผลสักหน่อยก็ยังดี

สายตาของซุนโหวหวังกวาดมองไปทั่ว หากเป็นพื้นที่ปิด..ก็ต้องเป็นสถานที่..ที่คนอื่นไม่อาจตรวจพบหรือตรวจพบได้ยากก็ยังดี หรือถ้าเป็นพื้นที่เปิด ก็ต้องเป็นสถานที่..ที่มันสามารถตรวจพบอันตรายได้ก่อนมาถึงตัว ซุนโหวหวังต้องเคร่งครัดในการหาที่พักเอาแรง


“ท่านชายซุน... ข้าเห็นตรงนั้นเหมือนมีโพรงหรือช่องบางอย่าง.. อาจเหมาะที่จะทำให้พวกเราพักเอาแรงได้” มือซ้ายที่ไร้บาดแผลของหนานหงส์เซียชี้จี้ไปที่ช่อง..ช่องหนึ่งทางด้านซ้ายมือ

ทางนั้นที่หนานหงส์เซียชี้ไป หากไม่สังเกตคงมองไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นมีโพรงถ้ำซ่อนอยู่ด้วยเถาวัลย์และต้นไม้พุ่มเตี้ยที่แข่งกันขึ้นอยู่บริเวณนั้น

นับเป็นที่หลบซ่อนที่ดีทีเดียว


ซุนโหวหวังรีบตวัดสายตามองตาม แต่ด้วยความอ่อนล้าทำให้สายตาคนพร่าเลือน กว่าที่ซุนโหวหวังจะสังเกตเห็นช่องนั้นก็ต้องผ่านไปราวห้าลมหายใจเข้าออก

ซุนโหวหวังส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อสลัดอาการล้า “เอาตามแม่ว่าก็แล้วกัน.. อย่างน้อย.. มันก็ยังดีว่าพื้นตรงนี้..”


“หะ..ให้ข้าช่วยท่าน..” หนานหงส์เซียบิดตัวไปมาเล็กน้อย ก็ทำให้นางหลุดออกจากวงแขนของซุนโหวหวังมาได้อย่างง่ายดาย

การที่หนานหงส์เซียสามารถดิ้นหลุดออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้ นั้นก็หมายความว่าบุรุษชายที่คอยปกป้องนางมาตลอดนั้นอ่อนล้าจนไม่อาจต้านแรงของนางได้แล้ว

หนานหงส์เซียเดินเขย่งใช้แขนซ้ายช่วยประคองซุนโหวหวัง หากใครมาเห็นภาพตอนนี้คงได้แต่ขบขันกับความทุลักทุเลของคนทั้งสอง คนหนึ่งก็ราวกับคนอ่อนแอขี้โรค เท้าซ้ายขวาต่างเดินได้ไม่มั่นคงแข็งแรงจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ อีกคนก็ขากะเผลกแขนเองก็คล้ายพิการ

แต่ถึงจะทุลักทุเลเป็นอย่างมาก พวกมันทั้งสองคนก็ยังช่วยกันประคองกันและกันเดินหลบเข้าไปยังโพรงถ้ำได้ในท้ายที่สุด

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว