ร่างสถิตเทพ (God Spirit)-ตอนที่ 50 ใช่..ข้าแซ่หลิว

โดย  MR.FAT

ร่างสถิตเทพ (God Spirit)

ตอนที่ 50 ใช่..ข้าแซ่หลิว

“พลังสถิตระดับหกดาว!?!?!” หนานหงส์ชุนเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของซุนโหวหวัง สายตาของมันต่างเคลื่อนมองไปที่บุรุษคิ้วบางที่กำลังนั่งเอาหลังพิงประตูด้วยความไม่อยากเชื่อ

ในโลกแห่งนี้ แค่เกิดมาแล้วมีพลังสถิตระดับสี่ดาวสี่ดาวครึ่งก็ถูกยกย่องจากคนทั่วไปมากเหลือแล้ว ยิ่งเป็นร่างสถิตของสัตว์เทวะทั้งสี่ระดับห้าดาวยิ่งถูกเคารพเทิดทูนดุจเทพสวรรค์ แต่นี่ดวงจิตผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขาบอกเจ้าคนคิ้วบางสภาพร่อแร่ตรงหน้ามีพลังสถิตระดับหกดาวอยู่ในร่าง ไม่เท่ากับมันเป็นนายเหนือหัวของเทพเซียนพวกนั้นเลยหรือ

มันยิ่งใหญ่หน้าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว


“ว่าแต่ไอ้พลังสถิตระดับหกดาวอะไรนั่นมันพิเศษตรงไหน ข้าไม่เข้าใจ..” หลิวเจี้ยนเอ่ยถามออกเสียงเบา ๆ ตอนนี้สภาพของมันเรียกได้ว่าย่ำแย่เป็นอย่างมาก ไม่มีส่วนไหนเลยในร่างกายที่ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวด


“ต้องพิเศษแน่นอนอยู่แล้ว!” ความตื่นตระหนกตกใจของหนานหงส์ชุนยังไม่จางหาย ยิ่งคนนึกยิ่งคนเห็นยิ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้านั้นสูงส่งยิ่งนัก ทำให้น้ำเสียงนั้นของหนานหงส์ชุนกอปรไปด้วยความตกใจสี่ส่วน..ความเคารพสามส่วน..และความชื่นชมอีกสามส่วน

“คิดง่าย ๆ นะพี่หม่า ทวีปนี้มีสี่อาณาจักรและสองดินแดน สำนักกระบี่สี่ขุนเขาถือได้ว่ายิ่งใหญ่ได้ด้วยวิชากระบี่โบยสวรรค์และเป็นแหล่งแร่ปราณสำคัญของทวีปแถมยังมีชื่อเสียงเรื่องคุณธรรมอันสูงส่งอีก อารยธรรมขนนกเองก็ใช่ด้อย หากเปรียบสำนักสี่ขุนเขาคือแสงตะวันขัดมาร อารยธรรมขนนกก็คือแสงแห่งจันทราที่ชำระจิตใจที่โง่งม พวกเราทั้งสี่อาณาจักรจึงเคารพและนับถือสองดินแดนนั้นเรื่องความดีงาม ทว่าเราสี่อาณาจักรนั้นแตกต่าง แม้จะไม่ได้ทำสงครามกันมาหลายพันปีแล้ว แต่ใช่ว่าจะไม่มีความบาดหมางหรือข้อพิพาทใด ๆ เลย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่ในตอนนี้อาณาจักรปัญจมิตรของท่านและแคว้นหงสาเพลิงนิรันดร์ของข้างยังหมางใจกันอยู่ แม้จะเป็นความบาดหมางเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม แต่พวกเรายังไม่ทำอะไรกันได้แต่จ้องหน้ากันไปมาก็ด้วยพลังสถิตระดับห้าดาวทั้งสี่”

หนานหงส์ชุนพักหายใจคราหนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “ที่สี่อาณาจักรของพวกเรายังยืนหยัดเป็นอาณาจักรทั้งสี่ทิศได้เหนืออาณาจักร..แคว้นหรือเมืองอื่น ๆ ที่ล่มสลายมาได้หลายพันปี ส่วนหนึ่งก็มาจากพลังสถิตทั้งสี่ อาณาจักรของท่านคือพลังสถิตมังกรฟ้าที่เลือกเกิดเฉพาะคนในตระกูลตง แคว้นของข้าคือวิหคเพลิงของราชวงศ์ข้า นครหิมะฯ คือพยัคฆ์ขาวแห่งราชสกุลซี จักรวรรดิเต่าดำคือเต่าทมิฬก็ต้องราชวงศ์เป่ย และเพราะมีสี่สัตว์เทวะในระดับห้าดาวเป็นของตนเองจึงทำให้พวกเราทั้งสี่อาณาจักรยังเกรงใจกันอยู่ ไม่กล้าสร้างสงครามระหว่างกันเพราะกลัวคนซ้ำในยามเปลี้ยหรือต่อให้สองอาณาจักรรวมหัวกันรังแกอีกหนึ่งอาณาจักร อาณาจักรที่ว่างอยู่จะรีบกระโดดเข้าห้ามศึกเพราะกลัวอำนาจที่คานกันมาเนิ่นนานจะเสียสมดุล แล้วการที่จู่ ๆ ดวงจิตของท่านผู้ก่อตั้งบอกว่ามีพลังสถิตระดับหกดาวถึงสองตนคือพลังสถิตราชันมังกรทองของท่านกับพลังสถิตกิเลนเพิ่มเข้ามา มิใช่เท่ากับว่าท่านในภายภาคหน้าจะอยู่เหนือกว่าพวกเราสี่อาณาจักรหรอกหรือ”


หลิวเจี้ยนได้ยินก็ได้แต่รู้สึกเกรง ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรเพิ่มไปมากกว่านั้น เพราะในชั่วชีวิตนี้ การที่ตัวมันรู้ว่ากลางทะเลแอตแลนติกมีทวีปของจอมยุทธ์อยู่ มันก็ไม่มีอะไรต้องแปลกใจอีกแล้ว

บุรุษคิ้วบางเพียงยกมือขวาขึ้นมาแล้วพลิกดูตราประทับปราณของตนเองที่เป็นรูปมังกรตัวเขื่องที่น่าเกรงขาม ในใจต่างนึกไปต่าง ๆ นา ๆ


“เอ่อ..จริงสิหม่าเจี้ยน.. ข้ามีข้อสงสัย” เมื่อมีจังหวะแทรก หนานหงส์เซียจึงได้รีบเอ่ยขึ้นมา นัยน์ตาของนางจ้องไปยังคนที่นางกล่าวด้วยเหมือนกำลังจับผิดมันอยู่ “ตอนที่เจ้าสลบอยู่ เหตุใดดวงจิตของผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขาถึงเรียกหาเจ้าว่า 'ทารกน้อยตระกูลหลิว' มิใช่ 'ทารกน้อยตระกูลหม่า' สรุปเจ้าแซ่อะไรกันแน่?”

หนานหงส์เซียรู้สึกสงสัยมาตั้งแต่ตอนที่ดวงจิตฯ ยังไม่สลายไปแล้ว แต่เพราะตอนนั้นดวงจิตมีเรื่องมากมายต้องเอ่ยต้องพูด นางจึงไม่ได้ถามออกไป แต่ในตอนนี้สามารถถามกับเจ้าตัวได้ นางจึงอยากที่จะคลายความสงสัยที่ค้างเติ่งมานานออกไป


“ใช่แล้ว..ข้าใช่แซ่ปลอมหลอกพวกเจ้า” หลิวเจี้ยนตัดสินใจกล่าวความจริงออกไป ด้วยตอนนี้จะพูดปลดอะไรออกไปคงไม่เข้าที “แซ่จริง ๆ ของข้าคือแซ่หลิว บิดาของข้าคือหลิวหลงและมารดาของข้าคือหนานจื่อฮว่า”


“หนานจื่อฮว่า.... หนานจื่อฮว่า... หระ..หรือหนานจื่อฮว่าที่เจ้าว่าคือท่านน้าสามของพวกข้า?” หนานหงส์เซียเอ่ยถาม ครานี้สิ่งที่นางรู้นั้นน่าแปลกใจยิ่งกว่าการมีพลังสถิตระดับหกดาวเสียอีก เพราะตามความเข้าใจของนาง หนานจื่อฮว่าผู้นั้นน่าจะตายไปพร้อม ๆ กับหลิวหลงไปเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วตามคำประกาศของพรรคมารราตรีค้ำฟ้าที่ผยองประกาศออกมา


“ใช่... นั่นแม่ข้า” หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมแสยะยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวต่อ “ขอบใจนะที่พวกเจ้ายังรู้ว่าแม่ของข้าคือน้าของพวกเจ้า”


“พะ..พี่หม่า........พี่หลิว! เหตุใดท่านถึงปิดบังพวกข้าด้วย?” หนานหงส์ชุนกล่าวถาม


“บอกความจริงไปแล้วข้าได้อะไร? ข้าคือลูกของคนที่เสด็จตาของพวกเจ้าขับไล่ออกมานะ แล้วอีกอย่าง ก่อนหน้านั้นพวกเราใช่เริ่มต้นกันได้ดี.. น้องสาวของเจ้ายังเคยใช้ดาบจ่อคอหอยของข้าอยู่เลย นี่ไม่รวมว่านางเรียกข้าว่า 'ปีศาจจอมหื่นกาม' เป็นเจ้า..เจ้าจะกล้าบอกแซ่ที่แท้จริงหรือไม่? ยิ่งกับพวกเจ้าที่เป็นหลานของเขาคนนั้นอีก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีผลต่อข้าในภายหลัง.. นี่หากไม่ติดว่าเจ้าสำนักรุ่นแรกปากพล่อย ยังไงข้าก็ไม่บอกแซ่จริง ๆ ของข้าให้พวกเจ้าได้รู้แน่”

หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมมองไปที่หนานหงส์เซียแบบกวนบาทาเล็กน้อย ซึ่งฝั่งหญิงสาวก็ได้แต่ถลึงตามองกลับมาก่อนเบือนหน้าหนี


“ท่านพูดถูก.. เป็นข้า..ข้าก็ไม่กล้าบอกแน่ มิน่าเพียงท่านเห็นพู่หยกคาดเอวของข้าท่านถึงรู้ได้ว่าข้าเป็นคนจากราชวงศ์หนาน”

หนานหงส์ชุนผงกหัวยอมรับในเหตุผลนั้นของหลิวเจี้ยน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่ายืนตรงพร้อมทั้งก้มโค้งให้หลิวเจี้ยน มือสองข้างเองก็ยกคารวะอย่างนอบน้อม

“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณในความใจกว้างของท่านด้วย..พี่หลิว แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้แบบท่านหรือไม่ในเมื่อพวกเราราชวงศ์หนานได้กระทำเรื่องแบบนั้นกับแม่ของท่าน ท่านช่างใจใหญ่ใจกว้างยิ่งนัก”


“พอแล้ว..พอแล้ว..ไม่ต้องก้มหัวให้ข้าแล้วหงส์ชุน” หลิวเจี้ยนยิ้มพร้อมกับกวักมืออย่างไม่ยี่หระ “ข้าน่ะแยกแยะเป็น คนที่ขับไล่แม่ของข้าก็คือตาของพวกเจ้า ไม่ใช่เจ้าสักหน่อยหนานหงส์ชุน อีกอย่างที่ข้าช่วยเจ้า..เจ้าก็ต้องกลับไปขอบคุณพ่อแม่ของเจ้าเถอะที่สอนสั่งเจ้าได้ดี จนทำให้ข้าใจอ่อนอยากช่วยพวกเจ้าเพราะคิดว่าหากคนที่เป็นห่วงประชาชนเช่นเจ้าได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ แคว้นของเจ้าคงสงบร่มเย็นแน่”


ได้ฟังความของหลิวเจี้ยน รอยยิ้มอ่อน ๆ จึงผุดขึ้นมาพร้อมกับผงกหัวเล็กน้อย “ข้าขอให้สัตย์สาบานต่อท่าน..พี่หลิว หากวันหน้าข้าได้ขึ้นเป็นกษัตริย์จริง ๆ สิ่งที่สองที่ข้าจะทำคือการนำเสด็จน้ากลับสู่ราชวงศ์หนานอย่างสมเกียรติ เอ่อ..ว่าแต่พี่หลิว ตอนนี้เสด็จน้าพำนักบอยู่ที่ใดหรือ..สบายดีหรือไม่?”


แววตาของหลิวเจี้ยนเปลี่ยนไปในฉับพลัน ประกายความหมองหม่นต่างปรากฏขึ้นราวกับม่านหมอก “แม่ของข้าเสียมาได้สองปีแล้ว..”


“ขะ..ขะ..ขออภัยพี่หลิว ขะ..ข้าไม่รู้ว่าท่านน้าเสียแล้ว” หนานหงส์ชุนรีบตอบกลับพร้อมกับก้มหัวขอโทษด้วยใบหน้าสุดแสนละอายใจ


“เอ่.. เจ้านี่เกิดปีไก่หรือยังไงถึงขยันก้มหัวให้คนอื่นแบบนี้ มันใช่ความผิดของเจ้าตรงไหน” หลิวเจี้ยนรีบโบกมือแบบไม่ใส่ใจ “พอเถอะ..พอเถอะ เปลี่ยนเรื่อง! สรุปพวกเจ้าไม่รู้ว่ามีสถานที่แบบอยู่ที่ไหนบ้างใช่หรือไม่..?”


“ตามเอ็งว่าเกลอ.. เผอิญเวลาของท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งหมดลงเสียก่อนจะกล่าวความจบ” ซุนโหวหวังกล่าว “แต่ฉันเชื่อว่าอย่างไรพวกเราต้องหาพบ เพราะท่านบรรพบุรุษนั้นได้คิดแทนพวกเราเอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลา ต่อให้ไม่อยากหาอย่างไรย่อมต้องพบ ดูอย่างที่นี่.. ฉันวิ่งมาส่งเดชคิดใช้เป็นที่แอบชั่วคราวกลับได้พบ ฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหลอกหนา”


“พี่ซุนกล่าวมีเหตุผล.. พวกท่านได้เตรียมทุกสิ่งอย่างไว้ให้พวกเราหมดแล้ว ดูอย่างฉัน.. พลังฝึกปรือของฉันรุดหน้าไปไกลมาก.. วันก่อนยังเป็นสัมผัสปราณอยู่เลย วันนี้กลายเป็นสัมผัสสรรพวิถีไปแล้ว” กล่าวถึงตรงนี้ เพลิงไฟสีขาวดุจมุขที่ต้องแสงตะวันก็ได้ลุกขึ้นบนฝ่ามือของหนานหงส์ชุน เปลวนิพพานสายนี้ดูสวยงามเป็นอย่างมาก “แถมยังสามารถปลุกเปลวนิพพานขึ้นมาได้อีก นั่นย่อมเป็นกำไลของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

ด้วยความไม่ชิน หนานหงส์ชุนต้องเพ่งสมาธิอยู่ครึ่งอึดใจจึงสามารถดับเปลวเพลิงสายนั้นลงไปได้ก่อนที่ตัวคนจะกล่าวต่อ “ไหนจะพลังปราณที่พี่เจี้ยนอีก..เอ่อ..ปราณอะไรนะ..อ๋อ..ปราณมาศ ทุกอย่างล้วนถูกเตรียมไว้ให้ท่านและข้าไหนจะห้องที่สาม..”

หนานหงส์ชุนมองไปที่น้องสาวและซุนโหวหวัง “เห็นดวงจิตท่านว่าพวกเจ้าได้ฝึกวิชาร่วมกัน.. มันเป็นวิชาเช่นไรรึ?”


“ต้องเป็นวิชากระบองตระกูลซุนแน่” หลิวเจี้ยนกล่าวเสริมตามความเข้าใจของมัน


ซุนโหวหวังเหลือบตาชำเลืองมองสตรีที่อยู่ข้าง ๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดุจโจรป่าพลันปรากฏขึ้น “ใช่... ฉันได้สอนวิชากระบองประจำตระกูลซุนให้แม่หงส์เซีย.. แถมฉันยังอนุญาตให้น้องสาวของเอ็งได้จับกระบองของฉันด้วย”


หน้าของหนานหงส์เซียแดงยิ่งกว่าผลท้อที่สุกงอม ดวงตาต่างคว่ำต่ำมองแต่พื้นกระเบื้องไม่กล้าสบตาผู้ใด ภาพในหัวเองก็วนเวียนแต่เรื่องหยาบโลนซ้ำไปซ้ำมายิ่งตอนที่ซุนโหวหวังบอกว่านางได้จับกระบองของมัน นางย่อมรู้ดีคำว่า 'กระบอง' ที่ซุนโหวหวังกล่าวหมายถึงสิ่งใด


“วิชากระบองตระกูลซุนนั้นเป็นวิชาต้องห้ามที่ห้ามเผยแพร่สู่คนนอก ฉันขอขอบคุณพี่ซุนมากที่ใจกว้าง..ยินยอมถ่ายทอดให้แก่น้องสาวของข้า” หนานหงส์ชุนด้วยความสุภาพของมัน มันจึงได้ก้มหัวขอบคุณต่อซุนโหวหวังในขณะที่คนถูกก้มหัวให้ก็ได้แต่โบกมือไปมาเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด

หนานหงส์ชุนหันไปมองน้องสาวของมัน “อย่างไรน้องพี่.. เจ้าชอบหรือถนัดการใช้กระบองหรือไม่?”


คนถูกถามไม่รู้จะตอบอย่างไร จะบอกความจริงว่า 'กระบอง' ที่ซุนโหวหวังกล่าวนั้นคืออย่างอื่นนางก็เขินอายเกินไป จะตอบว่าชอบก็รู้สึกกระดากปาก ได้แต่ถูกมือทั้งสองข้างไปมาด้วยความประหม่า


“แน่นอนว่าเธอชอบ.. ตอนฉันสอน แม่หงส์เซียดู..มี..ความ..สุข..มาก” เจ้าคนหน้าขนยังไม่เลิกแกล้ง ได้แต่กล่าวความแฝงความนัยที่รู้เพียงมันและนางทำให้คนอื่นนั้นเข้าใจผิดต่อ

“ช่างเถอะ.. เรื่องสิ่งที่ฉันสอนแม่หงส์เซียนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าใด ฉันว่าในตอนนี้พวกเราควรรีบออกไปจากที่แห่งนี้ดีกว่า ตอนนี้ดวงจิตของท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งดับสูญไปแล้ว ศิลาที่คอยให้พลังงานสถานที่แห่งนี้ก็แห้งเหือด ฉันกลัวว่าถ้ำแห่งนี้จะถล่มลงมา อย่าลืมว่าที่นี้สร้างมาเมื่อห้าพันปีก่อน.. โครงสร้างคงทนแบกรับได้อีกไม่นาน”


“โหวหวังพูดถูก.. ข้าว่าพวกเรารีบออกไปดีกว่า.. พ่อหน้าขน..มาพยุงข้าที..” หลิวเจี้ยนกล่าวเสริมพร้อมทั้งร้องขอให้สหายช่วยแบก


ซุนโหวหวังเองก็ทำตามแต่โดยดี ด้วยเหตุที่ว่าในที่นี้ พละกำลังโดยธรรมชาติของมันนั้นสูงกว่าใครจากการถูกทำโทษในสมัยเด็ก

คนทั้งสี่คนค่อย ๆ เดินออกมาตามทาง แม้ครานี้หลิวเจี้ยนจะไม่สามารถใช้เนตรจ้าวมังกรของมันได้ เพราะเส้นปราณมันเพิ่งถูกผ่าตัดครั้งใหญ่มา แต่กระนั้นก็ใช่ปัญหา ดูเหมือนว่ากับดักทั้งหมดจะไม่ทำงานแล้ว น่าจะเป็นผลพวงจากการสิ้นสลายของดวงจิตผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขา

แต่แม้จะไม่มีกับดักคอยเล่นงาน การเดินออกจากถ้ำในครั้งนี้ของคนทั้งสี่ก็ดูเชื่องช้ากว่าเดิม ด้วยความที่หลิวเจี้ยนยังอยู่ในช่วงพักฟื้น การเดินเหินของมันจึงค่อนข้างติดขัด พวกมันต้องใช้เวลาทั้งสิ้นหกชั่วยามในการเดินมาถึงปากถ้ำ

และที่ปากถ้ำนั้นเองก็มีเสียงดังโหวกเหวกไปมาดั่งเข้ามาถึงข้างในถ้ำ


“นายน้อยซุน!! นายน้อยซุน!! ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่นายน้อย!!”


ซุนโหวหวังยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น

“เจ้าคุณพ่อของฉันถึงกับส่งเจ็ดมงกุฎมา ดูท่าพวกเราคงปลอดภัยแล้ว..”

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว